บทย่อ
เป็นนางเอกที่มีผู้ติดตามนับสิบล้าน แต่พอข้ามมิติมายังยุคโบราณ เธอกลับกลายเป็นคนเร่ร่อน หนทางเดียวที่จะมีชีวิตรอด คือยอมแต่งกับคนที่ตายไปแล้ว ไม่เป็นไร ก็แค่แต่งกับป้ายวิญญาณ มันจะน่ากลัวสักแค่ไหนเชียว
1.แต่งกับป้ายวิญญาณ
แผ่นดินต้าหยาง ในปลายรัชสมัยอู่หลิง ปีที่สามสิบเจ็ด
รุ่งอรุณแห่งการเปลี่ยนแปลงเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเงียบงัน
ลมจากทะเลใต้พัดกลิ่นเกลือและกลิ่นเครื่องเทศจากเรือสำเภาต่างแคว้นเข้าสู่ท่าเมืองหนานอู่ เมืองท่าที่บัดนี้คลาคล่ำด้วยพ่อค้าผิวคล้ำจากแดนใต้ ชาวผมทองจากแดนตะวันตก
ทว่าแม้โลกภายนอกจะแปรเปลี่ยนไม่หยุดยั้ง
ถึงกระนั้นขนบธรรมเนียมของชนชาตินี้ก็ยังมั่นคงดั่งหินผา
ในเรือนฝ่ายในของแต่ละบ้าน เหล่าหญิงสาวยังคงต้องเรียนหลักธรรมคำสอนอย่างเคร่งครัด “สตรีพึงมีสี่คุณ” คำนี้ยังคงฝังแน่นในใจทุกบ้านเรือน กิริยา วาจา ใจ และงานเรือน
เป็นสตรีจะถูกสอนให้นั่งพับเพียบเรียบร้อย ก้มหน้าเวลาเอ่ยคำทักทายบุรุษในเรือน แม้เป็นเพียงพี่ชายของตนเองก็ยังห้ามสบตานานเกินไป มิเช่นนั้นจะถูกตำหนิเอาได้
หากเป็นหญิงสาวที่มีชาติตระกูล พวกนางจะต้องเรียนการร้อยมาลัย เย็บปักผ้าแพร และจำบทคำสอนให้มั่น
ทว่าเรื่องเหล่านี้นำมาใช้กับคนที่ข้ามมิติมาไม่ได้
หนิงซูเฟย ไม่มีทางยอมให้ขนบธรรมเนียมล้าหลังมาจำกัดความสามารถของตนเอาไว้แน่ นางเป็นถึงบุคลากรที่มีชื่อเสียง เป็นถึงดารานักแสดงเลื่องชื่อ ไหนเลยจะยอมให้ใครมาบังคับ
ทว่านั่นเป็นเพียงความคิดในช่วงแรก เพราะหลังจากนางอาศัยอยู่ในโลกที่ไร้ความเจริญไปสักพัก หญิงสาวที่พลัดหลงข้ามมิติมาก็เข้าใจว่า การใช้ชีวิตในยุคสมัยนี้มันไม่ง่ายเลย
หนิงซูเฟยไม่ได้มีตัวตนในยุคโบราณ นางไม่มีบันทึกที่มาที่ไป ไม่มีใบยืนยันฐานะ บางคราจึงถูกมองว่าเป็นทาสหลบหนี ทำให้นางต้องคอยหลบคนของทางการอยู่ตลอด
สุดท้ายจึงต้องตัดสินใจแต่งงานกับป้ายวิญญาณ เพียงเพื่อรักษาชีวิตของตนเอาไว้ และไม่ต้องกลายไปเป็นทาสรับใช้คนมีเงิน ไม่ก็ถูกขายทอดตลาดเหมือนหญิงสาวที่ถูกจับได้
แม้นางจะเป็นคนฉลาด มีความรู้รอบด้าน ทว่าเมื่ออยู่ในยุคที่ยังมีการกดขี่ข่มเหง ทางเลือกดีที่สุดย่อมเป็นการโอนอ่อนผ่อนตามสถานการณ์ นางไม่ใช่ผู้วิเศษ ไม่มีคาถาเวทมนตร์เอาไว้ช่วยตนเอง ที่นี่ต้องใช้ใบฐานะ ต้องมีเงินจึงจะอยู่รอด คนจากยุคปัจจุบันที่ถูกชะตาผลักข้ามมิติ ย่อมต้องคิดให้รอบคอบ ไม่แน่ว่าทางเลือกนี้มันอาจเป็นหนทางนำไปสู่อิสรภาพในวันหน้าก็ได้
ภายในจวนใหญ่โตของแม่ทัพเสิ่น
เสียงซุบซิบของแขกเหรื่อเริ่มดังมาทันทีที่เจ้าสาวปรากฏกายที่หน้าประตู ทว่าถ้อยคำที่ได้ยินไม่มีความเป็นมงคลเลยสักนิด
นั่นเพราะแขกเหล่านี้ ล้วนแต่กล่าวถึงความตายเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมันไม่ควรเอ่ยในพิธีมงคลเช่นนี้เลย
ทว่าตัวเจ้าสาวกลับไม่ได้นึกหวาดหวั่น เพราะนางเต็มใจรับข้อเสนอนี้ตั้งแต่แรกแล้ว 'แต่งงานกับป้ายวิญญาณของเจ้าบ่าว'
ใช่…หนิงซูเฟยแต่งงานกับคนที่ตายจากไปแล้ว
เจ้าบ่าวที่จะเข้าพิธีกับนางในค่ำนี้ คือป้ายวิญญาณของเขา แม่ทัพเสิ่นจินหยาง วัยยี่สิบสอง สามีที่อายุน้อยกว่านางถึงสี่ปี
หากเป็นยามปกติคงมิมีใครจับคู่สตรีที่อายุมากกว่ามาแต่งกับบุตรของตน ทว่ากรณีนี้ทำเพื่อสงเคราะห์ดวงวิญญาณผู้ล่วงลับ และซูเฟยก็เต็มใจมาก ๆ เพราะตนจะได้มีฐานะเฉกเช่นคนทั่วไป แม้ต้องใช้ชีวิตอยู่บนเส้นทางของหญิงหม้ายนางก็ยินดี
เวลาต่อมา...เสียงเซ็งแซ่เงียบไปแล้ว
เพราะเจ้าสาวถูกพามายังห้องหอทางเรือนหลัง ที่นี่มีบ่าวคอยรับใช้ห้าคน ไม่รวมสาวใช้ที่คอยอยู่ปรนนิบัตินางอีกสองคน
“ฮูหยินน้อย บ่าวช่วยเปลี่ยนอาภรณ์นะเจ้าคะ” เมียนจูเอ่ยพร้อมกับขยับเข้ามาอย่างนอบน้อม ท่าทางนางดูหวาดกลัว
ซูเฟยมองคนทั้งสองผ่านผ้าแพรผืนบางอย่างเอ็นดู
“พวกเจ้าไม่ต้องระวังตัวถึงเพียงนี้ก็ได้ ข้าไม่ใช่คนเรื่องมาก จะเปลี่ยนชุดให้ข้าก็รีบเปลี่ยนเถิด ข้าอยากพักเต็มทีแล้ว” ซูเฟยเอ่ยบอกคนทั้งสอง เพราะท่าทางของทั้งคู่ดูเป็นมิตรดี ไม่น่าจะมีปัญหาในภายหน้า หากตนทำดีด้วยก็น่าจะใช้งานและวางใจได้
เมียนจูและจินจูจึงเผยยิ้มอ่อนให้นายใหม่ของตน
“ขอบคุณฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ” ทั้งสองรีบเอ่ย ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้แต่ก็ต้องนิ่งงัน เมื่อผู้เป็นนายเปิดผ้าคลุมออก
“มีอะไร?” ซูเฟยขมวดคิ้วทันที
“ฮูหยินน้อยงามมากเลยเจ้าค่ะ” จินจูตอบราวกับคนละเมอ
“ใช่ ผิวพรรณก็งาม งามไม่มีที่ติเลยเจ้าค่ะ” เมียนจูเสริม
ซูเฟยจึงยิ้มอ่อนเอ็นดูทั้งคู่ ‘ถ้าฉันไม่สวยจะได้เป็นนางเอกที่มีคนติดตามหลายสิบล้านเหรอ’ ตอบทั้งคู่ในใจ ก่อนจะเอ่ยบอกเสียงหวานว่า “คงเพราะข้าดูแลตนเองดีกระมัง เอาไว้ข้าจะบอกวิธีนะ ภายหน้าพวกเจ้าจะได้งามเหมือนข้าดีหรือไม่”
บ่าวทั้งสองมองหน้ากันไปมาพรางเผยแววตามึนงง
“ทำไมล่ะ ไม่เชื่อที่ข้าพูดหรือ”
“เอ่อ…เปล่าเจ้าค่ะ เพียงแต่ว่า ปกติแล้วมิเคยมีนายคนใดกล่าวเช่นนี้กับบ่าวเจ้าค่ะ” จินจูเอ่ยบอกไปตามจริง
ซูเฟยยิ้มอ่อนอีกหน “แต่ข้าไม่เหมือนนายคนอื่น ฉะนั้นพวกเจ้าสบายใจได้ ข้าไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่าง เจ้าสองคนทำตัวตามสบายได้เมื่ออยู่กับข้า แต่ถ้าต่อหน้าคนอื่นก็ทำตามหน้าที่ไปก็แล้วกัน จะได้ไม่ถูกลงโทษเข้าใจหรือไม่” นางบอกอย่างคนเข้าใจยุคสมัย เพราะที่นี่คนรับใช้ก็ไม่ต่างจากทาส ทำผิดนิดหน่อยเป็นต้องถูกลงโทษ มีนายดีก็รอดตัวไป ทว่าหากพบนายใจร้าย แม้ไม่ได้ทำผิด แต่ถ้านายหงุดหงิดก็มีสิทธิ์ถูกลงโทษได้
เมียนจูและจินจูได้ยินเช่นนี้ ก็รีบคุกเข่าลงตรงหน้าแล้วพากันก้มหมอบลงไปกับพื้นอย่างซาบซึ้งใจ
“ฮูหยินพวกบ่าวจะจงรักภักดีต่อท่านเจ้าค่ะ” ทั้งคู่เอ่ยพร้อมกัน ผู้เป็นนายจึงขยับมารั้งไหล่ให้ลุกขึ้น
“ขอบใจนะ ภายหน้าข้าก็จะดีกับเจ้าสองคนให้มาก เอาล่ะรีบมาช่วยข้าเปลี่ยนอาภรณ์เถิด อึดอัดจะตาย ไม่รู้จะใส่ทำไมหลายชุดนัก หิวก็หิว” ซูเฟยเอ่ยพรางลุกขึ้นยืน
“เช่นนั้นบ่าวจะไปเตรียมอาหารมาให้นะเจ้าคะ” จินจูกล่าวแล้วก็เดินออกไป ปล่อยให้พี่สาวตนจัดการทางนี้แทน
ซูเฟยจึงได้โอกาสถามไถ่ความเป็นมาของทั้งคู่ นางจึงได้รู้ว่าสองคนนี้ถูกคัดเลือกมาจากโรงซักผ้า มิใช่สาวใช้ที่คอยดูแลเรือนในอย่างที่ควรจะเป็น แม้แต่บ่าวที่เดินอยู่รอบเรือนก็เพิ่งรับมา
‘สกุลเสิ่นคงไม่อยากดูแลสะใภ้ใหม่อย่างเราตั้งแต่แรก พวกเขาถึงได้จัดการเรื่องต่าง ๆ ให้อย่างลวก ๆ แต่ช่างเถิด สนใจทำไม แค่มีบ้านอยู่ มีตัวตนมีใบรับรองฐานะก็ถือว่าดีแล้วมิใช่หรือ’ นึกในใจพรางยิ้มออกมาอย่างเป็นสุข ทำเอาสาวใช้ถึงกับมึนงง
แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากถาม เสียงด้านนอกก็ดังเข้ามา
“ฮูหยินน้อย นายหญิงเล็กให้มาตามท่านไปทำหน้าที่ภรรยาเจ้าค่ะ” เสียงเข้มของแม่นมสวี่ดังขึ้นที่หน้าประตู ไม่นานมันก็เปิดออก ตามด้วยสาวใช้สองนางที่เดินเข้ามาพร้อมถาดอาภรณ์
“ทำหน้าที่ภรรยา? ที่ไหน อะไร ยังไง” ซูเฟยขมวดคิ้วทันที
“เฝ้าหน้าศพเจ้าค่ะ” แม่นมจางเอ่ยตอบเสียงเรียบ
“เฝ้าศพ!!....” ซูเฟยตาโตเท่าไข่ห่าน
นิยายเรื่องนี้ไม่มีปมซับซ้อนอะไรมากนะคะ เป็นนิยายอ่านง่าย เพลิน ๆ ไม่หวือหวา ไม่งี่เง่า ออกน่ารัก อบอุ่น

