บทที่11 ข่มขู่
“เจ็บมากไหมหนูปราง เดี๋ยวแม่ทำแผลให้นะ” คุณนายอมราถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นบาดแผลบนฝ่ามือที่เต็มไปด้วยเลือดของลูกสะใภ้
สองแม่ลูกตัดสินใจหอบหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้ามาอยู่ที่บ้านใหญ่ของพ่อกับแม่ ทีแรกเธอคิดจะพาลูกไปตายเอาดาบหน้าดีกว่าต้องทนให้ชายหนุ่มข่มเหงดูถูกสารพัดอยู่แบบนี้ แต่เป็นเพราะผู้เป็นพ่อไม่ยอมให้ไปเพราะกลัวหลานน้อยจะลำบาก ด้วยความสงสารจึงพาคนทั้งสองมาอยู่ที่นี่ แน่นอนว่ารามิลไม่พอใจและโกรธเคืองเธอจนถึงที่สุด
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูทนได้”
“แต่เลือดออกเยอะขนาดนี้ ยังไงก็ต้องทำแผลก่อน”
“…..” คนตัวเล็กได้แต่นั่งกัดฟันแน่นเมื่อแม่หยิบแอลกอฮอล์ขึ้นมาล้างแผลเพื่อฆ่าเชื้อให้ มันทั้งเจ็บแล้วก็รู้สึกแสบจนน้ำตาจะไหล
“ส่วนน้องปริมไม่ต้องเป็นห่วงนะ แม่สั่งให้พี่เลี้ยงพาเข้านอนไปแล้ว”
“ขอบคุณมากนะคะที่เมตตาหนูกับลูก”
“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะปราง ยังไงน้องปริมก็เป็นหลานแม่นะ แม่ไม่ใช่คนใจร้ายใจดำที่จะปล่อยให้หลานออกไปลำบากหรอก” คุณนายอมรามองคนตรงหน้าด้วยความห่วงใย แค่มองด้วยสายตาก็รู้ว่าปรางเป็นคนมีจิตใจดี ต่างจากลูกชายที่มีจิตใจดำมืดลงไปทุกวัน เธอเคยหวังว่าอยากให้ปรางกับลูกเข้ามาเปลี่ยนนิสัยลูกชายให้ดีขึ้นมาบ้าง แต่เปล่าเลยรามิลยังเป็นคนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไร
“…..” ร่างเล็กก้มหน้าก้มตาอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นแค่คนจนและเป็นเด็กกำพร้าแต่พ่อกับแม่ก็ไม่เคยรังเกียจและดูถูกเธอเลยสักนิด พวกเขาเอ็นดูเธอมากกว่าลูกแท้ๆ แบบรามิลเสียอีก
“ทำไมถึงไม่เคยเล่าให้พ่อกับแม่ฟังว่าตามิลมันทำอะไรกับเราไว้บ้าง”
“…..” ปรางอึกอักไม่กล้าบอกความจริงออกไป เพราะกลัวว่ารามิลจะไม่พอใจแล้วหาเรื่องมาลงที่เธอกับลูกอีก
“ถ้าป้าบัวไม่โทรมาบอก แม่กับพ่อก็คงไม่รู้เรื่องนี้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามิลให้หนูเข้าไปทำงานในคลับเวลากลางคืนแบบนั้น นี่มันใช้อะไรคิดแทนสมองกันนะ ชักจะใจดำเกินคนไปแล้ว”
“…..”
“ตามิลนะตามิล ทำไมถึงกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้ ต่อไปนี้หนูไม่ต้องไปทำงานที่คลับแล้วนะ ถ้ารามิลมันมีปัญหาเดี๋ยวแม่จะจัดการมันให้เอง”
“…..” ปรางกลั้นน้ำตาเอาไว้ด้วยความตื้นตันใจ พวกเขาเปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่ที่คอยช่วยเหลือ
“อยู่ที่นี่ไม่ต้องกลัวนะ ยังไงรามิลมันก็ไม่กล้ามาทำอะไรหนูหรอก”
“…..”
