5. อ้างไปเรื่อย
สองแม่ลูกถึงกับนั่งนิ่งตัวแข็งทื่อ เมื่อหันไปเห็นใบหน้าเคร่งขรึมของแม่ทัพหนุ่ม แต่นั่นยังไม่น่ากลัวเท่ากับนัยน์ตาคมดุ ที่มันกำลังจดจ้องทั้งคู่อย่างเย็นชาจนไม่สามารถจับทิศทางได้
“อึกอักทำไมกัน เจ้ารีบพูดมาเถิด ที่นี่มีไท่ฮูหยินและนายท่านอยู่ด้วยทั้งคน เจ้ายังจะกลัวอะไร สิ่งไหนเป็นความจริงเจ้าก็เอ่ยออกมาเลย ไม่ต้องกลัว” จางซิงอี้กล่าวยั่วยุ เพื่อให้สองแม่ลูกเอ่ยคำที่ตนอยากฟังออกมา ต่อให้มันไม่ใช่เรื่องจริงนางก็พร้อมจะสนับสนุน จากนั้นนางก็ขยิบตาให้ผู้ที่นั่งอยู่ข้างกัน
อินจางซื่อจึงเผยยิ้มมุมปาก ก่อนจะรีบทรุดตัวนั่งพร้อมกับดึงบุตรสาวตนตามมาด้วย จากนั้นนางก็ร้องห่มร้องไห้ และเริ่มกล่าวเรื่องเป็นเท็จด้วยเสียงสั่นเครือปะปนกับเสียงสะอื้นไห้อย่างน่าสงสาร “ฮึก…ไท่ฮูหยิน ฮึก…ใต้เท้า นายท่านทั้งสองโปรดเมตตาข้ากับลูกด้วยเจ้าค่ะ… ท่านแม่ทัพเห็นว่าลูกสาวข้าน้อยเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา จึงไม่...” ทว่าจู่ ๆก็มีเสียงตะโกนขัดขึ้นมา
“ไฟไหม้! ไฟไหม้!”
“กะ…เกิดอะไรขึ้น” เสิ่นจินอู่รีบลุกพรวดออกมาดู
“ไฟไหม้โลงศพท่านแม่ทัพขอรับ” บ่าวชายรีบรายงาน
“รีบไปดับไฟเร็ว ประเดี๋ยวก็ลามไปกันใหญ่”
“ดับแล้วขอรับ”
“ดับแล้วเหตุใดยังต้องร้องตะโกนให้คนตื่นตกใจ”
“ฮูหยินน้อยสั่งขอรับ นางบอกว่ามันคือการสะเดาะเคราะห์ให้ท่านแม่ทัพขอรับ เรียกว่าตายแล้วเกิดใหม่ ภายหน้าชีวิตจะได้สงบสุขไร้ทุกข์ไร้โรคขอรับ” บ่าวหนุ่มรายงานอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะเหตุผลมันฟังไม่ขึ้นเลย ทว่าเขาจะทำอันใดได้นอกจากเอ่ยบอกไปตามจริง เพราะฮูหยินน้อยกล่าวเช่นนี้ขณะที่พวกเขาดับไฟ
“เหลวไหล! มีอย่างที่ไหนมาตะโกนเรื่องไม่เป็นมงคลในจวน เป็นถึงฮูหยินแม่ทัพ ทำเช่นนี้ได้หรือ” อนุจางตำหนิเสียงดังหมายให้บุตรเลี้ยงตนต้องอับอายเพราะฮูหยินไร้สกุลนางนี้
ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะนางเกลียดชังหนิงซูเฟยที่ดื้อรันไม่ยอมตกลงรับข้อเสนอที่ตนหยิบยื่นให้ ซึ่งมันทำให้นางต้องสูญเสียอำนาจการดูแลเรือน และสูญเสียผลประโยชน์ที่เคยได้รับหลังจากมารดาของเสิ่นจินหยางตายไป จางซิงอี้จึงพยายามทำทุกทางเพื่อขัดขวาง ในเมื่อไม่ยอมรับข้อเสนอ นางก็จะหาทางกำจัดเสีย
“ไปเรียกตัวนางมา ใครให้ความกล้าถึงเพียงนี้กัน”
“ไม่ต้องตามเจ้าค่ะ สะใภ้มาแล้ว” ซูเฟยก้าวเข้ามาพร้อมกับยิ้มกว้างสดใส ก่อนจะย่อกายให้ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ซึ่งนางคิดว่าเขาน่าจะเป็นบิดาของสามีตน “คารวะท่านพ่อเจ้าค่ะ” นางยิ้มให้เขา อีกฝ่ายก็ได้แต่นั่งนิ่งตะลึงงันกับความงามของสะใภ้
ซูเฟยจึงถอยออกมาแล้วหันไปหาผู้อาวุโสที่ดีกับนางที่สุด “ท่านย่าหลานสะใภ้คารวะเจ้าค่ะ คารวะเอ่อ…” หญิงสาวชะงักทันทีเมื่อหันไปสบตากับผู้ที่นั่งอยู่ข้างไท่ฮูหยิน
“แม่ทัพเสิ่น สามีที่เจ้าแต่งด้วยเมื่อวานอย่างไรล่ะ” คนแก่เอ่ยบอก พรางยิ้มเอ็นดูท่าทางตื่นตระหนกของสะใภ้
“นึกไม่ถึงว่าตัวจริงจะรูปงามกว่าป้ายวิญญาณนะเจ้าคะ”
“ฮ่า ๆ เจ้านี่นะ ช่างสรรหาคำมาพูดจริงเชียว” คนแก่หัวเราะร่วน คนพูดก็ยิ้มตาม ก่อนจะหุบลงเมื่อเห็นสายตาคมดุของแม่ทัพหนุ่มที่จ้องนางโดยไม่ยอมกะพริบตา
‘ดุเสียด้วย’ นึกในใจแล้วก็เบี่ยงตัวหนี เพื่อหันไปคารวะคนที่เหลือตามมารยาทที่พึงกระทำ ซึ่งสองหนุ่มจ้องนางไม่วางตาเลย
ก็อย่างว่า...หนิงซูเฟยนางงามหยาดฟ้ามาดินถึงเพียงนี้ ไม่แปลกหรอกที่ทั้งชายและหญิงจะมองนางเป็นตาเดียว
คงมีแค่จางซิงอี้เท่านั้นที่เห็นแล้วไม่ถูกตา นางจึงมักใช้เรื่องชาติตระกูลมากดหญิงงามให้ต้อยต่ำกว่าตนเองอยู่เสมอ
“นั่นคุณชายใหญ่พี่ชายสามีเจ้า ส่วนผู้อาวุโสที่นั่งอยู่ตรงนั้นคือไป่จิ้งโหว ส่วนนั่นซื่อจื่อหลงโหวสหายสามีเจ้า”
“ซูเฟยขอคารวะทุกท่านเจ้าค่ะ” ท่าทางสะใภ้ใหม่ช่างอ่อนน้อมนัก น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยออกมาก็ช่างไพเราะ
แม้แต่สองแม่ลูกยังได้แต่มองอย่างตะลึงงัน
“เอาล่ะเจ้ามานั่งข้างย่าเถิด” ผู้อาวุโสของจวนเอ่ยเสียงอ่อนนุ่ม พรางกวักมือเรียกหลานสะใภ้ตนให้เข้ามานั่งใกล้ ๆ
“ประเดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะไท่ฮูหยิน เมื่อครู่ฮูหยินน้อยทำเรื่องไม่ควร ไท่ฮูหยินจะต้องสั่งลงโทษนางก่อนนะเจ้าคะ” จางซิงอี้รีบกล่าวเตือนมารดาสามี มิเช่นนั้นโอกาสจะต้องหลุดลอยไปแน่ ยิ่งได้เห็นบุตรชายตนจ้องสตรีชั้นต่ำไม่วางตา นางยิ่งไม่อยากให้หนิงซูเฟยอยู่ต่อ เพราะเกรงบุตรชายตนจะเข้าไปข้องแวะด้วย
“ท่านย่าหลานสะใภ้ทำเพื่อท่านพี่จริง ๆ นะเจ้าคะ มันคือการเผาหลอก ต่อดวงชะตาเจ้าค่ะ” ซูเฟยรีบแก้ต่างให้ตนเอง แต่อันที่จริงนางเตะเชิงเทียนล้มใส่ผ้าคลุมโลงต่างหาก ทว่าแล้วใครจะกล้าบอกเล่าความซุ่มซ่ามของตนให้ผู้อื่นฟังกันเล่า
“ใครบอกสอนฮูหยินน้อยเรื่องนี้กัน ข้าเกิดมาตั้งนานไม่เคยได้ยิน โกหกทั้งเพ ปั้นน้ำเป็นตัวทั้งนั้น” จางซิงอี้ยังคงกล่าวตำหนิไม่หยุด นำพาให้สามีต้องรีบยกมือขึ้นมาห้ามปราม
เพราะในห้องยังมีแขกผู้ใหญ่นั่งอยู่ด้วย ซิงอี้แม้จะรู้ตัวว่าไม่ควรพูด ถึงกระนั้นนางก็ยังกล่าวตำหนิคนที่ตนเกลียดชังต่อ
“ขออภัยท่านโหวเจ้าค่ะ ข้าน้อยเหลืออดกับคนไร้การอบรมประเภทนี้จริง ๆ ท่านเห็นหรือไม่ นางเถียงไปข้าง ๆ คู ๆ มีอย่างที่ไหน เป็นเพียงสตรีในห้องหอ แต่กลับอวดตนว่ารู้เรื่องดวงชะตา หากไม่กล่าวว่าโกหกแล้วจะให้เรียกว่าอะไรเจ้าคะ”
ซูเฟยยกยิ้มเมื่อเห็นจางซิงอี้ยังคงไม่หยุดหาเรื่องตน นางจึงหันมาหาผู้อาวุโสของตระกูลก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานเช่นเคย “ท่านย่า เชื่อหรือไม่ว่าอีกไม่ถึงหนึ่งเค่อฝนจะตกหนักมาก หลานว่าเราควรรีบบอกบ่าวที่ตากผ้าอยู่ตรงเรือนหลัง ให้รีบเก็บผ้านะเจ้าคะ เอาไว้ฝนหยุดค่อยเอาออกมาตากก็ได้”
“ฝะ...ฝนตกหรือ จะ...” คนแก่ยังเอ่ยไม่จบก็มีเสียงแทรกมา
“เหลวไหล! หนิงซูเฟยนี่เจ้ายังกล้ากล่าววาจาเลื่อนเปื้อนหลอกลวงผู้คนอีกหรือ ท่านแม่สตรีเช่นนี้ไม่เหมาะจะเป็นสะใภ้ตระกูลเสิ่นนะเจ้าคะ นางเสียสติ พูดจาหาความจริงอันใดไม่ได้ สะใภ้ว่าเราควรขับนางออกจากตระกูล ก่อนที่นางจะทำเรื่องให้ต้องอับอายมากกว่านี้นะเจ้าคะ” ซิงอี้พยายามกล่าวโน้มน้าว เมื่อได้เห็นสีหน้าลังเลของไท่ฮูหยิน “มิเช่นนั้นถามท่านแม่ทัพดูก็ได้ ในเมื่อเขามาแล้วก็ถามดูว่าเต็มใจรับหนิงซูเฟยเป็นฮูหยินหรือไม่”
ทุกสายตาจึงหันมาหาผู้ที่ถูกกล่าวถึง รวมถึงซูเฟย เพราะนางอยากรู้เช่นกันว่า เสิ่นจินหยางจะยินดีให้นางเป็นภรรยาหรือไม่
“เด็กดีไม่ต้องกังวล ต่อให้หยางเอ๋อร์ไม่รับเจ้าไว้ ย่าก็ไม่ปล่อยให้เจ้าอดหรอก สิ่งที่รับปากไว้ ย่าไม่เคยลืม” ไท่ฮูหยินลูบมือขาวเนียนเบา ๆ เพื่อปลอบประโลมใจดวงน้อย
“ฮึก...ขอบคุณท่านย่าเจ้าค่ะ ข้ารักท่านที่สุดเลย” ซูเฟยตั้งท่าจะโผเข้ากอดผู้ที่เมตตาตนมาตลอดหนึ่งเดือน ทว่า...
“ฮึก…ฮูหยินน้อยนี่ท่านคิดจะเล่นอะไรหรือเจ้าคะ แสร้งสร้างเรื่องกลบเกลื่อนเรื่องของบุตรสาวข้าใช่หรือไม่ วางเพลิงเผาโลงศพ โกหกว่าฝนจะตก นี่ท่านตั้งใจจะก่อกวน เพื่อไม่ให้ท่านแม่ทัพรับลูกสาวข้าไว้สินะ ฮึก…พวกท่านดูสิเจ้าคะ ทุกคนกำลังจะลืมเรื่องของบุตรสาวข้าไปหมดแล้ว หรือเห็นว่าพวกเราเป็นคนธรรมดา ไร้ศักดิ์ไร้ศรีไร้สกุล จึงคิดจะรังแกอย่างไรก็ได้”
ซูเฟยมองสองแม่ลูกครู่หนึ่ง ‘เล่นละครแนวตั้งอยู่หรือไง มารยาซะ เห็นแล้วน่าตบชะมัด’ ก่นด่าสองแม่ลูกในใจ ก่อนจะหันมาทางบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีตนในยามนี้
#ลูกสาวแถเก่งไม่ต้องห่วงนะแม่ๆ 555
