บทที่ 4
“เชื่อมั่นในตัวเองไว้ศิตา”
“ศิตาจะพยายามค่ะพ่อ”
“นี่ก็ดึกมากแล้ว ลูกไปนอนพักซะ พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า”
“ค่ะ” มาศิตาเอ่ยรับอย่างปลงๆ เธอเดินเข้าไปสวมกอดพ่อแล้วหอมแก้มซ้ายขวาอย่างที่เคยทำก่อนเข้านอน จากนั้นก็กลับไปยังห้องนอนตัวเอง เพื่อจัดกระเป๋าอะไรให้เรียบร้อย
ขณะนั้นอาทิตย์ทำเพียงแค่นั่งมองรูปของมาศิตาอยู่เงียบๆ กระทั่งเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น แม้จะไม่ปรากฏชื่อแต่อาทิตย์ก็รู้ว่าใคร
เขากดรับสายและเอ่ยสนทนาด้วยความสุภาพ ซึ่งหัวข้อการสนทนาดูเหมือนจะมีแต่เรื่องของมาศิตาเกือบทั้งหมดกระทั่งประโยคหนึ่งดังขึ้น
“ผมขอฝากศิตาด้วย เธอคือแก้วตาดวงใจของผม โปรดดูแลเธอให้ดี”
มาศิตานอนกระสับกระส่าย ก่อนจะสะดุ้งตื่นเอาตอนตีห้า ก่อนจะรีบจับคอตัวเองทันที ฝันบ้าๆ บอๆ สงสัยวันนี้สมองจะหมกมุ่นกับซิกแพคแวมไพร์ในหนังที่ได้ดูมากไป ถึงได้ฝันเป็นตุเป็นตะว่าถูกแวมไพร์กัดคอเอาเสียได้ แถมในฝันเธอยังเต็มใจให้แวมไพร์ดูดเลือดอีกต่างหาก คิดแล้วก็เสียวคอแปลกๆ
“บ้าไปแล้วแน่ๆ” มาศิตาส่ายหน้าให้ตัวเอง แล้วรีบลงจากเตียงก้าวยาวๆ ไปยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ในห้องแต่งตัว และสิ่งที่เธอเห็นบนลำคอขาวๆ ก็ทำเอาหน้าซีด
นั่นเพราะมันคือจุดสีแดงสองจุดที่อยู่ห่างกันสองนิ้วคืออะไร ดาวลูกไก่หรือก็คงไม่ใช่ เรียกได้ว่าตอนนี้ตื่นเต็มๆ ตากันเลยทีเดียว มาศิตาเพ่งสายตามองจุดแดงๆ บนคออีกครั้ง มองไปมองมา รอยนี่มันเหมือนรอยเขี้ยวก็ไม่ใช่เสียทีเดียว ก่อนจะได้ยินเสียงที่คาดว่าน่าจะคือตัวการใหญ่
“ไอ้ยุ่งบ้า กัดตรงไหนไม่กัด มากัดคอแถมกัดตั้งสองจุด มันน่าฉีดไบกอนให้ไปนอนชักบนพื้นนัก...ฮึ๋ย” เอ่ยคาดโทษจบก็ยกมือไล่ตบยุงไปสามสี่ครั้ง
พอจะกลับไปนอนต่อก็ไม่รู้สึกง่วง จึงก้าวเข้าไปยังห้องน้ำ อาบน้ำมันเสียเลย แม้จะมั่นใจว่ารอยแดงๆ สองรอยนี่คือรอยที่ยุงบังอาจฝากไว้ แต่ความฝันว่าถูกแวมไพร์กัดคอก็ยังคงตามมาหลอกหลอนเป็นระยะๆ
เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ มาศิตาก็ลงไปทำกับข้าว และถือโอกาสเตรียมรอใส่บาตรไปในตัวด้วย
