บท
ตั้งค่า

3. เสียสติจึงแต่งกับป้ายวิญญาณ

เช้าตรู่ของวัน…

คนที่กำลังหลับสบายก็ถูกปลูกให้ตื่น ร่างอรชรที่ยังมีชุดไว้ทุกข์คลุมกายขยับลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ พร้อมกับกางแขนออกกว้าง ตามมาด้วยเสียงหาวที่ดังและยาว แต่โชคยังดีที่นางนั่งหันหลังให้ผู้คนที่กำลังยืนจับจ้องอยู่ที่ทางเดิน คนเหล่านี้จึงไม่ต้องทนเห็นภาพไม่งามของสตรีที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นฮูหยินของจวนแม่ทัพ

ทว่าแม้จะได้ยินแค่เสียงและได้เห็นแค่การกระทำทางด้านหลัง ถึงกระนั้นมันก็พอให้นางถูกครหาไปสามบ้านแปดบ้านแล้ว

“ฉงเล่อเจ้าบอกให้นางเตรียมตัวไปพบข้าที่เรือนใหญ่” เสียงทุ้มเย็นเอ่ยสั่งคนของตน ก่อนจะเดินนำออกไปจากลานกว้าง โดยมีสองแม่ลูกที่เคยช่วยเขาไว้สาวเท้าตามไปด้วย

“ท่านแม่ทัพจะไม่ทักทายฮูหยินสักนิดหรือเจ้าคะ” หญิงสาววัยสิบแปดปีนามว่าเจียวหมิ่นแสร้งถามชายหนุ่มที่ตนพึงใจ

“ไม่จำเป็น อีกครู่ก็ได้เจอ” แม่ทัพเสิ่นตอบกลับอย่างเย็นชา แต่เมื่อเดินมาได้สักพัก ร่างสูงกลับหยุดลงแล้วหันมาหาสองแม่ลูก

“เจียวหมิ่น เจ้ากับท่านป้าไปพักผ่อนที่เรือนก่อน ข้ายังมีธุระที่ต้องจัดการ เอาไว้เสร็จแล้วข้าจะให้คนไปรับ”

“ไปพร้อมกันยามนี้มิได้หรือท่านแม่ทัพ ข้ากับลูกอยากคารวะไท่ฮูหยินและบิดามารดาของท่าน” อินจางซื่อรีบท้วง เพราะนี่คือโอกาสดีที่ตนจะได้กล่าวถึงบุญคุณการช่วยชีวิตเขาเสียทีเดียว

จินหยางมองผู้ที่เอ่ยกับตนอย่างชั่งใจ หากเขาพาพวกนางเข้าไปพบคนในครอบครัวทันทีที่มาถึง แน่นอนว่าคนในจวนต้องเข้าใจผิด คิดว่าเขาพาภรรยากลับมาด้วยเป็นแน่

“ท่านแม่ทัพมีธุระต้องคุยกับคนในครอบครัว ท่านป้ากับเจียวหมิ่นเข้าใจถึงความเหมาะสมหรือไม่” ซานเกอเตือน พรางมองทั้งคู่ด้วยสายตาคมดุจนสองแม่ลูกหน้าถอดสี

“อะ...เอ่อ เช่นนั้นเอาไว้โอกาสหน้าเราค่อยมาคารวะคนในจวนก็ได้เจ้าค่ะ” อินจางซื่อตอบรับเสียงติดขัด

“เข้าใจง่ายก็ดี ส่วนเรื่องตามหาสามีของท่านป้า ประเดี๋ยวข้าจะให้คนของหน่วยพยัคฆ์ดำจัดการให้ ท่านป้ากลับไปพักให้สบายเถิด” จินหยางมองสตรีที่เคยช่วยเหลือตนด้วยแววตาเย็นชา

“จะ...เจ้าค่ะ” อินจางซื่อจำต้องรับคำอย่างเลี่ยงไม่ได้

“เชิญทั้งสองตามข้ามาขอรับ” ชายหนุ่มหน้าตาดีผายมือให้ทั้งคู่ทว่าพอคล้อยหลังเจ้าของจวน อินจางซื่อก็มีใบหน้าบูดบึ้ง

“ท่านแม่สำรวมหน่อย” เจียวหมิ่นกระซิบติงมารดา เมื่อเห็นว่ามีสายตามากมายเริ่มจับจ้อง อินจางซื่อจึงรีบปรับสีหน้าตน

ถึงกระนั้นความไม่พอใจก็ยังเผลอเผยออกมา เมื่อเดินห่างจากเรือนใหญ่ไปทุกช่วงขณะ จนกระทั่งออกมานอกเขตจวน ทั้งคู่จึงได้รู้ว่าพวกตนถูกจัดให้อยู่เรือนนอก แม้มันจะดีกว่าเรือนในชนบทอยู่มาก ทว่ามันกลับดูต่ำต้อยเมื่อเทียบกับจวนใหญ่ในเมือง

“ดูเรือนที่บุรุษเจ้าชื่นชอบจัดให้เราอยู่สิ เล็กกว่าเรือนคนใช้ในจวนเสียอีก ข้าบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่เจียวเอ๋อร์ ว่าให้รวบหัวรวบหางท่านแม่ทัพเสีย เขากลับเข้าจวนเช่นนี้แล้ว โอกาสของเรามันยิ่งหลุดลอยไปรู้หรือไม่ ไม่ได้ดั่งใจเลยจริง ๆ” กล่าวจบนางก็ทรุดกายนั่งลง พรางตบโต๊ะระบายความอัดอั้น

“ท่านแม่ คิดว่ามันเป็นเรื่องง่ายที่จะรวบหัวรวบหางเขาหรือ ท่านก็เห็นท่านแม่ทัพระวังตัวจะตาย ข้าเข้าใกล้ยังไม่ได้เลย”

อินจางซื่อนิ่งไปทันที ใช่…ตลอดสองเดือนมานี้ แม้บุตรสาวจะมีโอกาสได้อยู่รับใช้ภายในเรือนเดียวกันกับเสิ่นจินหยาง

ทว่ายามเมื่อเจียวหมิ่นคิดจะเข้าใกล้ อีกฝ่ายก็เหมือนจะรู้ตัวรีบหาทางเลี่ยงอยู่เสมอ สุดท้ายสองแม่ลูกจึงไม่อาจสมดั่งหวัง พวกนางจึงออกกลอุบาย ขอตามเข้าเมืองหลวงด้วย โดยอ้างว่าจะมาตามหาหัวหน้าครอบครัวที่เดินทางมาทำการค้าที่นี่

ด้วยความที่ทั้งคู่เคยช่วยเหลือแม่ทัพหนุ่มในยามลำบาก เขาเลยยอมให้ติดตามมาเพื่อตอบแทนบุญคุณ

ทว่าสองแม่ลูก กลับคิดจะใช้โอกาสนี้ทวงถามเอาความชอบกับคนสกุลเสิ่น ไม่แน่ว่ามันอาจสำเร็จสมดังหวัง

สตรีบ้านนอกอาจได้เป็นฮูหยินของแม่ทัพก็เป็นได้

ทว่าเมื่อเดินทางเข้าใกล้เมืองหลวง พวกนางกลับได้ยินว่า ตระกูลเสิ่นจัดงานมงคลให้บุตรชายคนรองที่ตายจากไปแล้ว เมื่อแม่ทัพเสิ่นกลับมา เขาจึงกลายเป็นบุรุษที่มีภรรยาเอกไปเสียได้

ยามนี้อินจางซื่อจึงร้อนใจเป็นอย่างมาก ขนาดเขายังไม่มีพันธะ เสิ่นจินหยางยังรักนวลสงวนตัวไม่ยอมให้สตรีใดเข้าใกล้

เมื่อมีภรรยาแล้วเช่นนี้ ความพยายามของตนกับลูกจะไม่ยิ่งสูญเปล่าไปอีกหรือ ยิ่งคิดนางก็ยิ่งหงุดหงิด

ด้านคนที่ถูกพูดถึง กำลังก้าวเข้าห้องโถงใหญ่ของจวนด้วยใบหน้าเรียบเฉย ราวกับในหัวไม่มีเรื่องใดให้คิด

ผิดกับคนสนิทนามว่าฉางฟู่ซึ่งมีท่าทางหงุดหงิดอย่างมากคงเพราะเขาไม่ชอบใจการกระทำของสตรีที่ถูกเรียกว่าฮูหยินน้อยแห่งจวนเสิ่น “ไร้มารยาท ไร้การอบรม ไม่รู้ใครกันรับสตรีเช่นนี้แต่งเข้าตระกูลเสิ่นของเรา” เสียงก่นว่ายังดังอย่างต่อเนื่อง

“ฉางฟู่เจ้าจะร้อนใจไปไย รอถามนายท่านกับไท่ฮูหยินก่อนว่าเรื่องมันเป็นมาเช่นไร” ซานเกอตำหนิสหายที่ร้อนใจไปทุกเรื่อง

ฉงเล่อจึงกล่าวเสริมว่า “เจ้าลืมไปแล้วหรือ งานมงคลที่เกิดขึ้นแท้จริงมันคืองานของคนเป็นกับคนตายนะ เจ้าคิดว่าสตรีที่ดี จะยอมมาแต่งกับป้ายวิญญาณหรือ คิดสิคิด” นิ้วเรียวจิ้มที่ขมับสหายเพื่อชี้แนะ ซึ่งบัดนี้อีกฝ่ายยิ้มแหยออกมาแล้ว

“ฮ่า ๆ ก็จริง สตรีดีดีที่ไหนจะยอมแต่งกับป้ายวิญญาณ” ฉางฟู่ยกมือขึ้นมาเกาศีรษะแก้เก้อ ก่อนจะมองออกไปนอกห้อง

“ท่านแม่ทัพ! ท่านแม่ทัพกลับมาแล้วดีเหลือเกิน” พ่อบ้านเสิ่นวิ่งหน้าตื่นเข้ามา ไม่นานนักก็ปรากฏร่างของใต้เท้าเสิ่น บิดาของแม่ทัพหนุ่ม รวมถึงอนุจางภรรยาคนแรกของบิดาเขา

“หยางเอ๋อร์เจ้ากลับมาแล้ว เจ้ายังไม่ตาย ดีจริง ๆ” ผู้เป็นพ่อเดินเข้ามาหา พรางยกมือขึ้นจับไหล่ทั้งสองข้างของบุตร

“ลูกยังอยู่ดีขอรับ ขออภัยที่ทำท่านพ่อเป็นห่วง” จินหยางกล่าวพร้อมกับถอยมาคำนับบิดา ซึ่งคนสนิททั้งสามก็ทำไม่ต่างกัน

“ไม่ต้องมากพิธี รีบนั่งก่อน” เสิ่นจินอู่รีบประคองบุตรตนนั่ง โดยมีมารดาเลี้ยงมองตามพรางยิ้มอ่อน ราวกับยินดีนักหนา

“ท่านพ่อ ลูกอยากรู้ว่าใครคือคนต้นคิดจัดงานศพและงานแต่งพร้อมกัน คงไม่ใช่ท่านกระมัง” จินหยางจ้องหน้าบิดา

“จะมีใครคิดเรื่องพิเรนทร์เช่นนี้ได้ หากมิใช่ย่าของเจ้า” เสิ่นจินอู่ตอบเสียงเบื่อหน่าย เพราะเขาคัดค้านจนเสียงแหบแห้งไปหมด ทว่ามารดาหาได้ฟังไม่ สุดท้ายเขาเลยต้องจัดงานนี้ตามความต้องการของบุพการี มิเช่นนั้นนางคงไม่ยอมกินอะไรอีก

“พิเรนทร์จริง ๆ” จินหยางพึมพำแผ่วเบา มีอย่างที่ไหนจัดงานแต่งให้คนเป็นกับคนตายแล้วก็จัดงานศพต่อ ทว่าเรื่องเหล่านี้เขาไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก เพราะยังมีเรื่องที่เขาอยากรู้มากกว่า แต่ยังไม่ทันได้ถามไถ่ เสียงคุ้นเคยก็แทรกขึ้นมาให้เสียจังหวะ

“เรื่องนี้จะโทษท่านย่าเสียทั้งหมดมันก็ไม่ถูก หากน้องรองส่งข่าวมาบอกเราสักนิด ท่านย่าคงไม่จัดงานบ้าบอนี่จนทำให้จวนเสิ่นของเราต้องอับอาย เป็นที่หัวเราะขบขันให้ชาวเมืองได้กล่าวถึงทุกเมื่อเชื่อวันเช่นยามนี้กระมัง” เสิ่นหานเยว่กล่าวในขณะที่เดินเข้ามา ซึ่งคนผู้นี้คือบุตรชายคนโตของตระกูล

ทว่าฐานะเขากลับเทียบเสิ่นจินหยางไม่ได้เลย เนื่องจากน้องชายต่างมารดาเป็นบุตรสายตรงที่เกิดจากฮูหยิน

ที่สำคัญมารดาของจินหยางยังเป็นถึงพระธิดาขององค์หญิงใหญ่ นั่นเท่ากับว่าแม่ทัพเสิ่นก็คือหลานชายของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ซึ่งมันแตกต่างจากบุตรอนุที่เผอิญได้เกิดก่อนอย่างเขานัก

#นางเอกอีแม่กลายเป็นหญิงวิปลาสไปแล้ว

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel