บท
ตั้งค่า

2. กลัวผีแต่ต้องเฝ้าโลง

ซูเฟยยืนนิ่งตัวแข็งทื่อ เพราะนึกไม่ถึงว่าตนจะได้ไปนั่งเฝ้าโลงศพของสามี นางคิดว่าเขาถูกฝังไปแล้วเสียอีก

“อย่ามัวชักช้าเจ้าค่ะ แขกเหรื่อกำลังรอเซ่นไหว้ท่านแม่ทัพอยู่ ประเดี๋ยวคนจากพระราชวังก็จะมาแล้ว ฮูหยินน้อยควรรีบแต่งกายแล้วไปนั่งรอที่หน้าแท่นเคารพเจ้าค่ะ” แม่นมสวี่พยักหน้าให้สาวใช้ที่ติดตามตนมา ทั้งสองจึงรีบจัดการเปลี่ยนชุดให้เจ้าสาว

ซูเฟยก็ได้แต่ยืนปล่อยให้พวกนางจัดการ เพราะในใจนางคิดว่า นี่คือหนึ่งการแสดงที่นางจะต้องรับในค่ำคืนนี้

‘เอาเถิด…อย่างไรงานเลี้ยงมันย่อมมีวันเลิกลา อดทนไว้เพื่อวันหน้านะซูเฟย’ บอกตนเองในใจ

จากนั้นเมื่อเตรียมตัวแล้วเสร็จ นางก็เอ่ยกับแม่นมสวี่ว่า

“ท่านป้า ขอข้ากินอะไรก่อนได้หรือไม่ หากให้ไปนั่งโดยที่ท้องหิว ข้าอาจจะทำเสียเรื่องได้นะเจ้าคะ” ร้องขอพรางยกมือไหว้ และนางยังกระพริบตาถี่อย่างน่าสงสาร ทว่าคำตอบที่ได้นั้น

“แขกเหรื่อกำลังรออยู่ ฮูหยินน้อยอย่าเรื่องมากนักเลย”

“เช่นนั้นข้าก็ไม่ไป ท่านป้าหาคนแทนเอาแล้วกัน” เอ่ยจบนางก็นั่งลงบนเตียง ไม่แยแสว่าอีกฝ่ายจะทำหน้าเช่นไร ในใจนางก็ไม่อยากต่อต้านหรอก ทว่าซูเฟยรู้ดีว่าหากตนหิวแล้วมักจะปวดท้อง ฉะนั้นนางจะไม่มีทางปล่อยตนเองทรมานแน่

“นี่ท่าน” คนแก่ได้แต่ชี้หน้าค้างไว้

“ป้าก็เลือกเอา จะยอมให้ข้ากินโดยเสียเวลาเพียงครู่ หรือโต้เถียงกันอยู่เช่นนี้แล้วเสียเวลาเป็นชั่วยาม” หญิงสาวข่มขู่

“ก็…ก็ได้ รีบไปยกอาหารมาสิ” แม่นมสวี่ร้องสั่ง

พอดีที่จินจูถือถาดบะหมี่เข้ามา ซูเฟยจึงรีบลุกตรงไปนั่งกิน ซึ่งนางใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจ อาหารในชามก็หมดเกลี้ยง

“เห็นหรือไม่ ข้าใช้เวลาไม่นานเลย” เอ่ยจบก็หันมารินชาดื่ม ก่อนจะขยับลุกจัดแจงอาภรณ์ของตนให้เรียบร้อย “เอาล่ะ ไปได้”

คนแก่หลับตาค้อนไปหนึ่งที ก่อนจะเดินนำออกมาพร้อมกับการสอนสั่งที่แสนน่าเบื่อ คนด้านหลังก็ได้แต่ทำปากขมุบขมิบ แต่ก็ยังเดินตามออกมาด้วยท่าทางสำรวมดั่งกุลสตรีเพรียบพร้อม

นั่นเพราะในยุคปัจจุบัน ซูเฟยร่ำเรียนขนบธรรมเนียมมารยาทของคนโบราณมาตั้งแต่เด็ก ด้วยว่าคุณปู่คือผู้กำกับชื่อดัง เด็กน้อยในยามนั้นจึงถูกปลูกฝังเรื่องราวเหล่านี้ใส่หัว เพื่อส่งเสริมให้การแสดงในวันหน้า ประสบผลสำเร็จมากที่สุด

