แวมไพร์มือใหม่ หัวใจมังสวิรัติ

97.0K · จบแล้ว
วรนิษฐา
58
บท
500
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

ดวงนั้นคือวิญญาณของคนที่คุณรัก…คุณจะทำยังไง ซ้ำร้ายเขายังจำคุณไม่ได้ และเขาเป็นถึง ‘ยมทูต’

นิยายรักโรแมนติกผู้ชายอบอุ่นพระเอกเก่งดราม่าโรแมนติก

บทที่ 1

โลกของเราหมุนเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่ภายใต้ความหมุนเปลี่ยน กลับมีบางสิ่งบางอย่างที่หยุดนิ่ง

โลกที่เต็มไปด้วยวิวัฒนาการ เทคโนโลยีอันล้ำสมัย จนทำให้มนุษย์หลงลืมบางสิ่งบางอย่าง นานวันเข้าสิ่งเหล่านั้นกลับเป็นเพียงแค่เรื่องเล่าขานที่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น และไร้ซึ่งหลักฐานเพื่อยืนยันความมีตัวตน

“พ่อขา แวมไพร์คืออะไร”

“แวมไพร์คือราชันผู้ยิ่งใหญ่แห่งรัตติกาล” เสียงทุ้มเอ่ยตอบเด็กน้อยที่นั่งอยู่บนตัก เพื่อฟังเรื่องเล่าขานตำนานแวมไพร์จากบิดา ที่มักจะเล่าให้ฟังอยู่บ่อยๆ

“จำไว้นะลูก ว่าเราคือผู้พิทักษ์ หากวันใดท่านต้องการความช่วยเหลือ เราต้องไป”

“อะไรคือผู้พิทักษ์คะ” คำถามอย่างไร้เดียงสาดังขึ้น

“ไว้โตขึ้น พ่อจะเล่าให้ลูกฟังทุกอย่าง ตกลงไหมคะ”

“ตกลงค่ะ” น้ำเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยวัยสี่ขวบเอ่ยรับ ก่อนจะตั้งอกตั้งใจฟังเรื่องเล่าจากบิดาอย่างตั้งใจ โดยคิดว่านี่เป็นเพียงนิทานก่อนนอนเรื่องหนึ่งเท่านั้น

กระทั่งวันเวลาผ่านไป เด็กน้อยเติบใหญ่เป็นหญิงสาวหน้าตาน่ารัก เธอเติบโตในยุคที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีและเพราะคำๆ นี้ทำให้ผู้คนในยุคที่เรียกว่าไอที ไม่เคยนึกฝัน ว่าเรื่องราวบางอย่างจากอดีต จะยังคงมีอยู่จริง อย่างเช่นเรื่องของ ‘แวมไพร์’

แม้เรื่องราวจะถูกนำมาถ่ายทอดให้ได้รับรู้ ให้ได้เห็นในรูปแบบของละคร ภาพยนตร์ แต่หลายๆ คนกลับคิดว่านั่นเป็นแค่เรื่องเล่า โดยหารู้ไม่ว่านอกเหนือจาก ‘แวมไพร์’ แล้ว ยังมีกลุ่มคนบางกลุ่มที่มีหน้าที่พิทักษ์และคอยรับใช้เจ้านายอย่าง ‘แวมไพร์’

คนกลุ่มนี้คือมนุษย์ที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ได้เป็นอมตะอย่างเหล่าแวมไพร์ ส่งต่อทายาทรุ่นต่อรุ่นให้สืบทอดหน้าที่มานานนับร้อยๆ ปี และหนึ่งในนั้นคือเธอ

“อ่านอะไรอยู่แก หน้าตานี่เครียดเชียว” เสียงคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยถาม ก่อนจะชะเง้อคอยาวมามองว่าเพื่อนสนิทกำลังอ่านอะไรอยู่

“อ้อ…พอดีเปิดฟีดข่าวในเฟสมาเจอเรื่องแวมไพร์เข้าน่ะ เลยอ่านฆ่าเวลา” มาศิตา กระกูลยศยิ่ง ละสายตาจากโทรศัพท์มือถือแล้วเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนแล้วยิ้มให้

ตั้งแต่เล็กจนโต เรื่องเล่าของแวมไพร์เปรียบเหมือนนิทานที่พ่อมักจะเล่าให้มาศิตาฟังเสมอ แม้จะเรียกว่านิทานแต่นั่นล้วนแต่คือเรื่องจริงทั้งสิ้น ซึ่งเรื่องนี้มาศิตารับรู้มาตลอด ว่าเธอเกิดมาในครอบครัวที่แตกต่างจากคนอื่นๆ

‘ผู้พิทักษ์’ คำๆ นี้ฟังดูศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่สำหรับมาศิตามาก ยิ่งโตขึ้นเธอยิ่งรับรู้เรื่องราวของแวมไพร์มากขึ้นตามไปด้วย แม้ถึงตอนนี้จะยังไม่มีโอกาสได้เห็นแวมไพร์ตัวจริง เสียงจริง แต่เธอก็มั่นใจว่าบนโลกใบนี้มีแวมไพร์ปะปนอยู่กับมนุษย์ เพียงแค่เธอไม่รู้ว่าใครเป็นหรือไม่เป็น

“นี่มันสมัยไหนแล้วยะ แวมพงแวมไพร์ไม่มีอยู่จริงหรอก” โรซี่คนงามแย้งขึ้นมาทันที

“มันอาจมีจริง เพียงแค่เราไม่รู้ก็ได้มั้งแก คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางทีเขาอาจเป็นแวมไพร์ก็ได้นะแก” มาศิตาแย้ง นั่นเพราะตั้งแต่เธอเกิดมา คำว่าแวมไพร์เหมือนจะอยู่ในหัวตลอด

คำๆ นี้ คนอื่นอาจหวาดกลัวจนตัวสั่น แต่สำหรับเธอกลับรู้สึกเฉยๆ อาจเพราะได้ยินบ่อยจนชินไปแล้วก็ได้

“แกอ่านข่าวจนเพ้อไปแล้วใช่มั้ย...หืม” โรซี่ส่ายหน้าให้มาศิตา นั่นเพราะเธอไม่เชื่อว่าบนโลกใบนี้มีแวมไพร์ จนกว่าจะได้เห็นกับตาตัวเอง

มาศิตาไม่รู้จะอธิบายให้โรซี่เข้าใจได้ยังไงถึงจะเข้าใจเหมือนกัน

“แวมไพร์มีหรือไม่มีอันนี้ฉันไม่รู้ แต่ที่รู้ว่ามีแน่ๆ คือนี่” เอ่ยจบ โรซี่คนงามก็ส่งโทรศัพท์มือถือมาให้ ทำเอาคนที่กำลังอ่านเรื่องแวมไพร์ถึงกับตาลุก วาว จ้องมองเรือนร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามแน่นๆ ของชายหนุ่มที่อยู่ในคลิป

“โอ้ว…ซิกแพค” คำอุทานของคนข้างๆ ทำเอาโรซี่หัวเราะตามไปด้วย นั่นเพราะรู้ว่าเพื่อนสนิทแพ้ทางให้แก่ซิกแพคผู้ชายหล่อ ยิ่งเป็นลูกครึ่งด้วยแล้ว รายนี้แทบจะคลานเข่าเข้าไปหา

“นี่แหละหนุ่มหล่อแวมไพร์ยุคสองพัน ซิกแพคเป็นซิกแพค กล้ามเป็นกล้าม น่าลากไหมล่ะ”

“นี่แวมไพร์เหรอ จริงอ่ะ” ฟังคำถามเพื่อนแล้ว โรซี่ก็ยิ้มกริ่ม ดูท่าแล้วคนข้างๆ จะเพิ่งเคยดูหนังเรื่องนี้เป็นแน่ ไม่งั้นไม่ออกอาการแบบนี้แน่นอน

“หนังย่ะ ไม่ใช่แวมไพร์ตัวจริง นี่หล่อนอย่าบอกนะว่าไม่เคยดูหนังเรื่องนี้นะศิตา”

“ก็แค่ผ่านๆ ตาบ้าง แต่ยังไม่เคยดูจริงๆ จังๆ จนจบเรื่องสักที”

“ยัยหลังเขา” โรซี่แอบแขวะคนข้างๆ นั่นเพราะหนังเรื่องนี้โด่งดังมาก มากเสียจนเป็นกระแสแวมไพร์ฟีเวอร์ไปทั่วบ้านทั่วเมือง เธอกรี๊ดและอยากได้ทั้งแวมไพร์และหมาป่ามาไว้ในครอบครองมาก

“ย่ะ ก็ฉันเป็นพวกไม่ค่อยชอบดูหนังนี่ จะได้ตามทันกูรูหนังแบบแก”

“เขาเรียกดูเพื่อเปิดโลกทัศน์หรอก แกนี่…หนังเขาออกจะดัง ไม่รู้จักซะงั้น”

“แต่ถ้าแวมไพร์จะหล่อ จะเท่ จะคูล จะน่าดึงดูดขนาดนี้นะ ฉันยอมถวายคอให้ดูดเลือดเลยเอา” มาศิตาเอ่ยแซวคนข้างๆ พร้อมๆ กับเชิดคอขึ้นแล้วยกมือมาลูบๆ คลำๆ คอตัวเองไปด้วย

“เหรอ…แต่ถ้าแวมไพร์มีจริง ฉันว่าคงแก่ หงำเหงือก ผมหงอก ใส่ฟันปลอมแล้วมั้ง ไม่หล่อดูดีน่าลากแบบในหนังนี่หรอก”

“เคยเจอแวมไพร์ตัวเป็นๆ หรือจ๊ะนาง ถึงพูดมั่นใจแบบนี้” ถามออกไปแล้วก็ชวนให้สงสัย นั่นเพราะเธอเองก็ไม่เคยเจอแวมไพร์ตัวเป็นๆ สักที เคยแต่ได้ยินเรื่องเล่าจากพ่อเท่านั้นเอง

“ไม่เคย แล้วก็ไม่อยากเจอด้วย แค่คิดก็เสียวคอจะแย่แล้ว...อึ๋ย” โรซี่ขนลุกเบาๆ

“เท่าที่รู้ แวมไพร์เขาเลือกเหยื่อเพศตรงข้ามย่ะ ถ้ารู้ว่าแกข้ามเพศมา เขาอาจช็อกที่ดูดเลือดจากเพศเดียวกันจนเพี้ยนไปเลยก็ได้นะ” คำพูดของคนข้างๆ ทำเอาโรซี่หันมาแยกเขี้ยวใส่ ก่อนจะงอนตุ๊บป่องเป็นเด็กๆ

“ปากหรือนั่น เดี๋ยวเถอะ”

“ล้อเล่นน่ะ อย่างอนเลยนะโรซี่คนงาม แห่งทุ่งบางกะปิ”

“ให้อภัย เพราะแกว่าฉันงาม แต่จะโกรธก็แกต่อท้ายคำสร้อยว่าทุ่งกะปินี่แหละ ฟังดูโบร้านโบราณ” โรซี่หันมาแยกเขี้ยวใส่คนตั้งฉายาให้เธอ จะไม่ให้ได้ฉายานี้มาได้ยังไง ก็บ้านเธออยู่เขตบางกะปินี่นา

“ก็โบราณเหมาะกับหน้าแกดีออก โรซี่แห่งทุ่งบางกะปิ เก๋ไก๋จะตาย”

“งั้นแกก็เอาไปใช้สิ”

“เรื่องอะไร บ้านฉันไม่ได้อยู่แถวบางกะปินี่ยะ จะได้ให้ใช้คำต่อแบบนั้น” มาศิตาไหวไหล่เบาๆ

“งั้นของแกต้อง ศิตาแห่งทุ่งดอนเมือง เป็นง่ะ ชื่อดี”

“พอๆ เลิกเล่น”

“คุณมาศิตา กระกูลยศยิ่ง เชิญห้องตรวจภายในหมายเลขสองค่ะ” ชื่อที่ดังขึ้น ทำเอาบทสนทนาเถียงกันเรื่องทุ่งของทั้งคู่เป็นอันต้องหยุดลง ก่อนที่เจ้าของชื่อจะควันออกหูเบาๆ ไม่ได้เคืองกับการถูกเรียกด้วยชื่อและนามสกุลเสียเต็มยศ แต่ที่ทำให้เคืองคือประโยคหลังมากกว่า

“จ้ะ…คุณพยาบาล แหม…เสียงดังขนาดนี้ เอาไมค์เลยไหม” มาศิตาบ่นกระปอดกระแปด นั่นทำให้โรซี่ที่วันนี้มาเป็นเพื่อนหันมาเบ้ปากใส่

“บ่น”

“เอ้า! ก็จะไม่ให้บ่นได้ยังไง คนอื่นรู้กันทั้งโรงพยาบาลแล้วมั้งเนี่ย ว่าฉันมาทำอะไร” ขณะคุยกับโรซี่ มาศิตาก็ไม่ได้ลุกไปหาพยาบาล ที่ตอนนี้ชะเง้อชะแง้มองหาเธออยู่

“ตรวจจิ๊มิ”