“หนูกับน้องปริมเข้าไปอยู่ในห้องของรามิลนะ แม่บอกคนจัดห้องไว้ให้แล้ว”
“แม่ให้ปรางกับลูกเข้าไปอยู่ในห้องมิลแบบนั้น เขาจะไม่ว่าอะไรเหรอคะ?” หญิงสาวรีบแย้งขึ้นมาด้วยความสงสัย เพราะรามิลเป็นคนหวงของมาก คงไม่ใช่เรื่องดีถ้าเกิดว่าเธอกับลูกจะถือวิสาสะเข้าไปอยู่ในห้องของเขา
“ห้องนั้นไม่มีใครอยู่มาตั้งนานแล้ว อีกอย่างห้องมันก็กว้างขวางเหมาะสำหรับเลี้ยงลูก”
“…..”
“หนูคงเหนื่อยมากแล้วใช่ไหม แม่ว่าไปนอนพักเถอะ เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่”
“ถ้างั้นหนูขอตัวไปนอนก่อนนะคะ” เธอยกมือไหว้ลาผู้เป็นแม่ก่อนจะรีบเดินออกมาด้วยความเหนื่อยล้าเต็มทน
“…..”
-เช้าวันต่อมา-
“อื้ออ~” ดวงตาคู่สวยลืมตาขึ้นมาหลังจากที่สัมผัสได้ถึงแสงแดดสาดส่องเข้ามาในห้องนอน เธอใช้มือควานหาบางอย่างที่คุ้นเคยก่อนจะพบกับความว่างเปล่า
“น้องปริม!” ร่างบางดีดตัวลุกขึ้นจากที่นอนในทันทีเมื่อมองไม่เห็นเด็กน้อยอยู่ในห้องนี้ แต่พอได้เห็นว่าลูกสาวอยู่กับผู้เป็นแม่ก็ถึงกลับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“แม่อาบน้ำป้อนข้าวน้องปริมแล้วนะ ว่าแต่ปรางเป็นยังไงบ้าง เมื่อคืนหลับสบายดีไหม?”
“หลับสบายดีค่ะ เมื่อคืนปรางกินยาแก้ปวดเข้าไปเลยหลับลึกไปหน่อย” คนตัวเล็กพูดด้วยสีหน้าสดใสขึ้น นับว่าเป็นวันที่เธอหลับเต็มตื่นในรอบหลายเดือน
“ไม่เป็นไร อยู่ที่นี่ทำตัวสบายๆ คิดว่าซะว่าเป็นบ้านตัวเองเลยนะ”
“ถ้างั้นปรางขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ วันนี้มีนัดพาลูกไปหาหมอ”
“ตามสบายเลยนะ เดี๋ยวแม่ช่วยดูน้องปริมให้เอง”
“งั้นปรางขอฝากลูกแป๊บนึงนะคะ”
-RM BAR-
“เป็นอะไรของมึง เล่นหัวฟัดหัวเวี่ยงมาทั้งวันแล้วเนี่ย” ยอสสะดุ้งถามด้วยความตกใจเมื่อจู่ๆ รามิลก็ยกขาขึ้นถีบเก้าอี้อย่างแรงจนเกิดเสียงดัง
“…..” เขาหยิบมวนบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบพลางอัดควันเข้าปอดแบบหนักๆ เพื่อผ่อนคลายอารมณ์ขุ่นเคืองในตอนนี้
“จะมีอะไรได้ เมียมันไม่มาทำงานหลายวันแล้วน่ะสิ” เชนถึงกลับหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อสังเกตได้ถึงความผิดปกติ
“แล้วเมียมึงไปไหน ทำไมไม่มาทำงาน หรือเขาทนความเลวของมึงไม่ไหวเลยพาลูกหนีไปแล้ว”
“อย่าแสนรู้ไปหน่อยเลย” รามิลลุกขึ้นเดินหนีออกมาเมื่อทนต่อคำพูดถากถางของเพื่อนสนิทไม่ไหว กลัวจะอดไม่ได้แล้วประเคนหมัดหนักๆ ให้ซะก่อน
สองขาแกร่งหยุดนิ่งเมื่อเห็นพนักงานกลุ่มหนึ่งที่กำลังนั่งจับเข่าคุยกันอย่างออกรสออกชาติ เขาจะไม่รู้สนใจเลยสักนิดถ้าเรื่องที่พวกเขาพูดถึงไม่ใช่เรื่องของปราง
“ผู้จัดการไปเจอยัยปรางมาเป็นยังไงบ้างเล่าให้พวกฉันฟังหน่อยสิ” แจ๋วถามด้วยความอยากรู้ เพราะจู่ๆ ปรางก็เล่นหายตัวไปไม่มาทำงานเลยกลัวว่าเธอจะได้รับอันตราย
“ปรางสบายดี ฝากความคิดถึงมาให้ทุกคนด้วยนะ”
“จะว่าไปก็คิดถึงปรางเหมือนกันนะ เล่นลาออกไม่บอกไม่กล่าวแบบนี้”
“เอาเถอะน่า ปรางคงมีเหตุผลสำคัญนั่นแหละ ถ้าพวกเราว่างๆ ค่อยนัดไปเจอกันก็ได้”
“ฉันได้ข่าวมาว่าผู้จัดการพาปรางกับลูกไปเที่ยวมาด้วยเหรอ” ตั้งโอ๋กระซิบกระซาบถามด้วยความอยากรู้ไม่แพ้กัน
“แค่พาไปเดินห้างซื้อของใช้นิดหน่อย”
“คิดจะจีบยัยปรางล่ะสิ”
“ผมชอบปรางนะ เธอน่ารักดี”
“ชอบก็ไปบอกเขาตรงๆ เลยสิ เผื่อบางทีปรางมันก็อาจจะชอบผู้จัดการเหมือนกันก็ได้นะ”
“พวกคุณคิดแบบนั้นเหรอ?”
“ผู้จัดการก็เป็นคนดี แถมไอ้ปรางมันก็โสดไม่มีใคร ดีไม่ดีจะได้เป็นพ่อใหม่ของน้องปริมอีก” แจ๋วหัวเราะคิกคักออกมาด้วยความชอบใจโดยไม่ทันได้สังเกตว่าเจ้านายได้มายืนอยู่ทางด้านหลังเป็นที่เรียบร้อย
“งานการไม่มีทำกันหรือไง ถึงได้มายืนจับกลุ่มคุยกันอยู่ตรงนี้”
“เอ่อ…” แจ๋วกับตั้งโอ๋ถึงกลับเลิ่กลั่ก ก่อนจะพากันวิ่งหนีออกไป จะเหลือเพียงแค่ผู้จัดการกับรามิลที่ยังยืนอยู่ตรงนี้
“ส่วนผู้จัดการตามผมมาทางนี้ เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
“…..”
-หลายวันต่อมา-
ฉันเดินตามกลิ่นหอมเข้าไปในห้องครัว ก่อนจะเห็นว่าแม่กำลังตั้งอกตั้งใจทำอะไรบางอย่าง
“ทำอะไรอยู่คะ ให้ปรางช่วยไหม?”
“หนูปรางมาพอดีเลยค่ะ แม่กำลังจะทำบัวลอยไข่หวาน เรามาปั้นบัวลอยช่วยกันนะ”
“เดี๋ยวปรางช่วยทำค่ะ” ฉันรีบเข้าไปช่วยแม่ทำอย่างไม่เรื่องมาก เข้ามาอยู่อาศัยในบ้านท่านก็อยากทำตัวให้มีประโยชน์อะไรทำได้ก็ทำ
“น้องปริมหลับไปแล้วเหรอ?”
“หลับแล้วค่ะ”
“น้องปริมเป็นเด็กอารมณ์ดี ชอบทำตาหวานอ้อนแม่อยู่บ่อยๆ โตขึ้นต้องขี้อ้อนมากแน่ๆ”
“…..” ริมฝีปากบางยิ้มกว้างอย่างมีความสุขเมื่อทุกคนรอบข้างต่างรักและเอ็นดูน้องปริมไม่ต่างจากฉัน
ติ๊ง! สมาร์ตโฟนส่งเสียงร้องดังเมื่อมีข้อความเข้า รอยยิ้มก่อนหน้านั้นค่อยๆ เลือนหายไป หลังจากที่ได้เห็นข้อความของรามิลที่ส่งมา
รามิล : อย่าคิดว่าจะได้ใช้ชีวิตในบ้านฉันอย่างมีความสุข บอกเลยว่าไม่มีวัน!
“เป็นอะไรหรือเปล่าหนูปราง ทำไมจู่ๆ ถึงทำหน้าเครียดเชียว”
ฉันตื่นจากภวังค์หลังจากที่เอาแต่ยืนจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์นานหลายนาที ฉันทำตามที่รามิลต้องการทุกอย่างแล้ว เราสองคนแม่ลูกพากันเดินออกมาจากชีวิตของเขา แต่ทำไมเขาถึงไม่ปล่อยเราไปสักที
“ปะ…เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร”
“…..”
