บทที่ 6
ห้องทำงานของศิวนาถอยู่ชั้นเดียวกับห้องทำงานของชโยดม ชมพูนุชเดินตามเจ้าของห้องเข้ามาแต่โดยดี ทันทีที่ประตูห้องปิดลงทุกอย่างในห้องก็ดูเงียบสงบเสียจนแทบจะได้ยินเฉพาะเสียงลมหายใจของคนทั้งสองที่อยู่ในห้องนั้นเลยทีเดียว
“คุณเล็กจะให้นุชทำอะไรบ้างคะ” ชมพูนุชเอ่ยถามหลังจากที่ยืนเคว้งคว้างอยู่ในห้องเกือบสิบนาที
ตั้งแต่ที่เข้ามาศิวนาถไม่พูดไม่จาหรือแนะนำอะไรแก่ชมพูนุชเลย เขานั่งลงทำงานรับโทรศัพท์และก้มหน้าก้มตาอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ราวกับว่าในห้องนั้นมีเพียงตัวเองที่ทำงานอยู่ มันทำให้คนที่อยู่ร่วมห้องด้วยรู้สึกอึดอัดจนต้องเอ่ยถามออกมาอีกครั้งว่า
“มีอะไรให้ฉันทำบ้างคะ”
ตอนนี้ชมพูนุชรู้สึกอึดอัดมากกว่าเวลาที่คุณหญิงประภา พยายามยัดเยียดตัวเธอให้อยู่ในห้องของชโยดมเสียอีก จะไม่ให้รู้สึกเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อเอ่ยปากถามถึงสองครั้งสองครา ศิวนาถก็ยังคงเฉยเหมือนไม่ได้ยินในสิ่งที่ถามเลยแม้แต่น้อย
ชมพูนุชหยุดเมื่อเห็นสายตาคมกริบของเจ้าของห้อง ที่เงยหน้าขึ้นมามองด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
“อย่าทำเสียงดังให้เสียสมาธิเวลาทำงาน เอกสารทุกตัวในกระดาษคือเงินที่มีค่าทุกบาททุกสตางค์ของบริษัท มันเป็นทั้งเงินทุนกำไรที่จะมาหล่อเลี้ยงคนทำงานสุจริต ผมไม่ต้องการให้เกิดความผิดพลาดหรือเสียเงินโดยใช่เหตุไปกับเรื่องไร้สาระที่ไม่เป็นเรื่อง” น้ำเสียงคนพูดขึงขังพอๆ กับสีหน้า
“คุณ...” ชมพูนุชหน้าชารู้สึกเหมือนถูกชกกลางอากาศ อึ้งกับคำพูดบาดลึกของเขาเสียเหลือเกิน
สาวน้อยพูดไม่ออกนับหนึ่งถึงร้อยในใจ บอกกับตัวเองว่ามันก็ไม่แปลกหากว่าคุณหญิงประภาจะบอกเล่าเรื่องราวถึงสาเหตุการเข้ามาที่นี่ของตน และมันก็ไม่แปลกหากว่าศิวนาถจะรู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่เธอตัดสินใจ ใครจะชอบบ้างเล่าที่ต้องเสียเงินนับสิบล้านช่วยครอบครัวคนอื่นที่ไม่ใช่ญาติ และได้ตัวผู้หญิงคนหนึ่งมายัดเยียดให้เป็นสมาชิกของบ้านราวกับเงินขัดดอกก็ไม่ปาน
“โน่น ที่นั่งของเธอ” ชายหนุ่มชี้ไปที่โซฟาซึ่งอยู่ตรงข้ามโต๊ะทำงานของตน
ชมพูนุชสะกดอารมณ์ที่อยู่ในหัวใจเต็มที่ก้าวเดินไปนั่งด้วยท่าทีเรียบเฉย ศิวนาถกลับไปทำงานของตัวเองดังเดิม และปล่อยให้อีกคนอยู่ในห้องนั้นเงียบๆ ต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทุกอย่างในห้องยังคงเดิมไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชมพูนุชรู้สึกเบื่อและอึดอัดที่ต้องนั่งเฉยๆ ไม่มีอะไรทำ ในขณะที่อีกคนง่วนอยู่กับงานตรงหน้าและคนที่เข้ามาหาเพื่อปรึกษารับคำสั่งเรื่องงานคนแล้วคนเล่า
“ฉันขอออกไปข้างนอกสักครู่นะคะ” เธออยากจะออกไปยืดเส้นยืดสายเสียหน่อย เพราะนั่งอุดอู้อยู่แต่ในนี้ก็ไม่มีอะไรให้ทำ
“จะไปไหน” ศิวนาถเอ่ยถามเสียงเข้มโดยไม่เงยหน้าจากกองเอกสาร น้ำเสียงและท่าทางของเขาทำให้ชมพูนุชยิ่งรู้สึกอึดอัดมากขึ้นไปอีก แต่เธอก็ยืนกรานที่จะออกจากห้องไปเปลี่ยนบรรยากาศ
“ไปห้องน้ำค่ะ”
“ไปห้องน้ำหรือไปหาใครกันแน่” ใบหน้าคมเงยขึ้นสบตา
สายตาดุดันของศิวนาถจับจ้องมองคนที่ลุกขึ้นยืนอย่างไม่วางตา เขาประเมินเธอต่ำไปหรือเดาความคิดของเจ้าหล่อนถูกกันแน่ศิวนาถอยากรู้เหลือเกินว่า สาวน้อยหน้าหวานคนนี้มีลูกเล่นอะไรมาใช้อีก ถ้าให้เดาก็คือเจ้าหล่อนอยากจะไปหาพี่ชายสุดที่รักของเขาแน่ๆ
“พี่ใหญ่มีงานล้นมือ คงไม่ว่างให้ใครกวนใจหรอก” เขาเปรยด้วยน้ำเสียงยิ้มเยาะในที
ชมพูนุชเชิดหน้าไม่ตอบโต้ใดๆ เรื่องชโยดมสักคำ พอเดาออกแล้วว่าทั้งสายตาคำพูดและท่าทางที่แสดงออกมาด้วยความไม่เป็นมิตรนี้ มีสาเหตุมาจากอะไร
“ขอตัวนะคะ” ชมพูนุชตัดสินใจออกไปนอกห้องดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องทนอยู่กับความอึดอัด ของคนที่จ้องแต่จะกินเลือดกินเนื้อทุกคำพูดเช่นนี้
“ให้เวลาห้านาที ถ้าเกินจากนี้รับรองว่าเห็นดีแน่”
“ไม่ใช่นักโทษนะคะ คุณเล็ก” ชมพูนุชชักจะเหลืออดเต็มทีแล้ว
ถึงจะเข้าใจว่าเขาทำไม่ดีกับตนเพราะอะไร แต่อย่างน้อยก็ควรให้เกียรติในฐานะความเป็นคนกันสักหน่อย ศิวนาถไม่มีสิทธิ์มาเอ่ยคำสั่งใดๆ เช่นนี้ เพราะเขาไม่ใช่เจ้านายและเธอก็ไม่ใช่นักโทษของใครด้วย
“ที่นี่เป็นบริษัทคุณควรเรียกผมว่าคุณศิวนาถ และใช้คำเรียกตัวเองว่าดิฉันเหมือนพนักงานคนอื่น การเรียกชื่อเล่นหรือชื่อส่วนตัวเหมาะสำหรับคนใกล้ชิดหรือสนิทเป็นพิเศษเท่านั้น หรือว่าคุณอยากจะมีความเป็นส่วนตัวใกล้ชิดสนิทสนมแนบแน่นกับผมล่ะ” สายตาเขาเชื้อเชิญอย่างมีเลศนัย
ใบหน้าหวานร้อนผ่าวขึ้นมากะทันหัน ไม่ใช่เขินอายตามประสาผู้หญิง แต่รู้สึกอับอายกับคำพูดที่มีความนัยแฝงในทางอื่นมากกว่า เจ้าตัวเมินหน้าหนีไม่สบตาหรือมองหน้าคนพูดอีกเลย เห็นทีว่าการไปอยู่ห้องชโยดมอาจจะสบายใจกว่าการอยู่ที่เสียกระมัง
“ตกลงจะไปหรือไม่ไป นี่ก็สามสิบวินาทีแล้วนะ ถ้ามาช้าเพียงแค่วินาทีเดียว รับรองว่ามีปัญหาแน่”