“เดินทางดีๆ นะลูก ถึงเชียงรายจะมีคนจากไร่มารับ” อาทิตย์โอบกอดลูกสาวที่กำลังเตรียมตัวขึ้นเครื่องบินไปยังเชียงราย
“พ่อก็ดูแลสุขภาพนะ อย่าทำงานหนัก อย่านอนดึก กินยาตามที่หมอสั่ง ข้อนี้ห้ามลืมเด็ดขาด” มาศิตาร่ายยาว
“ไม่ลืมๆ รีบเข้าไปข้างในเถอะ จะได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว”
“ค่ะ” น้ำเสียงสั่นๆ เอ่ยรับ ก่อนจะสวมกอดพ่ออีกครั้ง แล้วตัดใจเดินเข้าไปภายในอาคารผู้โดยสาร มาศิตาหันมาโบกไม้โบกมือให้อาทิตย์พร้อมด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินหายเข้าไปภายในเพื่อรอขึ้นเครื่อง
มาศิตาเดินทางถึงเชียงรายราวๆ สิบโมงเช้า และเมื่อมาถึงก็มีคนมารอรับอยู่ก่อนแล้ว โดยชูป้ายชื่อซะสูงเตะตาขนาดนั้น เธอไม่เห็นก็ไม่รู้จะว่ายังไง
จากนั้นก็ได้เวลาออกเดินทางไปยังบ้านที่พ่อเรียกว่าเจ้านายใหญ่ แต่สาวเมืองกรุงก็ออกอาการเมารถเข้าให้จนหน้าซีดหน้าเซียว จะไม่ให้เธอเมารถได้ยังไง เพราะมองตรงไปตามถนนเห็นแต่โค้งเต็มไปหมด เดี๋ยวรถก็เลี้ยวโค้งซ้าย โค้งขวา โคกหักซอก โค้งๆๆๆ
“ลุง…นี่ยังไม่ถึงอีกเหรอคะ”
“ยังครับ แต่ใกล้แล้ว”
“ใกล้อีกแล้ว ลุงบอกหนูว่าใกล้ตลอด แต่นี่มันผ่านมาสามใกล้แล้ว ยังไม่ถึงเลยนะ” ที่บอกว่าสามใกล้ นั่นเพราะมาศิตาถามลุงขับรถสามครั้งว่าจะถึงที่หมายหรือยัง ลุงแกบอกทุกครั้งว่าใกล้แล้ว
“แต่คราวนี้ใกล้จริงๆ ผ่านเขาลูกนู้นก็ถึงแล้ว”
“เขาลูกนู้น ตายๆ หนูเมารถตายก่อนแน่ๆ” เขาลูกนู่นที่ว่าคือลูกที่อยู่ไกลลิบ มาศิตาถอนหายใจหนักๆ อย่างปลงๆ และอยู่กับอาการพะอืดพะอมชวนอาเจียนต่อไป
บ้านเจ้านายใหญ่ของพ่อชวนเมาโค้ง แถมยังอยู่ไกลจากตัวเมืองมากซะขนาดนี้ มิน่าถึงต้องการให้เธอไปเป็นผู้พิทักษ์ สอนหนังสือให้
มาศิตานั่งสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ ขณะที่รถกำลังเลี้ยวโค้งนับสิบๆ โค้ง กระทั่งมองเห็นป้ายบอกทางเข้าไร่ เธอจึงอ่านมัน
“ไร่อุ่นตะวัน ชื่อน่าอยู่จัง” หญิงสาวเผลอยิ้มออกมา ถ้าปล่อยวางเรื่องทางโค้งที่ทำให้สมองเบลอ จนเกือบเอาอาหารในท้องออกมาทางปากแล้วละก็ บรรยากาศรอบๆ ตัวเธอตอนนี้ก็เต็มไปด้วยความสดชื่นของพันธุ์ไม้น้อยใหญ่สีเขียวขจี
มาศิตาลดกระจกรถลงแล้วปล่อยให้ลมเย็นๆ ปะทะใบหน้า เธอสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ และนั่นก็ทำให้อาการเมารถทุเลาลงไปได้บ้าง
“ที่นี่อากาศดีจังเลยค่ะลุง”
“อากาศจะเย็นๆ แบบนี้ทั้งปีครับ”
“ดีจังเลยค่ะ ไม่เหมือนกรุงเทพฯ เพราะที่นั่นร้อนทั้งปี อ้อ...มีบางปีที่แบบร้อนมากก ร้อนที่สุด เพิ่มเข้ามาด้วย” มาศิตาบ่นสภาพอากาศของเมืองหลวงที่แสนจะศิวิไลซ์
“เลยโค้งนี้ไปก็ถึงไร่แล้วครับ”
“ไร่อุ่นตะวัน” มาศิตาเอ่ยชื่อไร่อีกครั้ง ก่อนจะมองเห็นรั้วไม้กั้นอาณาเขต กระทั่งมาถึงประตูทางเข้าไร่ พอรถขับผ่านเข้าไปข้างใน กลิ่นหอมๆ ของอะไรสักอย่างก็ลอยมาเตะจมูกจนต้องสูดกลิ่นนั้นเข้าเสียเต็มปอด
“กลิ่นอะไรคะลุง หอมชื่นใจจังเลย” เอ่ยจบก็สูดกลิ่นหอมๆ นั่นเข้าเสียเต็มปอด
“ดอกไม้ครับ ที่นี่ปลูกไม้เมืองหนาวส่งออกนอก” แค่ได้ยินว่าที่นี่ปลูกดอกไม้ มาศิตาก็ชักอยากจะเห็นดอกไม้สวยๆ พวกนั้นเสียแล้ว
“ถึงแล้วครับ” คนขับรถเอ่ยขึ้น เมื่อจอดรถหน้าบ้านที่ถูกออกแบบได้อย่างลงตัว มองผิวเผินราวกับอยู่ในชนบทแถวๆ ยุโรปไม่มีผิด บ้านเน้นโทนอบอุ่น ถูกสร้างให้กลมกลืนไปกับธรรมชาติ ขุนเขาด้านหลังมีหมอกจางๆ ปกคลุมอยู่ ธรรมชาติที่อยู่รอบตัวแบบนี้ทำให้มาศิตาฉีกยิ้มกว้างได้ง่ายๆ
“เชิญในบ้านก่อนครับ เดี๋ยวกระเป๋าผมถือเข้าไปให้”
“ขอบคุณค่ะ” มาศิตาเอ่ยรับ พร้อมๆ ก้าวลงไปจากรถ ยืนสูดอากาศที่แสนจะบริสุทธิ์เข้าปอดให้ลึกๆ อีกครั้ง
เพราะชื่นชมกับบรรยากาศรอบตัว ทำให้เธอไม่ได้ก้าวเข้าไปในบ้านตามที่คนขับรถบอก แต่กลับเดินดูนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย กระทั่งเจอกับต้นมะยมที่ออกลูกดกเต็มต้น นั่นทำให้มาศิตาน้ำลายสอกันเลยทีเดียว
ก่อนจะหันซ้าย หันขวามองรอบๆ ตัวว่ามีใครผ่านไปผ่านมาแถวนี้บ้างไหม นั่นเพราะจะได้เอ่ยขออนุญาตเก็บมะยมเข้าปากสักลูกสองลูก ได้มะยมเปรี้ยวๆ แบบนี้ อาการเมารถคงหายเป็นปลิดทิ้งแน่ๆ
“ขออนุญาตนะคะ จ้ะ…อนุญาต” เมื่อไม่เห็นใคร มาศิตาก็เอ่ยขออนุญาตและจบด้วยการอนุญาตให้ตัวเองเสร็จสรรพ เรียกได้ว่าพูดเอง เออเอง
พิกัดของมะยมลูกที่อยู่ต่ำสุด แต่มันก็สูงจนทำให้มาศิตาต้องเอื้อมสุดปลายมือ พร้อมกับเขย่งปลายเท้าราวกับนักบัลเลต์
