บทที่ 3
บ้านประวันวิทย์
เกือบเที่ยงคืนลูกชายคนโตของบ้านเพิ่งจะกลับมา ชโยดมเดินร้องเพลงในลำคออย่างอารมณ์ดีด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข ไม่มีท่าทีเหน็ดเหนื่อยแม้ว่าตลอดทั้งวันมานี้ จะต้องนั่งอยู่แต่ในห้องประชุม เพื่อตัดสินใจในเรื่องสำคัญต่างๆ ของบริษัท
“ตาใหญ่” คุณหญิงประภาร้องเรียกบุตรชาย ที่กำลังก้าวขึ้นบันไดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความดีใจ
“ครับ คุณแม่” ชโยดมหันไปมองตามเสียง และตรงเข้ามาหามารดาที่ยืนยิ้มหวานอยู่ที่หน้าประตูห้องนอน
“ทำไมยังไม่นอนอีกล่ะครับ หรือว่าคุณแม่อยากได้อะไร เดี๋ยวผมลงไปเอามาให้”
นี่แหล่ะ นิสัยช่างเอาใจใส่สนใจคนรอบข้างของชโยดม เพียงแค่นี้ก็ทำให้หัวใจคนเป็นแม่ชุ่มชื่นแล้ว
“แม่ไม่อยากได้อะไรหรอกจ้ะ รอเจอลูกแค่นั้นแม่มีเรื่องอยากจะบอก” หญิงวัยกลางคนจับมือบุตรชายคนโตไว้ แล้วก้าวเดินไปพร้อมๆ กันเพื่อไปส่งที่หน้าห้องนอนซึ่งอยู่อีกด้านของบ้าน
“คุณแม่มีอะไรจะคุยกับผมหรือครับ เรื่องสำคัญมากหรือไงครับถึงต้องรอจนดึกดื่นขนาดนี้”
ชโยดมประคองมารดาก้าวเดินไปด้วยกันอย่างช้าๆ แม้จะสงสัยว่าเรื่องอะไรที่ทำให้คุณหญิงประภาต้องพูดในคืนนี้ แทนที่จะเข้านอนพักผ่อนแล้วจึงบอกกล่าวกันในวันรุ่งขึ้น แสดงว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญมากจริงๆ
“พรุ่งนี้แม่จะพาเลขาคนใหม่ไปช่วยงานลูกที่บริษัทนะ”
“เลขา ผมก็มีเลขาอยู่แล้วนี่ครับ ทำไมคุณแม่ต้องหาเลขามาให้เพิ่มด้วย” ชายหนุ่มชะงักเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ
“มีแล้วก็มีเพิ่มได้นี่ลูก แล้วเลขาคนนี้ลูกก็ไม่ต้องให้ทำงานอะไรมากนะ แค่ให้ชงกาแฟไปกินข้าวด้วยแล้วก็ไปรับไปส่งกลับบ้านแค่นั้นพอ” หญิงวัยกลางคนพูดไปยิ้มไป จินตนาการอย่างมีความสุขถึงภาพที่คิดฝันระหว่างบุตรชายกับสาวน้อยหน้าหวานคนนั้น มันช่างเป็นเรื่องที่วิเศษอะไรเช่นนี้
“เดี๋ยวครับคุณแม่ มีที่ไหนทำกันไปรับไปส่ง ใช้งานแค่ให้ชงกาแฟกับกินข้าวด้วย คุณแม่ล้อผมเล่นใช่ไหม” ชโยดมไม่เข้าใจในสิ่งที่มารดาพูด
ตามปกติแล้วคุณหญิงประภาและเจ้าสัวบรรพตไม่เคยก้าวก่ายการทำงานของเขา นับจากวันที่บิดามารดามอบหมายภาระหน้าที่ให้สองพี่น้อง สืบสานต่อกิจการที่ทั้งคู่ก่อร่างสร้างมันขึ้นมากับมือ
แต่ครั้งนี้แปลก ที่จู่ๆ มารดาก็ใช้เส้นใหญ่พิเศษที่ไม่เคยทำมาก่อน บอกให้เขารับเลขาใหม่และเป็นเลขาที่แสนพิเศษเสียด้วย มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ ชโยดมชักรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสงสัยเสียแล้ว
“ก็แม่บอกแล้วไงว่าเลขาคนนี้พิเศษ ตาใหญ่ของแม่มีหน้าที่ทำความรู้จักและสนิทสนมให้มาก ความจริงไม่ต้องให้ทำงานอะไรเลยก็ได้นะ ดูก่อนแล้วกันว่าหนูนุชอยากทำอะไร”
“หนูนุช ใครกันครับคุณแม่”
ชื่อใหม่ที่ไม่คุ้นหู หรือจะเป็นลูกท่านหลานเธอคนไหนที่สนิทสนมกับมารดาเป็นพิเศษ จนถึงขั้นที่ฝากงานให้กันได้และไม่ต้องทำงานใดๆ เหมือนเช่นพนักงานคนอื่น
“หนูชมพูนุช พิมพ์รักษา ลูกสาวเพื่อนเก่าคุณพ่อจ้ะ” มารดาเฉลย
“แล้วไงครับ อย่าบอกนะว่าเดี๋ยวนี้คุณแม่ใช้เส้นสายรับฝากลูกเพื่อนเข้ามาทำงานในบริษัทเรา” ชโยดมถึงบางอ้อ
“ใครบอก หนูนุชคนนี้คือคนที่คุณพ่อกับแม่เห็นตรงกันว่า จะพามาให้ลูกทำความรู้จัก เพื่อรอฤกษ์ดีที่จะจัดการแต่งงานให้”
“คุณแม่” บุตรชายอุทานเสียงดังด้วยความตกใจ สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เมื่อรู้ว่าหนูนุชคนนี้เป็นใคร
“ทำไม ตกใจใช่ไหม” คุณหญิงประภาอมยิ้ม
“คิดไม่ผิดว่าลูกต้องตกใจแน่ถ้ารู้เรื่องนี้ ดังนั้นเราจึงคิดว่าจะให้ลูกและหนูนุชได้ทำความคุ้นเคยกันก่อน จากนั้นจึงค่อยหาฤกษ์ดีสวมแหวน”
“คุณแม่ครับ เรื่องนี้ผมว่ามัน เอ่อ คือ ผมไม่พร้อม” ชโยดมไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี ทุกอย่างมันกะทันหันไปหมด แถมเรื่องนี้ยังเป็นเรื่องที่ไม่เคยคิดในชีวิตเลยด้วยซ้ำว่า บิดาและมารดาจะใช้การคลุมถุงชนให้เขาแต่งงาน
“ผมยังไม่อยากคิดเรื่องแต่งงานตอนนี้ อยากทำงานที่บริษัทให้อยู่ตัวเสียก่อน อีกอย่างผมกับหนูนุชอะไรของคุณแม่ ก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนไม่รู้ว่าเราสองคนจะเข้ากันได้ไหม นิสัยแต่ละคนเป็นไง ถ้าเกิดว่าผมไม่โอเคหรือฝ่ายโน้นไม่โอเค คุณพ่อกับคุณแม่จะมีปัญหาทีหลังหรือเปล่า” ชโยมดมนึกเหตุผลเท่าที่นึกได้มาแก้ขัดไปก่อน
เขายังไม่พร้อมสำหรับคำว่าครอบครัว ที่สำคัญเวลานี้หัวใจของท่านประธานหนุ่มก็ไม่พร้อมที่จะมอบให้ใครอีกแล้ว
“แม่เข้าใจ แต่แม่ก็มั่นใจว่าปัญหาไม่มีแน่ หนูนุชเป็นเด็กน่ารักนิสัยดี ถ้าตาใหญ่ของแม่เห็นและได้ทำความรู้จัก จะต้องไม่ปฏิเสธเรื่องการแต่งงานแน่” คุณหญิงประภามั่นใจ
“แต่ว่าคุณแม่ครับ ผม...”
“เอาล่ะจ้ะ ดึกมาแล้ว ลูกไปพักผ่อนดีกว่า พรุ่งนี้เจอกันที่บริษัทแม่จะพาหนูนุชไปหา และลูกต้องดูแลหนูนุชเป็นอย่างดีนะ เข้าใจไหม” หญิงวัยกลางคนยิ้มหวานทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้น แล้วหันหลังเดินกลับไปที่ห้องนอนด้วยสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข
ในขณะที่ชโยดมยืนนิ่งพูดอะไรไม่ออก คิดหาวิธีที่จะเตรียมรับมือกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้โดยเร็วที่สุด
ชโยดมนอนไม่หลับและร้อนใจที่จะคิดหาทางออกในเรื่องคลุมถุงชนให้เร็วที่สุด เขาไม่เข้าไปพักผ่อนในห้องอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก แต่กลับเดินลงมาจากตึกใหญ่มุ่งหน้าสู่เรือนเล็กด้านข้างในทันที
“นายเล็ก” ชโยดมเปิดประตูเข้าไปแล้วร้องเรียกน้องชายที่กำลังคร่ำเคร่งอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์
“ทำไมมาดึกจังครับ พี่ใหญ่” ศิวนาถหันหลังมาทักทายพี่ชายที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“นายยังไม่นอนใช่ไหม”
ทันทีที่เห็นว่าน้องชายยังไม่มีทีท่าว่าจะเข้านอน บวกกับความกลัดกลุ้มที่อยู่ในอกทำให้ชโยดมไม่พูดพล่ามทำเพลงใดๆ เดินตางไปที่ครัวด้านในของบ้าน จัดการเปิดตู้เย็นหยิบเบียร์เย็นๆ ออกเปิดแล้วกระดกลงคออย่างรวดเร็ว
“โอ้โห พี่ชายผมเป็นอะไรไปวันนี้ จู่ๆ ก็ลงมาหากลางดึกซ้ำยังเปิดเบียร์ซดโดยไม่พูดอะไรสักคำอีกด้วย หุ้นตกหรือไงครับพี่” ศิวนาถล้อเล่นตามประสา
เจ้าของบ้านลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน เดินมาเปิดตู้เย็นหยิบกระป๋องเบียร์ออกมาเปิดแล้วยกจิบอย่างสบายอารมณ์
“นายจะนอนหรือยัง ถ้าง่วงก็ไปนอนก่อน ฉันขอนั่งเงียบๆ ตรงนี้ รับรองว่าจะไม่ทำเสียงดังรับกวนการพักผ่อนของนายแน่” ชโยดมกระดกกระป๋องเบียร์ดื่มด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม
เรื่องหนักอกที่มารดาเพิ่งจะทิ้งไว้ให้คือเหตุผลที่ทำให้เขาต้องมาที่นี่ ชโยดมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับตนเองตอนนี้ดี ทางเดียวที่จะระบายความกลัดกลุ้มนี้ได้ก็คือมาที่เรือนเล็กของน้องชายสุดที่รัก มาหาอะไรเย็นๆ ดื่มแก้เครียด หรือถ้าโชคดีศิวนาถอาจมีหนทางดีๆ ช่วยเหลือก็ได้
“ก็พอคุยได้” น้องชายนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ถึงได้สังเกตเห็นสีหน้าและท่าทางเคร่งเครียดของพี่ชายได้อย่างชัดเจน
“เป็นอะไรไป พี่ใหญ่”
“เมื่อกี้พี่เจอคุณแม่” ชโยดมพูดพลางยกกระป๋องเบียร์ขึ้นจิบอึกใหญ่ แล้วเอ่ยต่อว่า
“จู่ๆ คุณแม่ก็บอกว่าพรุ่งนี้จะพาคนมาให้ทำความรู้จัก แล้วจะให้พี่แต่งงานด้วย”
“เฮ้ย...” ศิวนาถแทบจะสำลักเบียร์เย็นๆ ที่กำลังจิบอยู่
“ว่าไงนะ แต่งงานกับคนที่จะพามาพรุ่งนี้”
เขาไม่อยากเชื่อในสิ่งที่พี่ชายพูด แต่ดูจากสีหน้าและท่าทีเวลานี้แล้ว เห็นทีว่าสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่เป็นเรื่องจริงแน่ เกิดอะไรขึ้นกับมารดาของทั้งคู่
ปกติแล้วคุณหญิงประภาไม่เคยวุ่นวายก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของบุตรชายแต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยเอ่ยปากถามว่าเมื่อไรจะลงเอยแต่งงานมีครอบครัว ไม่เคยแม้แต่จะถามสักคำด้วยซ้ำว่า ข่าวซุบซิบตามหน้าหนังสือพิมพ์เหล่านั้น ความจริงคืออะไรหรือใครคือตัวจริง หรือคนในข่าวคือคนที่ใช่สำหรับพวกเขาหรือเปล่า
แต่วันนี้สิ่งที่ชโยดมพูด มันตรงข้ามกับสิ่งที่มารดาเคยเป็นมาแต่ในอดีต แสดงว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับความคิดที่เปลี่ยนไป หรือว่านางอาจจะอยากเห็นลูกชายมีครอบครัว มีหลานตัวน้อยให้อุ้มเล่นเหมือนเช่นครอบครัวอื่น