ทว่าชีวิตที่เปรียบดั่งหงส์ในยุคที่มีแต่ความเจริญ กลับโลดแล่นได้เพียงแค่สิบกว่าปี หลังเธอตกผาเพราะสลิงขาด ชีวิตที่เหมือนอยู่บนสรวงสวรรค์ กลับแปรเปลี่ยนเป็นดิ่งลงเหวในทันใด

ช่วงแรกที่นางรู้ตัวว่าตนย้อนอดีตมาอยู่ในยุคโบราณ ซูเฟยเคยลองไปกระโดดหน้าผาจุดที่ตนข้ามมิติมา ทว่ามีแต่เจ็บตัวจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด หญิงสาวจึงเลิกล้มความตั้งใจไป

สุดท้ายจึงตัดสินใจ รับข้อเสนอของไท่ฮูหยิน ผู้อาวุโสประจำจวนเสิ่น ซึ่งซูเฟยได้ช่วยชีวิตนางไว้เมื่อหนึ่งเดือนก่อน

ข้อตกลงบ้าบอนี้จึงบังเกิดขึ้น

หากซูเฟยยอมแต่งเป็นสะใภ้รองของจวน ไท่ฮูหยินก็จะมอบฐานะให้ ทว่าห้ามขอหย่าจนกว่าจะครบสามปี และแน่นอนว่าซูเฟยตอบรับทันที แม้จะรู้อยู่แล้วว่าตนต้องแต่งกับคนตาย

สำหรับนาง…แต่งกับคนตายแล้ว ย่อมดีกว่าแต่งกับคนมีชีวิต อย่างน้อยก็ไม่ต้องฝืนใจร่วมหอกันเหมือนสตรีในยุคนี้

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครบกำหนดนางจะได้รับเงินก้อนโตด้วย

ทนแค่สามปี ก็จะได้ชีวิตอิสระ มันก็ดีกว่าต้องไปเร่ร่อนและเสี่ยงกับการถูกจับไปเป็นทาสมิใช่หรือ

สองปีนี้ เขาให้ทำอะไรก็ทนทำไปก็แล้วกัน ทว่าแม้นางจะคิดเช่นนี้ นิสัยดื้อรั้นก็ยังชักพาให้นางเผลอต่อต้านในบางครา

หลังจากเดินมาพักหนึ่ง กลุ่มของแม่นมสวี่ก็มาถึงลานกว้างที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้และพืชพันธุ์นานาชนิด หากเป็นยามกลางวันมันคงดูงดงามมาก ทว่าพอเป็นกลางคืนเช่นนี้กลับดูวังเวงนัก หรืออาจเป็นเพราะศาลาที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า มีโลงศพตั้งรวมอยู่ด้วย บรรยากาศโดยรอบจึงดูอึมครึมน่าหวาดหวั่น

ซูเฟยกลืนน้ำลายเล็กน้อย ก่อนจะก้าวตามไปจนถึงหน้าทางขึ้น ซึ่งมีชายฉกรรจ์นับสิบยืนเรียงแถวพร้อมกับทำหน้าขรึม

‘คงเป็นพวกทหารคนสนิทของคนตายกระมัง’ หญิงสาวนึกในใจ ก่อนจะก้าวตามแม่นมสวี่เข้าด้านใน ซึ่งไม่มีใครเห็นใบหน้านาง เนื่องจากชุดที่สวมใส่ มันคลุมใบหน้าเอาไว้ครึ่งหนึ่ง หากมีใครมองมาก็จะเห็นเพียงปากอิ่มสีแดงเรื่อเท่านั้น

“มาแล้วก็รีบไปทำหน้าที่ของเจ้าเสีย” อนุจางออกคำสั่งอย่างวางอำนาจ ด้วยว่าการแต่งงานนี้นางไม่ได้เห็นชอบด้วยเป็นอย่างยิ่ง แต่เพราะขัดมารดาสามีไม่ได้ นางจึงต้องปฏิบัติตาม

“เจ้าค่ะ” ซูเฟยรับคำอย่างจำยอม ก่อนจะยอบกายลงบนพรมที่ถูกเตรียมไว้ จากนั้นนางก็หยิบกระดาษมาเผาให้สามีผู้ล่วงลับ ยามมีแขกมา นางก็จุดธูปส่งให้ตามหน้าที่ ทำอยู่เช่นนี้จนดึกดื่น เมื่อแขกซาแล้วนางจึงได้หยุดพัก แต่ก็ยังคงลุกออกมาด้านนอกไม่ได้ เพราะมีคนของจวนคอยจับตาดูอยู่

ทว่าสำหรับคนกลัวผีอย่างซูเฟย กลับมองว่ามันเป็นเรื่องดี นางจึงไม่คิดติดใจเอาความที่ค่ำคืนนี้ตนถูกควบคุม

แต่นั่นมันเป็นเรื่องในช่วงก่อนเที่ยงคืน ซึ่งหลังจากนั้น กลุ่มคนที่ยืนเรียงรายอยู่ด้านนอก กลับเริ่มทะยอยหายไปทีละคน รวมถึงบ่าวที่ถูกส่งมาเฝ้าสะใภ้ใหม่ก็หายไปด้วย

จนยามนี้เหลือเพียงนายทหารด้านหน้าสองนาย และสาวใช้สองนาง ซึ่งนั่งเฝ้าทำตัวเหมือนรูปปั้นราวกับไม่มีวิญญาณ

“จินจู เมียนจู เรากลับกันได้หรือยัง อนุจางไม่ได้บอกให้อยู่ทั้งคืนมิใช่หรือ” ซูเฟยเอ่ยถามเสียงแหบเบา ราวกับเกรงว่าใครจะได้ยิน ใช่…นางกลัวว่าผู้ที่อยู่ในโลงจะได้ยิน

“ฮูหยินน้อยกลัวหรือเจ้าคะ” เมียนจูเอ่ยถามพรางยิ้มเอ็นดู

“ก็กลัวน่ะสิ แล้วพวกเจ้าไม่กลัวหรือ”

“กลัวอะไรเจ้าคะ ในโลงไม่มีศพเสียหน่อย”

“หา! ไม่มีศพเหรอ ละ…แล้วเราเซ่นไหว้ใครกันล่ะ” ดวงตาคู่สวยโตเท่าไข่ห่าน พรางลุกพรวดขึ้นจนผ้าคลุมศีรษะหลุดลงมา

“ก็เซ่นไหว้ท่านแม่ทัพนั่นแหละเจ้าค่ะ ทว่าเซ่นไหว้โลงเปล่า เพราะร่างของท่านแม่ทัพยังหาไม่พบเจ้าค่ะ” จินจูเอ่ยบอก

“หาไม่พบ แล้วเหตุใดจึงกล้าบอกว่าเขาตายเล่า”

“ตกผาสูงขนาดนั้น ไม่มีทางรอดได้หรอกเจ้าค่ะ”

“สูงมากเลยเหรอ” ซูเฟยยอบกายนั่งลงอีกครั้ง

“บ่าวได้ยินว่าสูงมากเจ้าค่ะ ที่สำคัญจุดที่ตกก็เป็นดินแดนของศัตรูด้วย นี่ก็ผ่านมาสามเดือนแล้วยังหาตัวท่านแม่ทัพไม่พบเลย หากรอดคงมีคนส่งข่าวมาบอกแล้วเจ้าค่ะ”

“นี่คือชีวิตจริงไม่ใช่ซีรี่ย์สินะ ตกผาสูงยังไงก็ไม่มีทางรอดแน่ แต่เอ๊ะ…เราก็รอดนะ” หญิงสาวพึมพำแผ่วเบา

“ฮูหยินว่าอะไรหรือเจ้าคะ” เมียนจูขมวดคิ้วมอง

ผู้เป็นนายจึงรีบส่ายศีรษะ ก่อนจะเอ่ยว่า “เช่นนั้นเรากลับห้องกันเถิด จะมาเฝ้าโลงเปล่าทำไมกัน”

“แต่อนุจางสั่งให้ท่านเฝ้าอยู่ที่นี่นะเจ้าคะ” จินจูยิ้มแหย

ใบหน้างามงอง้ำทันที ทว่าเพียงไม่นานนางก็เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้าไปเอาผ้าห่มกับหมอนมา เราจะนอนมันตรงนี้แหละ”

สาวใช้ทั้งสองมองหน้าอย่างไม่เชื่อ ผู้เป็นนายจึงร้องสั่งอีกหน เมียนจูจึงขยับลุกออกไปจัดการตามที่นางบอก หนึ่งเค่อต่อมา ทั้งสามก็นอนเรียงรายอยู่หน้าโลงศพเปล่า โดยมีผู้เป็นนายนอนอยู่ตรงกลาง และซูเฟยก็รีบปิดเปลือกตาเพื่อพาตนหลับไปก่อนใคร

คนกลัวผีเช่นนาง ไหนเลยจะยอมหลับทีหลังคนอื่น

#ลูกสาวชิงหลับก่อนเลย 555

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel