บท
ตั้งค่า

บทที่ 3

“ผลตรวจร่างกายลูกอยู่ไหน เอามาให้พ่อด้วย” นี่คือประโยคที่มาศิตาได้ยินจากผู้เป็นพ่อ แทนที่จะถามสารทุกข์สุขดิบ นี่กลับถามหาผลตรวจร่างกาย

“นี่ค่ะ” มาศิตายื่นผลตรวจร่างกายที่เธอเพิ่งไปฟังและรับเอกสารมาจากโรงพยาบาลเมื่อสองชั่วโมงก่อนให้ ดร.อาทิตย์ กระกูลยศยิ่ง หรือพ่อของเธอนั่นเอง

อาทิตย์อ่านผลตรวจร่างกายของบุตรสาวคนเดียวอย่างละเอียดทุกบรรทัด ก่อนจะผ่อนคลายขึ้นมามากเมื่อรับรู้ว่ามาศิตานั้นสุขภาพแข็งแรงดี

“แค่ไปทำงานพิเศษ พ่อถึงกับให้ศิตาไปตรวจร่างกายซะละเอียดขนาดนี้ แน่ใจนะคะว่าไม่ได้จะเอาศิตาไปขายให้ใคร”

“แล้วใครเขาจะซื้อม้าดีดกะโหลกแบบลูกไปทำเมีย...หืม” คำพูดของพ่อ ทำเอาคนฟังหน้ายู่ ก่อนจะทำหน้าค้อนๆ ส่งมาให้พ่อ ที่เป็นทั้งพ่อและแม่ในคนๆ เดียวกัน เพราะแม่ของเธอเสียชีวิตไปตั้งแต่มาศิตาอายุได้สองขวบ ตั้งแต่วันนั้นมาพ่อก็คือทุกสิ่งทุกอย่าง คอยเลี้ยงดูเธอจนเติบโตมาเป็นอย่างดี

“โธ่...พ่อ ว่าซะศิตาเสียหายหมด”

“หรือไม่จริง แต่ถ้ามีคนจะซื้อลูกจริงๆ พ่อไม่ขายเด็ดขาด”

“จริงเหรอคะพ่อ นี่พ่อรักศิตามากขนาดนั้นเลยเหรอ” มาศิตาฉีกยิ้มกว้าง ท่าทางงอนๆ เมื่อครู่หายไปไหนเสียก็ไม่รู้

“เปล่า…ที่ไม่ขายเพราะพ่อจะยกลูกให้เขาไปฟรีๆ แถมข้าวสาร อาหารแห้งให้อีกต่างหาก เขาจะได้ไม่อดตาย”

“นั่นไง นึกแล้วไม่มีผิด” ฟังแล้วมาศิตาก็คอตก แต่คนเป็นพ่อกลับยิ้มขำที่ได้แซวลูกสาวคนนี้ นั่นเพราะหลังจากนี้ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้พูดหยอกกันเล่นแบบนี้อีกหรือเปล่า

ดร.อาทิตย์ทอดสายตามองมาศิตาด้วยแววตาที่หลากหลาย ถ้าเป็นไปได้ เขาแทบไม่อยากส่งมาศิตาไปไหนไกลๆ อีก แค่ห่างกันตอนมาศิตาไปเรียนต่อที่ต่างประเทศก็น่าจะมากพอแล้ว

นั่นเพราะการไปสอนพิเศษครั้งนี้มีนัยแอบแฝง แต่คำว่าหน้าที่ซึ่งเปรียบเหมือนคำสาบานที่มีมานาน ว่าหากวันใดที่เจ้านายใหญ่ต้องการความช่วยเหลือ เขาจะยินดีช่วยโดยไม่มีข้อแม้ ถึงแม้ว่าสิ่งที่ขอจะเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของเขาก็ตามที

“แล้วนี่จัดการเก็บกระเป๋าเสร็จหรือยัง” น้ำเสียงอบอุ่นเอ่ยถามขึ้น ทำเอามาศิตาเกิดอาการงงอีกครั้ง

“จัดกระเป๋า จัดทำไมคะ”

“ก็ลูกต้องย้ายไปอยู่ที่บ้านเจ้านายใหญ่น่ะสิ”

“หา!…ต้องย้ายไปอยู่บ้านเจ้านายใหญ่” มาศิตาเอ่ยเสียงสูง หน้าตาดูตื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด นั่นเพราะเธอไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน

“ใช่…ลูกจำได้ใช่ไหม ที่พ่อเคยเล่าให้ฟังบ่อยๆ ว่าทายาทของตระกูลเราที่เป็นผู้หญิงมีหน้าที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ต้องทำ”

“จำได้ค่ะ” มาศิตาเอ่ยรับ แต่เธอไม่เคยรู้ว่ารายละเอียดของหน้าที่สำคัญนั้นมีอะไรบ้าง พ่อเพียงแค่บอกว่าถึงเวลาแล้วเธอจะรู้เอง

“ตระกูลเราเฝ้ารอที่จะทำหน้าที่ผู้พิทักษ์นี้ แต่ทว่าก็ไม่มีโอกาส เพราะไม่มีทายาทที่เป็นผู้หญิงเลย กระทั่งถึงรุ่นลูก”

“แวมไพร์ต้องการผู้พิทักษ์ด้วยเหรอคะ” มาศิตาตั้งคำถาม แค่ได้ยินคำว่าแวมไพร์ เธอก็ชักจะเสียวคอแปลกๆ แต่ไม่ได้นึกกลัวอะไรนัก คงเพราะได้ยินเรื่องแวมไพร์มาตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็เป็นได้

“ต้องการสิ เพราะเจ้านายคนนี้ของเรา ไม่ดื่มเลือด”

“มีด้วยเหรอ แวมไพร์ที่ไม่ดื่มเลือด แล้วเขาใช้ชีวิตอยู่ยังไง” คิ้วสวยๆ ผูกกันเป็นโบทันที ได้แต่คิดสงสัย ว่าเจ้านายใหญ่ของพ่อคนนี้ อาจจะยังเด็กมากแน่ๆ ถึงดื่มเลือดไม่เป็น

“กินมังสวิรัติ”

“ยิ่งไม่น่าเชื่อไปกันใหญ่”

“ไม่แปลกที่ลูกจะไม่เชื่อ แต่ไปถึงที่นั่นลูกก็จะเห็นเอง จำไว้นะศิตา ตระกูลของเรามีหน้าที่พิทักษ์ ปกป้องชีวิตเจ้านายใหญ่ ผู้ที่ให้ชีวิตแก่บรรพบุรุษของเรามาเช่นเดียวกัน ถ้าไม่มีเจ้านายใหญ่เราก็ไม่มีวันนี้ ลูกคือความหวังของพ่อ”

“แต่ศิตาไม่มีพลังอำนาจ ถึงจะได้ไปพิทักษ์ใครเขาได้ แถมใครที่ว่านั่นเป็นถึงแวมไพร์เชียวนะ” มาศิตาออกตัว เพราะคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ตกว่า คนอย่างเธอจะไปคอยปกป้อง คอยพิทักษ์ผู้ที่เป็นถึงแวมไพร์ได้ยังไงกัน

“ถึงเวลาลูกก็จะรู้เอง จำไว้นะศิตา หากวันใดลูกพบกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน จงเชื่อในสัญชาตญาณของลูก” อาทิตย์สบตาลูกสาวเพียงคนเดียว แม้อยากรับหน้าที่นี้เอง แต่ก็ไม่อาจทำได้

“ค่ะ…ลูกจะจำคำของพ่อไว้ แล้วนี่บ้านเจ้านายใหญ่ของพ่ออยู่ที่ไหนคะ”

“เชียงราย”

“เชียงรายเลยเหรอคะ ลูกชักอยากจะเห็นหน้าลูกศิษย์คนพิเศษของพ่อคนนี้ขึ้นมาเร็วๆ แล้วสิ ว่าจะน่าตีขนาดไหนกันนะ ถึงต้องให้ลูกไปสอนพิเศษให้ถึงที่แบบนี้” ภาพของลูกศิษย์ที่ปรากฏขึ้นในหัวของมาศิตาในเวลานี้คือ เด็กผู้ชายหรือผู้หญิงอายุไม่เกินสิบขวบ ที่อาจจะซนแสนซน ยึดตัวเองเป็นศูนย์รวมของจักรวาล เป็นแวมไพร์น้อย ฟันน้ำนมที่อาจพูดจาไม่รู้เรื่อง จนเธอต้องไปสอนพิเศษหรืออีกนัยคือไปเป็นผู้พิทักษ์ให้ถึงที่บ้าน เฮ้อ...คิดแล้วก็ปวดหัวรอเลยทีเดียว

“ไปถึงแล้วลูกก็จะเห็นเอง เดินทางพรุ่งนี้เช้านะ”

“เดินทางพรุ่งนี้เช้าด้วย” มาศิตาอ้าปากค้างอีกหน นั่นเพราะยังไม่ได้เตรียมตัว เตรียมใจสักเท่าไหร่ อะไรมันจะปุบปับรับโชคสองชั้นขนาดนี้เนี่ย

“ใช่”

“แล้วงานลูกล่ะคะ ใครจะรับผิดชอบ ที่รับปากพ่อว่าจะไปเป็นอาจารย์สอนพิเศษให้ ก็คิดว่าใกล้ๆ แล้วก็ไปสอนแค่วันหยุดเท่านั้นเอง” น้ำเสียงอ้อมๆ แอ้มๆ เอ่ยบอก

“งานของลูกเดี๋ยวพ่อทำแทนให้เอง ส่วนเรื่องสถานที่พ่อก็บอกอยู่นี่ไง” อาทิตย์เอ่ยรวบรัดได้ห้วนเสียจนมาศิตาคอตก เพราะงานที่ว่าคืองานบริหารโรงเรียนนานาชาติ ที่มาศิตารั้งตำแหน่งผู้อำนวยการอยู่

แม้เธอจะอายุเข้าสู่วัยเบญจเพสในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่เรื่องประสบการณ์การทำงานนั้นถือว่ามีมากพอสมควร การศึกษาก็จบปริญญาโทจากเมืองนอก ซึ่งเน้นเรื่องการบริหารสถานศึกษาโดยเฉพาะ บางครั้งมาศิตาก็ยังรับหน้าที่สอนหนังสือให้เด็กๆ ด้วย

“ลูกไม่รู้จักใครที่นั่นสักคน เกิดลูกถูกเขาฆ่าหมกป่าขึ้นมาทำไง”

“ไม่ต้องห่วง เจ้านายใหญ่คนนี้พ่อรู้จักเขาดี ดีพอๆ กับชีวิตของพ่อ เขาไม่มีวันทำร้ายลูกแน่นอน ที่สำคัญลูกพูดราวกับไม่เคยอยู่ที่ไกลๆ คนเดียว อย่าลืมว่าลูกไปโตที่เมืองนอก อยู่ไกลกว่ากรุงเทพฯ เชียงรายอีก”

“พ่อก็...มันไม่เหมือนกันนี่คะ”

“อย่าห่วงไปเลย ลูกไปอยู่ที่นั่นไม่นานก็ได้กลับบ้านแล้ว” อาทิตย์หวังให้เป็นอย่างที่พูดจริงๆ หวังให้มาศิตากลับมาในไม่ช้า แม้จะกลับมาในรูปแบบไหนเขาก็ยินดี

“แล้วนี่ลูกต้องสอนวิชาอะไรให้เขาบ้างคะ จะได้เตรียมคู่มือการสอนไปด้วย”

“สิ่งเดียวที่ลูกต้องสอนคือทำยังไงก็ได้ ให้เจ้านายคนนี้ของเราดื่มเลือดให้จงได้”

“หา! ให้ลูกไปสอนแวมไพร์ดื่มเลือด” มาศิตาอุทานเสียงหลง

“ใช่”

“เฮ้อ…จะทำได้ไหมล่ะเนี่ย” เสียงถอนหายใจดังมาจากมาศิตาหนักๆ รู้สึกหนักใจกับหน้าที่ครั้งนี้เหลือเกิน แต่รับปากพ่อไปแล้วเธอก็ต้องทำให้ได้สิ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel