6. ลาโง่
ซูเฟยมองแม่ทัพหนุ่มอย่างหมั่นไส้ การกระทำของเขา มันช่างชวนให้นางอยากสวมบทนักฆ่าจริงเชียว ไม่ตำหนิแต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากว่าอะไร ท่าทางเขายังคงนิ่งเฉยไม่มีปฎิกิริยาสักนิด
‘นี่ก็นั่งเป็นมนุษย์น้ำแข็งอยู่ได้ เอาผู้หญิงมาด้วยก็ไม่ยอมจัดการ ซ้ำยังพาลมาถึงเราอีก มันน่าจับทุ่มนัก’ ก่นด่าอีกฝ่ายในใจ ก่อนจะหันมาทางสองแม่ลูกที่ยังคงร่ำไห้ราวกับตนถูกกระทำ
“นี่ท่านป้า ข้าไปขัดขวางพวกท่านตอนไหนกัน ข้าอยู่ด้านนอกจะรู้ได้อย่างไรว่าในนี้คุยอะไรกัน ข้าไม่ใช่ผู้วิเศษนะ จะได้รู้ว่าใครพูดสิ่งใดกันอยู่ ข้าก็เพิ่งถูกเรียกตัวเข้ามาเมื่อครู่ ท่านตาบอดหรือจึงไม่เห็นว่าข้าเพิ่งมาแล้วนี่ยังจะมาใส่ไคล้กันอีก คิดอยากหาข้ออ้าง ก็จงอย่าเอาข้าเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะข้าไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครมามัดมือชก โยนเรื่องสกปรกใส่ง่าย ๆ”
“ดูสิเจ้าคะ ฮูหยินน้อยใช้วาจาข่มขู่เราแม่ลูกแล้ว นางคงเกรงว่าท่านแม่ทัพจะรับเจียวเอ๋อร์เข้าจวน ถึงได้คอยขัดขวางแล้วโยนบาปใส่เราสองแม่ลูก” จางซื่อโต้แย้งไปอีกอย่างในทันที
“ไท่ฮูหยิน ท่านดูเถิดเจ้าคะหลานสะใภ้ตัวดีของท่านทำเรื่องน่าอายเพียงใด ต่อหน้าคนมากมายยังกล้ากล่าววาจาขู่ทำร้ายผู้อื่น ขืนปล่อยไว้วันหน้านางจะต้องก่อเรื่องมากกว่านี้แน่เจ้าค่ะ”
“แหม…แม่เล็กจาง แค่ข้าไม่ยอมรับข้อเสนอเรื่องผล...”
“หุบปากนะ!” จางซิงอี้แผดเสียงอย่างลืมตัว ก่อนจะรีบนั่งก้มหน้าหลบสายตาของสามีและทุกคนที่กำลังจ้องมอง
ซูเฟยจึงยิ้มยียวน ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ข้าหุบให้ได้นะเจ้าคะ ขอแค่ท่านไม่สะกิดให้ข้าพูดก็พอ” เอ่ยจบก็จีบนิ้วปาดไปตามแนวปากของตน อีกฝ่ายก็ยังนั่งตัวตรงไม่ยอมตอบโต้
“นี่เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกัน” นายท่านเสิ่นเอ่ยถามทันที
“ปะ…เปล่าเจ้าค่ะนายท่าน ก็แค่เรื่องของสตรีที่ไม่ควรเอามาพูดต่อหน้าผู้อื่นก็เท่านั้น นายท่านอย่าซักไซ้เลยเจ้าค่ะ” ซิงอี้รีบเอ่ยแก้ต่าง เพราะเกรงสามีจะไม่ยอมหยุดแค่นี้
