บทที่ 7
“ผมก็ไม่มีอะไรให้คุณนุชช่วยเสียด้วย อ้อ เดี๋ยวผมจะให้ฝ่ายบุคคลจัดการเรื่องการรับสมัครเป็นพิธีนะครับ แล้วก็ต่อไปไม่ต้องเรียกผมเต็มยศขนาดนั้นก็ได้ เรียกคุณใหญ่ก็พอ”
“ค่ะ คุณใหญ่ อ้อ จริงซิ นุชตั้งใจจะมาบอกว่า มื้อกลางวันวันนี้คุณใหญ่ไม่ต้องพานุชไปร้านไหนทั้งสิ้นนะคะ นุชขอไปจัดการตัวเอง”
“แต่ว่าคุณแม่จองโต๊ะให้เราแล้ว ผมเกรงว่า...” ชายหนุ่มลังเลเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งที่สาวน้อยพูด
ชโยดมเองก็ไม่มีใจที่อยากจะไปกินข้าวด้วยเช่นกัน เพียงแต่กังวลว่ามารดาจะมีปัญหาให้ปวดหัวตามมาอีกหรือเปล่าเท่านั้นเอง
“ถ้าคุณหญิงถามเดี๋ยวนุชบอกเองค่ะ คุณใหญ่ไม่ต้องห่วง”
ดูจากสีหน้าและแววตาของท่านประธานหนุ่มในเวลานี้แล้ว ชมพูนุชดูออกว่าชโยดมไม่มีกะจิตกะใจจะไปกินข้าวด้วยหรอก อีกทั้งเธอเองก็อยากจะออกไปเดินดูอะไรให้เพลิดเพลินใจเสียหน่อย เพราะในช่วงบ่ายคงต้องกลับไปอึดอัดกับใครบางคนอีกแน่
“ก็ได้ครับ ใกล้ออฟฟิศก็พอมีที่กินข้าวอยู่บ้าง ผมให้แม่บ้านพาไปดูสถานที่ก่อนดีไหม”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ นุชดูแลตัวเองได้ ขอบคุณคุณใหญ่มากนะคะ” ชมพูนุชกล่าวเพียงสั้นๆ แล้วตั้งท่าจะหันหลังเดินกลับออกไป แต่หญิงสาวนึกอะไรขึ้นมาได้จึงหันกลับมาหาอีกทีว่า
“เมื่อกี้นุชไม่เห็นคุณญาดาอยู่ที่โต๊ะ ไม่ทราบว่าเธอไปไหนคะ” สาวน้อยแกล้งเอ่ยถามถึงคนที่เพิ่งวิ่งออกไป
“เหรอครับ เอ หรือจะไปติดต่องานตรงไหน” ชโยดมทำเป็นไม่รู้เรื่อง ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อเพื่อไม่ให้เผยพิรุธใดออกมา
ชมพูนุชไม่พูดอะไรต่อเดินออกจากห้องไปตามปกติ ในใจคิดว่าควรจะไปหาญาดาได้ที่ไหนและจะชวนคุยด้วยเรื่องอะไรดี
ชมพูนุชเดาถูกจริงๆ ด้วยว่าญาดาต้องมาอยู่ที่ห้องน้ำ หญิงสาวแกล้งทำเป็นว่าเดินเข้าห้องน้ำตามปกติ ในขณะที่อีกฝ่ายล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้วก็จริง แต่ก็ยังเห็นว่ารอยแดงที่จมูกและรอยช้ำใต้ดวงตานั้นฟ้องว่าเพิ่งร่ำไห้เสร็จสิ้นไปไม่นานนี้
“คุณญาดาคะ” ชมพูนุชส่งรอยยิ้มทักทายไปก่อน ญาดาเงยหน้าขึ้นมองในกระจก เห็นชมพูนุชส่งยิ้มเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่เป็นมิตร
หัวใจของญาดาพยายามจะฝืนยิ้มตอบ แต่มันไม่แข็งแกร่งพอที่จะซ่อนความรู้สึกภายในนั้นไว้ได้มิดชิด แม้ใบหน้าจะมีรอยยิ้มตอบกลับแต่ดวงตาทั้งสองข้างกับมีน้ำใสรื้นขึ้นเต็มสองตาอีกครั้ง
“คุณต้องการอะไรหรือเปล่าคะ” ญาดาพยายามรักษาระดับน้ำเสียงให้เป็นปกติมากที่สุด ยิ่งเดินเข้ามาใกล้มากขึ้นชมพูนุชก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่าหน้าตาของอีกฝ่ายเปิดเผยความเศร้ามากเพียงไร
“นุชไม่ได้ต้องการอะไรค่ะ แค่เดินมาแล้วเจอคุณญาดาก็เลยทักเฉยๆ คุณญาดาสบายดีหรือเปล่าคะ” ชมพูนุชกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“สบายดีค่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วดิฉันขอตัวก่อนนะคะ” ญาดาต้องการจะหลีกหนีหน้าชมพูนุชให้เร็วที่สุด ก่อนที่น้ำตามันจะเอ่อล้นออกมาอย่างห้ามไม่ได้
“นุชขอถามอะไรสักหน่อยได้ไหมคะ”
“ค่ะ” ญาดาขานรับแบบไม่เต็มเสียง
“มื้อกลางวันนี้นุชไม่ได้ไปกินข้าวกับคุณชโยดมแล้ว แถวนี้มีร้านอาหารหรือพนักงานส่วนใหญ่ที่นี่ไปกินข้าวแถวไหนคะ”
ญาดานิ่งไปเล็กน้อย ชมพูนุชยืนรอฟังด้วยอาการที่สงบและมีรอยยิ้มมอบให้อีกฝ่ายอย่างเป็นมิตรจากใจ เลขาสาวเริ่มไล่เรียงร้านอาหารที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง และสถานที่ที่พนักงานชอบไปใช้บริการให้อีกฝ่ายฟังอย่างละเอียด
“ขอบคุณคุณญาดามากนะคะ สงสัยเที่ยงนี้นุชต้องไปชิมบะหมี่เจ้าอร่อยที่คุณบอกเสียแล้ว”
“แล้วทำไมคุณ เอ่อ ...”
“เรียกนุชเฉยๆ ก็ได้ค่ะ” ชมพูนุชบอกอย่างเป็นกันเอง
“เรียกดาเฉยๆ ก็ได้ค่ะ” ญาดารู้สึกถึงความเป็นกันเองและอัธยาศัยไมตรีที่ดีของอีกฝ่ายมากขึ้น
“ทำไมคุณนุชถึงไม่ไปกินข้าวกับคุณใหญ่ล่ะคะ” เลขาสาวถามด้วยความอยากรู้ในสิ่งที่ค้างคาใจตน
“นุชเป็นพนักงานคนหนึ่งนะคะ ถึงแม้จะมาด้วยเส้นแต่ก็ควรทำตัวให้เหมือนคนอื่นเป็นดีที่สุด อีกอย่างคุณชโยดมคงไม่มีกะจิตกะใจจะไปกินข้าวกับนุชหรอกค่ะ เพราะเห็นหน้าเครียดตั้งแต่เช้าแล้ว นุชไปนะคะ ขอบคุณคุณดามาก แล้วเจอกันค่ะ” ชมพูนุชกล่าวลาแล้วเดินจากไป ทิ้งให้ญาดามองตามหลังด้วยความแปลกใจหลายเรื่อง ระหว่างชโยดมและชมพูนุช
บะหมี่ร้านที่ญาดาแนะนำอร่อยจริงๆ ชมพูนุชกลับเข้ามาอีกครั้งในตอนบ่าย ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปก็ต้องพบกับอารมณ์เกรี้ยวกราดของศิวนาถ ที่แทบจะกลืนกินเธอแทนข้าวมื้อกลางวันเลยทีเดียว
“ไหนบอกว่าห้านาทีไง คุณเห็นคำสั่งผมเป็นลมปากลอยไปลอยมาหรือไง” เขาเปิดฉากต่อว่าด้วยท่าทางเอาเรื่องอย่างเห็นได้ชัด
“ฉันไปหากินข้าวกลางวันมาค่ะ”
หลังจากที่ญาดาบอกว่ารอบบริษัทมีร้านอาหารไหนขึ้นชื่อ เดินไปอีกไม่ไกลจะเป็นแหล่งของกิน ที่บรรดาพนักงานออฟฟิศแถวนี้มักจะไปหาซื้อของกินของใช้ หญิงสาวจึงออกไปสำรวจตามที่เลขาหน้าหวานแนะนำ และกลับขึ้นอีกครั้งตามเวลาทำงานในตอนบ่าย
“อ๋อ มิน่าล่ะ เข้าใจแล้ว” ศิวนาถทำปากจิ๊จ๊ะเบาๆ แล้วหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาจากโต๊ะ แล้วเอ่ยต่อว่า
“ข้าวกลางวันของเธอคงมีค่ามากซินะ ฝ่ายบุคคลถึงได้กล้ามอบตำแหน่งเลขาส่วนตัวท่านประธานบริษัทให้ แถมยังมีเงินประจำตำแหน่งอีกครึ่งแสน แหม นี่ถ้าฉันทำแบบเธอได้ล่ะก็ บริษัทคงมีกำไรปีละหลายร้อยล้านเป็นแน่”
“อะไรนะ” ชมพูนุชไม่เข้าใจสิ่งที่เขากำลังประชด
“ไปกินอะไรมา แล้วกินแบบไหน ถึงได้ให้พี่ชายฉันเซ็นแกร๊กเดียว เธอก็ได้เงินห้าหมื่นไปนอนกอดง่ายๆ แล้ว รู้อะไรไหม พนักงานบางคนในบริษัททำงานหนักมาเป็นสิบปียังไม่ได้เงินเดือนมากเท่าเธอเลย”
“ฉันไม่รู้เรื่องที่คุณพูดเลยนะ”
ชมพูนุชงงกับเรื่องใหม่ที่ได้รับรู้ ฝ่ายบุคคลทำอะไรเกี่ยวกับตัวเธอไม่เห็นมีใครบอก จำได้ว่าชโยดมบอกแค่ว่าจะมีการเขียนใบสมัครเท่านั้น แต่ไม่ได้พูดเรื่องเงินเดือนค่าตอบแทนที่มากมายขนาดนี้เลย
“ไม่รู้งั้นเหรอ ไม่รู้แล้วฝ่ายบุคคลส่งไอ้นี้มาได้อย่างไร” ศิวนาถโยนกระดาษที่ถืออยู่ในมือลงที่พื้นห้อง ไม่สนใจด้วยซ้ำว่ามันจะถึงมือเจ้าของเอกสารหรือเปล่า
ชมพูนุชก้มลงหยิบกระดาษที่ร่วงหล่นลงที่พื้นขึ้นมาอ่าน เพียงแค่เห็นข้อความในกระดาษก็ต้องตกใจเมื่อพบว่า ฝ่ายบุคคลของบริษัททำสัญญาจ้างเธอในตำแหน่ง เลขาส่วนตัวประธานบริษัท และระบุรายได้ที่จะได้รับในแต่ละเดือนอย่างชัดเจน เงินเดือนประจำเดือนละห้าหมื่นบ้าน ยังไม่รวมสวัสดิการต่างๆ ที่ได้รับเพิ่มเติมมากกว่าคนอื่น
“ฉันไม่รู้เรื่องนะคะ” หญิงสาวยืนยันอีกครั้ง
“เธอรู้ดีแก่ใจมากกว่า” แววตาเขาเป็นประกายเจิดจ้า
“แต่ฉันก็เข้าใจว่าผู้หญิงอย่างเธอ คงไม่มีปัญญาใช้สมองทำมาหากินเหมือนคนปกติแน่ นอกจากใช้ไอ้สิ่งที่มีบำรุงบำเรอหลอกล่อให้ไอ้พวกหน้าโง่มาติดกับ แล้วก็ได้ผลประโยชน์ที่ต้องการไปอย่างง่ายดาย”
“คุณศิวนาถ” ชมพูนุชสุดจะทนกับคำพูดสองแง่สองง่ามที่แฝงคำดูถูกไว้
“หรือว่าฉันพูดไม่จริง ชมพูนุช” ชายหนุ่มสวนกลับทันควัน
ครั้งแรกที่เห็นเอกสารที่ฝ่ายบุคคลส่งมาให้ชมพูนุชเซ็นชื่อ ศิวนาถโมโหพี่ชายจนต้องเดินไปต่อว่าที่ห้องทำงาน แต่ชโยดมไม่อยู่ในห้องยิ่งทำให้เดือดดาลมากขึ้นไปอีก เพราะเข้าใจว่าพี่ชายสุดที่รักตกหลุมเสน่ห์เจ้าหล่อนยั่วยวนจนลืมสิ่งที่ตกลงกันไว้เมื่อคืน
ยิ่งเมื่อได้เห็นท่าทีใสซื่อไร้เดียงสาของเจ้าหล่อน ที่ปากก็บอกว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทั้งที่ลับหลังคงใช้วาจาหรือการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ล่อลวงให้ชโยดมทำเช่นนี้เป็นแน่
มันยิ่งทำให้ศิวนาถรู้สึกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่มารยามากที่สุดคนหนึ่งเท่าที่เคยเห็นมา และอดคิดถึงไอ้เพื่อนรักที่หายหัวไปเพราะอกหักจากผู้หญิงไร้ยางอายคนนี้ จรัลจะรู้ไหมว่าโฉมหน้าที่แท้จริงของชมพูนุชเป็นเช่นไรกันแน่
“ฉันไม่รู้เรื่องของฝ่ายบุคคลจริงๆ” สาวน้อยยืนยันเสียงแข็ง
“ไม่รู้เรื่องเหรอ ปากก็พูดว่าไม่รู้เรื่อง แต่ความจริงแล้วลับหลังเธอทำอะไรไว้ อย่านึกว่าไม่มีใครรู้นะ” ศิวนาถจ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง
ชมพูนุชก้มหน้าไม่ใช่เพราะหลบหลีกความผิดที่อีกฝ่ายกล่าวหา แต่เป็นเพราะดวงตาคู่คมนั้น เผยให้เธอรู้ได้อย่างชัดเจนว่า ศิวนาถรู้เรื่องเธอจนหมดสิ้น และไม่ต้องสงสัยเลยว่าความโกรธ วาจาที่ไม่มีคำว่าให้เกียรติเหล่านี้มีสาเหตุมาจากอะไร
“คุณรู้เรื่องใช่ไหม” น้ำเสียงที่เอ่ยถาม แผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยินด้วยซ้ำ
“ถ้าเธอมีความละอายใจอยู่บ้าง ก็ไปจากที่นี่ซะ” ศิวนาถพูดพลางเดินเข้ามาใกล้ แล้วก้มลงกระซิบข้างหูให้ได้ยินกันเพียงสองคนว่า
“อย่าทำให้ฉันรู้สึกว่า ผู้หญิงหากินที่เอาตัวแลกเงินเพื่อเลี้ยงปากท้อง มีค่ามากกว่าผู้หญิงที่แต่งตัวดูดีมีการศึกษา แต่วันๆ ไม่คิดจะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากหว่านเสน่ห์ไปทั่ว ถ้าคนไหนเป็นเหยื่อก็พร้อมจะเสนอตัวเองเพื่อแลกกับความสุขสบายเช่นเงินสิบล้านที่เธอได้จากครอบครัวฉันไป”
“คุณ” ชมพูนุชรู้สึกเหมือนมีอะไรมาทุบกลางกระหม่อม ชาไปทั่วร่างใบหน้าหวานร้อนผ่าวกับคำพูดบาดหูที่ได้ยินเมื่อครู่
“ไปซะ แล้วฉันจะถือว่าเงินที่เสียให้กับมารยาของเธอเป็นการทำทาน”
ยิ่งเขาพูดลึกลงไปมากเท่าไร ก็ยิ่งบาดหัวใจชมพูนุชมากขึ้นเท่านั้น ดวงตาคู่สวยมีน้ำใสคลอเต็มเบ้า ยิ่งเงยหน้าขึ้นมาเผชิญกับสายตาที่เต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยันของศิวนาถแล้วด้วยล่ะก็ ก็ยิ่งอยากแทบจะแทรกแผ่นดินหนีไปให้พ้นหน้าเสียเดี๋ยวนี้
ใบหน้าหวานร้อนผ่าวขอบตาทั้งสองข้างที่กลั้นน้ำใสไม่ให้ไหลซึมออกมา เกียรติและศักดิ์ศรีที่เคยมีถูกลบเลือนหายเพราะคำว่าครอบครัว ยอมให้ตัวเองเป็นเพียงตุ๊กตาหุ่นเชิดที่ใครจะให้ไปซ้ายทีขวาทีโดยไม่มีปากมีเสียง แค่นี้ก็ทรมานหัวใจมากพออยู่แล้ว
ยิ่งถูกคำพูดที่เปรียบเปรยตัวเธอเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ตีค่าตามน้ำหนักความโกรธออกมาเป็นวาจาที่แสบสันต์แล้ว ชมพูนุชไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะแก้ตัวใดๆ เพราะการตัดสินใจเป็นหุ่นเชิดเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ต้องพิพากษาชัดเจนอย่างที่ศิวนาถพูด
เพียงแต่จะมีใครรู้หรือไม่ว่า นอกจากความกดดันที่แบกรับปัญหาของครอบครัวแล้ว ความเสียใจที่ต้องลดเกียรติตัวเอง ต้องยอมถูกคนที่เพิ่งรู้จักดูถูก ต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำนั้น มันทุกข์ทรมานหัวใจแค่ไหน มีใครรู้บ้างว่าการก้าวเข้าสู่ครอบครัวประวันวิทย์อันแสนมีเกียรติและร่ำรวยเงินทองล้นฟ้านี้ ความจริงแล้วมันก็คือกรงขังดีๆ นี่เอง
“ฉันถือว่าบอกกันดีๆ แล้วนะ แต่ถ้าไม่ฟังก็อย่าหาว่าฉันรังแกผู้หญิง” เขารั้งเอวสวยได้รูปเข้ามาแนบตัว แกล้งทำสีหน้าดุดันข่มขวัญคนในอ้อมกอดให้หวาดหวั่นมากขึ้นไปอีก
“หรือว่าเธอต้องการอย่างอื่นอีก”
