บทที่10 สถานการณ์ตึงเครียด
“เป็นอะไรนังโอ๋ ทำไมถึงทำหน้าพะอืดพะอม” แจ๋วหันไปถามคนที่นั่งข้างๆ เมื่อสังเกตเห็นถึงความผิดปกติบางอย่าง
“กินไม่ลงน่ะสิ”
“แต่แกเพิ่งกินไปนิดเดียวเองนะ อิ่มแล้วเหรอ?”
“ยังไม่อิ่ม ก็คุณรามิลเล่นนั่งจ้องพวกเราขนาดนี้ใครมันจะไปกินลง” ตั้งโอ๋พูดเสียงเบาก่อนจะชะเง้อคอมองไปยังโต๊ะที่รามิลนั่งอยู่
“…..” หญิงสาวหยุดนิ่งหลังจากที่ได้ยินแบบนั้น เธอเงยหน้าขึ้นไปสบตาแล้วพบว่ารามิลกำลังมองพวกเธออยู่จริงๆ
“จะ…จริงด้วย เขามองพวกเราทำไมวะ” เมื่อแจ๋วได้เห็นสายตาของเจ้านายแบบนั้นถึงกลับเลิ่กลั่ก เพราะกลัวว่าอาจจะทำผิดแบบไม่รู้ตัว
“พี่ไปทำอะไรผิดมาหรือเปล่า เจ้านายถึงได้นั่งจ้องตาเขม็งขนาดนั้น”
“เปล่าสักหน่อย วันนี้ฉันทำตัวดียังไม่ได้ทำผิดอะไรเลย”
“จะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ ขอแค่อย่าไล่พวกเราออกก็แล้วกัน” ตั้งโอ๋กระซิบกระซาบพลางตักอาหารเข้าปากอย่างเกร็งๆ
“…..”
“เห็นพี่แจ๋วบอกว่าพรุ่งนี้ปรางขอลาไปธุระเหรอ?” ชายเพียงคนเดียวในกลุ่มเอ่ยถามเพื่อทำลายบรรยากาศอึมครึมก่อนหน้านั้น
“ใช่ค่ะ ปรางต้องพาลูกไปหาหมอกับฉีดวัคซีน”
“พรุ่งนี้เป็นเวรหยุดของพี่พอดี ให้พี่พาไปไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะผู้จัดการ ปรางเกรงใจ”
“เวลาเลิกงานแล้วเรียกพี่แดนเฉยๆ ก็ได้ เรียกผู้จัดการพี่ว่ามันดูห่างเหินกันเกินไปหน่อย”
“ค่ะพี่แดน”
“พี่ว่าให้แดนพาไปก็ดีนะ แกจะได้ไม่ต้องเปลืองค่ารถ จะได้มีเงินเก็บไว้ซื้อขนมให้ลูกกินไง” แจ๋วพูดสมทบด้วยความหวังดีเพราะรู้ว่าปรางค่อนข้างลำบาก แล้วพวกเขาก็เต็มใจที่จะช่วยเหลือ
“…..”
-คอนโดรามิล-
รถยนต์เคลื่อนตัวมาจอดที่หน้าตึกสูงตระหง่านหลายสิบชั้น หลังจากที่กลับจากกินข้าวแดนก็อาสาเป็นคนมาส่งปรางถึงหน้าคอนโด
ผู้จัดการหนุ่มวาดสายตามองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าคอนโดที่ปรางอยู่คือสถานที่เดียวกันกับเจ้านาย
“ปรางอยู่ที่นี่เหรอ?”
“ใช่ค่ะ”
“อยู่คอนโดเดียวกับคุณรามิลเลยนิ” เขาถามด้วยความสงสัย ลำพังแค่พนักงานธรรมดาไม่น่าจะอยู่ห้องหรูราคาแปดหลักขนาดนี้ได้
“เอ่อ…อยู่คนละชั้นกันน่ะค่ะ” คนตัวเล็กปฏิเสธด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง เอาไว้ปรางจะเลี้ยงข้าวเป็นการตอบแทนนะคะ”
“ไม่เป็นไร บ้านปรางอยู่ทางผ่านพี่พอดี เวลาไปทำงานก็ไปพร้อมกัน พี่ว่าสะดวกดีนะ”
“…..” ร่างบางเห็นด้วยกับความคิดของแดน มันคงดีกว่าการที่เธอต้องนั่งวินมอเตอร์ไซค์หรือยืนโหนรถเมล์ไปกลับที่ทำงานเป็นไหนๆ
“ตอนนี้ดึกมากแล้ว พี่ขอตัวกลับก่อนนะ แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะ”
“ขับรถดีๆ นะคะ”
“…..” ผู้จัดการหนุ่มยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้คนตรงหน้า เขารู้สึกถูกชะตากับปรางไม่น้อย
แกร๊ก~ คนตัวเล็กเปิดประตูเข้ามาในห้องด้วยความระมัดระวัง เธอพยายามทำเสียงให้เบาที่สุดเพราะตอนนี้ดึกมากแล้วเลยเกรงใจว่าจะรบกวนลูกกับรามิลที่นอนหลับอยู่
เพล้ง! หญิงสาวสะดุ้งด้วยความตกใจสุดขีดเมื่อเห็นรามิลยืนอยู่ทางด้านหลังผ่านความมืดในขณะที่เธอกำลังยืนดื่มน้ำอยู่ในครัว ส่งผลให้แก้วที่ถืออยู่หล่นลงพื้นจนแตกกระจัดกระจาย
“ตกใจหมดเลย มิลเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เลิกงานแทนที่จะกลับบ้าน แต่ยังกล้าเสนอหน้าไปกับผู้ชายคนอื่น”
“…..”
“รู้แบบนี้ฉันน่าจะขังให้เธอเลี้ยงลูกอยู่แต่ในห้อง เอาแบบไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันเลยเป็นไง”
“…..” ถึงแม้จะไม่ได้เป็นเหมือนที่เขาพูด แต่ปรางก็เลือกที่จะเงียบเพราะไม่อยากต่อล้อต่อเถียงให้เป็นเรื่องเป็นราวบานปลายไปมากกว่านี้
“เสน่ห์แรงดีนิ ไปทำงานได้ไม่เท่าไหร่ก็อ่อยให้ผู้ชายมารับมาส่งถึงหน้าบ้าน”
“ปรางอยู่ทางผ่านพอดี พี่แดนเขาเลยแวะมาส่ง”
“อ่อยฉันไม่สำเร็จก็เลยเปลี่ยนไปยั่วลูกน้องฉันแทนว่างั้น?” ดวงตาเฉี่ยวคมไล่สายตามองคนตรงหน้าอย่างเปิดเผย เขารู้สึกหงุดหงิดและไม่พอใจที่เห็นว่าเธอกำลังสนิทสนมกับผู้ชายคนอื่น
“เลือกบ้างสิ ไม่ใช่จะมั่วเอาไม่เลือกแบบนี้”
“ปรางไม่เคยอ่อย แล้วก็ไม่คิดที่จะทำแบบที่มิลพูด”
“ฉันควรจะเชื่อเด็กใจแตกอย่างเธอดีไหมนะ?”
“มิลจะคิดยังไงก็แล้วแต่เถอะ” หญิงสาวตัดสินใจเดินเลี่ยงออกมาจากตรงนั้น เมื่อบรรยากาศเริ่มคลุกครุ่นขึ้นเรื่อยๆ แต่เดินออกไปไม่ทันไรก็ถูกเขาคว้าข้อมือเอาไว้เสียก่อน
“เจ็บนะ ปล่อย!” ใบหน้าแสนหวานเบ้เบี้ยวออกมาด้วยความเจ็บปวดเมื่อรามิลเริ่มออกแรงบีบรัดราวกับต้องการให้กระดูกของเธอแหลกคามือ
“เดินหนีฉันทำไม รับความจริงไม่ได้เหรอ?”
“ที่ปรางเดินหนีเพราะไม่อยากทะเลาะกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง แค่นี้ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ?”
“เถียงเก่งขึ้นนะ” ถึงแม้จะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่สายตาที่มองเธอกลับเต็มไปด้วยความโกรธเคือง
“ไอ้เวรหน้าไหนมันสอนให้เธอปีกกล้าขาแข็งใส่ฉัน!”
“หยุดหยาบคายกับปรางได้แล้วมิล” มือบางดันอกแกร่งให้ถอยห่างเมื่อชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้หมายจะต้อนให้เธอเข้าไปยืนอยู่ในมุมห้อง
“ถ้ารังเกียจกันมากก็ต่างคนต่างอยู่ไปเลยสิ จะมาตามรังควานกันทำไม”
“…..”
“ปรางกับลูกอยู่ในที่ที่มิลให้อยู่ ไม่เคยออกไปวุ่นวายหรือสร้างความเดือดร้อนอะไรให้มิลเลยนะ แต่ทำไมถึงได้ใจร้ายกับพวกเรานัก”
“ที่ฉันต้องเป็นแบบนี้ก็เป็นเพราะผู้หญิงไร้ยางอายแบบเธอนั่นแหละ”
“…..”
“ถ้าไม่มีเธอสักคน ชีวิตฉันมันคงไม่ซวยขนาดนี้!”
พลั่ก! คนตัวเล็กเซถลาล้มลงบนพื้นเมื่อถูกชายหนุ่มผลักจนเสียหลัก
“อึก!” ริมฝีปากบางสั่นระริกเมื่อมือเลื่อนไปจับโดนเศษแก้วที่แตกกระจายอยู่ก่อนหน้านั้น เลือดสีแดงสดค่อยๆ ไหลหยดออกมาจนเป็นทางยาว บาดแผลที่ร่างกายยังไม่รู้สึกเจ็บเท่าบาดแผลที่อยู่ในใจ
เธอรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีหยัดตัวลุกขึ้นแล้วรีบวิ่งหนีออกมาจากตรงนั้นด้วยความหวาดกลัว
คนตัวเล็กตั้งสติก่อนจะรีบเก็บข้าวของที่จำเป็นยัดใส่กระเป๋า หยดน้ำตาไหลออกมาอย่างสุดกลั้นเมื่อมองเห็นลูกที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่นอนหลับอยู่บนเตียง
“จะไปไหน?”
“…..” เธอเลือกที่จะไม่ตอบก่อนจะอุ้มลูกถือกระเป๋าเสื้อผ้าผ่านหน้าเขาไป
“จะพาลูกฉันออกไปไหน?”
“ออกไปจากที่นี่ไง มิลไม่ได้อยากให้ปรางกับลูกอยู่ที่นี่อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“…..”
“มะ…มิล! เอาลูกปรางคืนมา” หญิงสาวถึงกลับร้องไห้โวยวายออกมายกใหญ่เมื่อถูกชายหนุ่มแย่งลูกออกไปจากอ้อมอก
“แง้~”
“เอาน้องปริม คะ…คืนมานะ”
“ถ้าเธอจะไปก็ไปคนเดียว ส่วนลูกต้องอยู่กับฉัน!”
“หยุดได้แล้วรามิล! พ่อบอกให้หยุด”
คนตัวเล็กรีบวิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังของผู้เป็นพ่อด้วยความหวาดกลัว
“เธอกล้าดียังไงถึงโทรไปฟ้องพ่อฉัน!”
“ปรางเปล่านะ” เธอส่ายหน้าปฏิเสธเพราะไม่รู้ว่าพ่อมาที่นี่ได้ยังไง
รามิลเหลือบสายตามองไปเห็นพี่เลี้ยงของลูกสาวที่ยืนตัวสั่นหลบอยู่ในมุมมืดของห้อง ก็พอจะเดาได้ถึงเหตุการณ์ทั้งหมด
“นี่มันเรื่องของครอบครัวผม พ่อไม่ต้องยุ่ง”
“ฉันก็ไม่ได้อยากจะยุ่งกับแกนักหรอก แต่ตอนนี้แกกำลังทำร้ายหนูปรางกับลูกอยู่ จะให้ฉันทนดูอยู่เฉยๆ หรือไง”
“…..”
“พาลูกไปอยู่บ้านใหญ่กับพ่อ” ผู้เป็นพ่อเลื่อนมือไปลูบศรีษะของลูกสะใภ้ด้วยความเอ็นดู ท่าทางของปรางดูน่าสงสารและเห็นใจ แต่ทำไมลูกชายถึงได้จงเกลียดจงชังเธอนักหนา
“ถ้ามันรังเกียจหนูกับลูกมากนักก็ปล่อยให้มันอยู่คนเดียว”
“…..”
“แล้วฉันจะคอยดู ว่าคนอย่างแกจะทนได้สักเท่าไหร่!”