“หากเป็นเช่นเจ้าว่า คนเป็นสะใภ้ก็ไม่ควรเอาเรื่องลับมาพูดคุยกันต่อหน้าผู้อื่น หาไม่คนภายนอกจะหาว่าไร้การอบรมเอาได้ เข้าใจหรือไม่สะใภ้รอง” ใต้เท้าเสิ่น ตำหนิเสียงเข้ม
“เจ้าค่ะท่านพ่อ” ซูเฟยตอบรับอย่างคนรู้ความ ก่อนจะยิ้มหวานส่งผ่านไปให้อนุจางที่กำลังหลับตาค้อนส่งมาให้ ริมฝีปากอิ่มยกมุมขึ้น ก่อนจะหมุนตัวเพื่อกลับมานั่งที่ของตน
จึงทันได้เห็นแม่ทัพเสิ่นกระซิบกระซาบกับคนสนิท สีหน้าท่าทางเขายังคงเรียบนิ่งราวกับรูปปั้นเหมือนอย่างเคย
‘ชิ เก๊กไปให้หน้าชาเลยเถอะ จะยิ้มก็ไม่ยิ้ม จะพูดก็ไม่พูด ทำอย่างกับเอ่ยแล้วจะมีทองร่วงลงมางั้นแหละ’ ก่นด่าเขาในใจอีกหน จากนั้นนางก็หันมาทางไท่ฮูหยิน พรางยิ้มหวานส่งให้
“เจ้านี่แสบจริงนะ” คนแก่เอ่ยชมเบา ๆ
“เงียบไปเลยเห็นไหมเจ้าคะ” ซูเฟยกระซิบก่อนจะส่งเสียงหัวเราะคิกคัก ผู้อาวุโสของจวนก็พลอยเป็นไปด้วย
“ท่านย่า” จินหยางปรามเบา ๆ พรางสอดส่ายสายตามายังสตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของตน แต่ยังไม่ทันได้กล่าวอันใด
สองแม่ลูกก็ส่งเสียงขึ้นมาขัดจังหวะ
“ไท่ฮูหยิน ใต้เท้าเสิ่น อย่าลืมเรื่องบุตรสาวของข้าน้อยไปนะเจ้าคะ หรือพวกท่านหมายจะปล่อยให้เรื่องมันเงียบหายไปโดยไม่รับผิดชอบอันใดเลย” จางซื่อรีบเอ่ยแย้งยามได้โอกาส
ซูเฟยนั่งฟังพรางยิ้มขำ 'ป้าคนนี้ดูท่าจะเอาอีตาแม่ทัพนี่ทำเขยให้ได้สินะ คอยพูดแต่เรื่องเดิม ๆ ไม่หยุด แต่ก็อย่างว่า อีตาแม่ทัพนี่ก็หล่อแล้วก็ฐานะดี ไม่แปลกที่สาว ๆ จะชอบ เสียก็แต่ขี้เก๊กไปหน่อย’ นึกในใจพรางหันไปมองผู้ที่ตนเอ่ยถึง ซึ่งเขากำลังมองนางอยู่ พร้อมกับส่งสายตาสื่อความหมายบางอย่างให้
ซูเฟยขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อเห็นเขาขยิบตาไปยังสองแม่ลูก ‘เขาอยากให้เราจัดการกับสองแม่ลูกคู่นี้งั้นเหรอ ไม่มั้ง…เขาเป็นคนพาพวกนางมาเองนี่ อย่าเดาสุ่มสี่สุ่มห้าเลยอาเฟย เกิดเดาพลาดความผิดก็ตกอยู่ที่เรานะ’ เอ่ยเตือนตนเองในใจก่อนจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ปัญหาใครก็ให้คนนั้นจัดการไปก็แล้วกัน
จินหยางเห็นฮูหยินตนทำทีเฉยชาก็ได้แต่ขบกรามแน่น พรางก่นว่าในใจ ‘นี่นางโง่หรือแสร้งไม่รู้กันแน่’ คิดอย่างหงุดหงิด ก่อนจะชะงักกับเสียงของบิดาที่เอ่ยขึ้น
“หยางเอ๋อร์ ตกลงเจ้าจะเอาเช่นไรกับสองแม่ลูกคู่นี้ เรื่องมันเป็นมาอย่างไรกันแน่” นายท่านเสิ่นเอ่ยถาม พรางจ้องหน้าบุตรชายเขม็ง เพราะเรื่องนี้อาจทำให้สกุลเสิ่นเสื่อมเสียได้
“นั่นสิ หากคนภายนอกรู้ว่าเจ้าเลี้ยงดูสตรีอื่นไว้ข้างนอกแล้วไม่รับผิดชอบ สกุลเสิ่นของเราเป็นต้องอับอายถูกครหาไม่รู้จบสิ้นแน่ น้องรอง…ในเมื่อเจ้าก็พานางมาด้วยแล้ว เหตุใดต้องยึกยักทำราวกับไม่อยากรับนางเข้าจวนเช่นนี้เล่า การรับอนุ มันเป็นเรื่องปกติของขุนนาง เจ้าจะรับอีกสักสี่ห้าคนก็ยังได้ หรือเกรงใจฮูหยินที่เพิ่งแต่งเข้ามา แต่เอ๊ะ…น้องสะใภ้ก็บอกแล้วว่านางไม่ขัด เจ้าอยากรับก็รับเถิด อย่าได้ทำพิรี้พิไรเป็นสตรีอยู่เลย แม่นางเจียวหมิ่นน่าสงสารนะเห็นหรือไม่” หานเยว่เอ่ยแนะน้องชายต่างมารดา
“หากพี่ใหญ่เห็นว่านางน่าสงสาร เช่นนั้นท่านก็รับนางเข้าจวนตนเองไปเสียสิ ส่วนข้าไม่ก็คือไม่” เสียงทุ้มเย็นเปล่งออกมา แววตาที่ทอดมองไปยังพี่ชายต่างมารดาก็แข็งกร้าว
“นี่เจ้าพานางมาแล้วไม่คิดจะรับผิดชอบกระนั้นหรือ เจ้าเป็นบุรุษ เป็นชายชาตินักรบ ไยจึงไร้ยางอายเช่นนี้” หานเยว่ลุกขึ้นตำหนิเสียงดัง เพราะเขาตั้งใจให้บ่าวด้านนอกได้ยินไปด้วย
อีกไม่นานเรื่องนี้ก็จะลือกระฉ่อนไปทั่วเมือง ถึงยามนั้นชื่อเสียงของแม่ทัพผู้นำชัยก็จะป่นปี้ไม่มีชิ้นดี
“ฮึก…ขอบคุณคุณชายที่เมตตาเราสองแม่ลูก เจียวหมิ่นของข้าน้อยน่าสงสารนัก ตลอดมาดูแลท่านแม่ทัพเป็นอย่างดี นึกไม่ถึงว่าพอท่านแม่ทัพกลับมาได้พบกับฮูหยินที่มีหน้าตางดงาม เขาก็ลืมสิ้นภรรยาที่เคยตกทุกข์ได้ยากมาด้วยกัน ฮึก…ช่าง…”
“เดี๋ยวนะ! มันเกี่ยวอะไรกับหน้าตาข้ากระนั้นหรือ ข้าอุตส่าห์อยู่เฉย ๆ ไม่ยุ่งเกี่ยวแล้วแท้ ๆ ทว่าท่านดันลากข้าเข้าไปร่วมวงด้วยไม่หยุดหย่อน เช่นนั้นข้าก็จะสนองให้ก็แล้วกัน” ซูเฟย ขยับเหยียดกายลุกขึ้น ก่อนจะเดินมายอบกายต่อหน้าสองแม่ลูก
“ข้าเป็นคนใจดี แต่ก็ใจร้ายได้หากมีคนมาหาเรื่อง การแสดงของพวกเจ้ามันช่างขัดหูขัดตายิ่งนัก คิดว่าคนในห้องนี้หูหนวกตาบอด มองไม่ออกหรือว่าพวกเจ้าคิดจะทำอะไร”
“เราทำอะไร เราก็แค่เรียกร้องสิทธิ์ที่พึงมี บุตรสาวข้ารับใช้ท่านแม่ทัพมาแรมเดือน คนในหมู่บ้านต่างก็รู้กันทั้งนั้น เช่นนี้แล้วฮูหยินน้อยยังคิดจะปัดความรับผิดชอบอีกหรือ”
ซูเฟยยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีก “เมื่อครู่ ท่านแม่ทัพก็เอ่ยเองว่า ไม่ ไยท่านป้าถึงได้ปัดเรื่องมาให้ข้าได้เล่า หรือเพราะรู้อยู่แล้วว่า เรื่องที่ตนกล่าวมาเป็นเท็จ เลยหมายจะใช้ข้าเป็นสะพานบีบบังคับท่านแม่ทัพ ท่านป้าคิดว่ามันจะสำเร็จหรือ หากเขาจะรับบุตรสาวท่าน เขาคงรับไปนานแล้ว ไม่มีทางจัดหาเรือนให้อยู่นอกจวนเช่นนี้แน่ ท่านบอกตนไร้อำนาจ แล้วเหตุใดจึงคิดท้าทายอำนาจของแม่ทัพเสิ่นเล่า พวกท่านไม่กลัวว่าเขาจะหมดความอดทนแล้วจัดการกับพวกท่านอย่างเด็ดขาดหรือ”
“ขะ…ข้า” จางซื่ออึกอัก
“ข้าอะไร ท่านอยากหาสามีดีดีให้บุตร ท่านก็ควรต้องดูด้วยว่าฝ่ายชายเขาเต็มใจหรือไม่ คิดจะใช้แผนทำให้สกุลเสิ่นอับอายจนต้องรับอนุ ลูกไม้เช่นนี้ ต้องนำไปใช้กับคนโง่มันจึงจะได้ผล อย่าได้นำมันมาใช้กับคนจวนเสิ่นเลย ที่นี่ล้วนแต่เป็นคนมีความรู้ หากใครหลงเชื่อพวกท่าน เห็นทีวันหน้าคงต้องแย่งหญ้าจากลามากินแทนข้าวแล้วกระมัง แม่เล็กจาง พี่ใหญ่ คิดเห็นเช่นข้าหรือไม่” สะใภ้ใหม่หันไปหาแนวร่วมสองแม่ลูกจึงต้องรับคำอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ตามที่สะใภ้รองว่าเลย” ซิงอี้ตอบเสียงห้วนอย่างขัดใจ
ส่วนหานเยว่ขบกรามแน่น ก่อนจะเอ่ยเสียงห้วนไม่แพ้มารดา “ช่างเถิด เรื่องนี้ปล่อยให้เจ้าตัวจัดการไปก็แล้วกัน”
“คะ…คุณชาย” จางซื่อรีบหันไปหาผู้ที่ช่วยกล่าวเมื่อครู่
ทว่าอีกฝ่ายกลับเบือนหน้าหนีไปเสียอย่างนั้น
ก็แน่ล่ะ หากหานเยว่เอ่ยปากพูดช่วยอีก เขาก็ได้กลายเป็นลาโง่ที่กินหญ้าแทนข้าวน่ะสิ แล้วใครจะกล้าช่วยพูดให้นางกันเล่า
ในเมื่อเขาเองก็ดูออกตั้งแต่แรกแล้วว่า สตรีสองนางนี้ตั้งใจจะมาจับน้องชายต่างมารดา คนอื่นก็ย่อมรู้ถึงแผนการณ์พวกนางเช่นกัน ฉะนั้นหากไม่อยากเป็นลาโง่ดั่งคำน้องสะใภ้ว่า เขาก็ต้องอยู่เงียบ ๆ ไม่เข้าไปวุ่นวายเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก
มิเช่นนั้นจะกลายเป็นที่ขบขันของแขกที่มาเยือนได้
#ลูกสาวแอบกัดเบา ๆ 555