“คุณ”
ชมพูนุชเหลืออดกับความยียวนกวนประสาทกึ่งบ้ากึ่งดีของเขาแล้ว สาวน้อยสะบัดหน้าหันขวับเดินออกไปโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าเกินห้านาทีแล้วจะเกิดอะไรขึ้น
ชมพูนุชเดินเลยมาที่ห้องทำงานของชโยดมเพื่อตั้งใจจะบอกให้ชายหนุ่มรู้ว่า กลางวันนี้ไม่ต้องพาเธอไปที่ร้านอาหารตามคำสั่งของคุณหญิงประภา เลขาหน้าห้องของชโยดมไม่อยู่ที่โต๊ะ หญิงสาวจึงเดินเลยเข้าไปในห้องโดยไม่ผ่านเลขาตามหน้าที่ แต่ยังไม่ทันที่จะเปิดประตูเข้าไปก็มีเสียงคนคุยกันดังในห้อง
“ญาดา อย่าทำแบบนี้ได้ไหม”
ชโยดมนั่นเอง สีหน้าท่านประธานหนุ่มดูเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่เลขาสาวเองก็มีความไม่สบายใจปรากฏบนใบหน้าเช่นกัน และที่มีมากกว่าก็คือใบหน้าของญาดามีคราบน้ำตาและร่องรอยจากการร้องไห้อย่างเห็นได้ชัด
“ดิฉันจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด และจะไม่ทำให้ท่านประธานมีปัญหาค่ะ” น้ำเสียงสั่นเครือของเลขาสาวทำให้ชมพูนุชแปลกใจกับท่าทีของทั้งสองเป็นอย่างมาก
เท่าที่สังเกตเห็นเมื่อเช้านี้ ทั้งชโยดมและญาดาต่างมีสายตาที่มองสบกันอยู่บ่อยครั้ง และหลายหนที่จับได้ว่าสายตาที่ต่างฝ่ายต่างถ่ายทอดถึงกันนั้น ดูเหมือนจะไม่ใช่ความธรรมดาอย่างเช่นที่เจ้านายลูกน้องจะมีต่อกัน
“ไม่เอานะ อย่าทำ อย่าคิดแบบนี้”
ท่านประธานหนุ่มรั้งตัวหันหลังร่ำไห้ให้หันมาหา แต่ญาดาสะบัดตัวหนีแล้วรีบเดินหนีออกจากห้องไปทันที ชมพูนุชรีบหลบไม่ให้ทั้งคู่รู้ว่าเธออยู่ที่หน้าประตู เมื่อเลขาคนสวยออกไปพ้นห้องแล้วหญิงสาวจึงทำทีว่าเพิ่งจะเดินมาหา
“คุณชโยดมคะ” ชมพูนุชส่งรอยยิ้มทักทายนำไปก่อน
“ครับ คุณชมพูนุช” ชโยดมพยามปรับสีหน้าและน้ำเสียงให้เป็นปกติโดยเร็วที่สุด
หัวใจเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยในเวลานี้ อยากจะวิ่งตามคนที่เพิ่งหนีไปเมื่อครู่ให้กลับมาพูดกันให้รู้เรื่องก่อน แต่เมื่อเห็นชมพูนุชก็ตั้งหยุดสิ่งที่ตั้งใจไว้
“งานที่ห้องนายเล็กเรียบร้อยไหมครับ” ท่านประธานหนุ่มชวนคุยไปเรื่องอื่น
เขาไม่มีกะจิตกะใจใดๆ อยากจะคุยกับใครทั้งสิ้น ยิ่งเห็นชมพูนุชเดินมาในเวลานี้ด้วยแล้ว ทำให้นึกถึงคำสั่งของมารดาที่ย้ำหนักย้ำหนาว่าให้ไปกินข้าวกลางวันกับเจ้าหล่อน อย่าว่าแต่กินข้าวเลยตอนนี้ชโยดมไม่อยากแม้แต่จะเสียเวลาคุยด้วยสักวินาทีด้วยซ้ำ
“ไม่มีอะไรให้ทำเลยค่ะ นุชก็เลยเดินมาหาคุณชโยดมเผื่อว่าจะมีอะไรให้ช่วย”
