3 จมอยู่ในความฝัน
‘พัตเตอร์...อย่าไปเลยนะ อยู่กับกูที่นี่’
‘อยู่เพื่ออะไร?’
‘เพื่อรักกัน กูรู้แล้วว่ารักมึง...อยู่กับกูนะพัตเตอร์’
‘มึงรักกูเหรอ?’
‘ใช่ กูรักมึง ได้โปรดอย่าไปเลยนะพัตเตอร์ ถ้าไม่มีมึง กูก็ไม่เหลือใครอีกแล้ว’
‘มึงไม่ได้รักกูหรอกเมโกะ มึงแค่...รักตัวเอง’
Hyat Condominium
ฮึก!
ร่างบางในชุดนอนผ้าแพรสีนวล สะดุ้งตื่นขึ้นมาในตอนกลางดึก เมื่อความฝันซ้ำซากเข้ามาวนเวียนในยามหลับนอนไม่เลิกรา เป็นเวลาสี่ปีมาแล้ว...นับจากที่ใครคนนั้นปฏิเสธและไปจากเธอ เธอฝันถึงแต่เขา ฝันคล้ายเดิมซ้ำๆอย่างนั้น ฉันว่าเธอบอกรักเขา ฝันว่าร้องไห้อ้อนวอนขอให้เขาไม่ไป แต่เขาก็ปฏิเสธ เหมือนกับที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง เหมือนที่เธอเองก็เคยปฏิเสธเขา
เมโกะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า สายตาจ้องมองเพดานในห้องนอนก่อนปรายมองเวลาที่นาฬิกาหัวเตียง
“ตีสี่!” เธอเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ ก่อนจะลุกจากเตียง ออกจากห้องนอนไปที่ห้องครัว หยิบน้ำเปล่าออกมาดื่ม ไม่ลืมที่จะอ่านโน๊ตที่แปะอยู่ที่หน้าตู้เย็น
‘ดื่มน้ำเยอะๆ กินข้าวให้ครบทุกมื้อ ออกกำลังบ้าง อย่าลืมแปรงฟันก่อนนอน แม่รักแกมาก’
มือบางยกขึ้นลูบสัมผัสตัวอักษรที่เขียนด้วยลายมือของผู้เป็นแม่ แววตาสั่นเครือทุกครั้งที่เห็นมัน แต่เธอไม่เคยร้องไห้
“หนูคิดถึงแม่” เธอเอ่ยคำเพรียกหา สั่นสะท้านไปทุกจังหวะเสียง แต่ไม่เคยร้องไห้ แม้ในวันที่แม่จากไป...เธอก็ไม่เคยร้องออกมา แม่ของเธอจากไปแล้ว...จากอาการป่วยด้วยโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร หลังจากที่ตรวจพบว่ามันรุนแรงถึงระยะที่สาม มันไม่ทันการ...ไม่อาจยื้ออะไรเอาไว้ได้ ยิ่งพยายาม มะเร็งก็ยิ่งลุกลามไปทั่ว จนสุดท้าย...ผู้เป็นแม่ไม่อาจทนความเจ็บปวดและทรมานได้ เธอจากไป...ทิ้งไว้เพียงประโยคสุดท้ายที่เป็นเหมือนคำขอร้อง
‘หาคนที่ดีพอ...หาใครสักคนที่แกรักและเขาก็รักแก หาคนที่จะเลี้ยงดูและปกป้องแกได้ คนที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับแก หาคนคนนั้นให้เจอ แม่ขอโทษ...ที่ปลูกฝังให้แกรักตัวเองมากเกินไป ขอโทษที่สอนให้แกเห็นแก่ตัว เมโกะ...ได้โปรดหาใครสักคนที่แกจะรักเขาให้มากกว่าตัวแกเองให้ได้’
เธอไม่เข้าใจ ว่าคำสุดท้ายนั้นหมายความว่ายังไง เวลานั้นเธอได้แต่รับฟัง...กุมมือผู้เป็นแม่ไว้แน่น รับปากว่าจะทำ แต่ในหัวกลับตั้งคำถาม ว่าเธอจะรักคนอื่นมากไปกว่าตัวเธอเองได้ยังไง มันไม่มีทางเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอยู่แล้ว เพราะแต่ไหนแต่ไร...เธอไม่เคยรักใครมากไปกว่าตัวเธอเอง
ในวัยยี่สิบสี่ เป็นวัยที่ถือว่ามันค่อนข้างเร็ว เมื่อเธอต้องเผชิญกับการสูญเสีย นึกย้อนดูดีๆ มันอาจจริงอย่างที่ตัวเธอในความฝันนั้นว่าไว้ ว่าเธอไม่เหลือใครอีกแล้ว หากไม่มีแม่...ไม่มีเขา เธอก็ไม่เหลือใคร
เมโกะคว้ามือถือก่อนจะเดินไปเอาแก้วน้ำออกมาที่ระเบียงของคอนโดมิเนียมสุดหรือของตัวเอง เวลาที่นอนไม่หลับหรือต้องตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะความฝันซ้ำซากถึงใครบางคน เธอก็มักจะใช้มือถือเสิร์ชชื่อตัวเองลงไปในเว็บไซต์หาข้อมูลชื่อดัง เพียงคลิกเดียว...ข่าวของเธอก็ขึ้นโชว์มากมาย ทั้งข่าวเสีย ข่าวดี ข่าวจริง...รวมถึงข่าวที่ไม่จริง อย่างข่าวที่เธอกำลังอ่านอยู่ในตอนนี้...
‘มีคนตาดีเห็นสาวเมโกะคนดังไปดื่มที่คลับหรูกับผู้ชายเพียงสองต่อสอง...คาดว่าเขาคือหนุ่ม ฮาร์ท ทายาทห้างทองชื่อดัง...งานนี้ข่าวที่ว่ามีนางเอกคนหนึ่งไปเป็นของเล่นไฮโซ อาจเป็นเรื่องจริง’
เมโกะแสยะยิ้มออกมา เมื่อได้เห็นข่าวนั้น มันมีมูลความจริง...คืนนั้นคือไปดื่มกับฮาร์ทจริงๆ แต่ไม่ได้ไปกันสองต่อสอง ยังมีเพื่อนในวงการอย่าง...พาสเทล ไปกับเธอด้วย และเธอก็ไม่ใช่ของเล่นไฮโซ ไฮโซต่างหากที่เป็นของเล่นของเธอ
หลายปีที่ผ่านมาเธอวิ่งเต้นทำงานในวงการบันเทิงเพื่อหาเงินมากมาย ได้กลายเป็นคนดังที่เดินไปไหนต่อไหนก็มีทุกสายต้องจดจ้อง ทุกที่ที่มีอินเทอร์เน็ตและสัญญาณโทรทัศน์เข้าถึง ไม่มีใครที่ไม่รู้จักเธอ พวกเขาชอบเธอ และเกลียดเธอด้วย พวกเขาชื่นชม แต่ก็ด่าเธอด้วยเช่นกัน มันเรื่องธรรมดา...ที่มีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด เป็นเรื่องปกติที่มีคนชื่นชมก็ย่อมมีคนด่า เรื่องดราม่าและข่าวโจมตีไม่อาจทำอะไรเธอได้ เธออยู่ในวงการมานานจนเรียนรู้อะไรมากมาย
Agent Kim
“อยากจะพูดอะไรถึงข่าวนี้ไหม?”
ตรัย หรือต้นไม้เอ่ยถามขึ้นมา ขณะที่เขาและเมโกะกำลังนั่งคุยกันอยู่ในห้องทำงานของฝ่ายชาย ซึ่งเวลานี้เขาได้ขึ้นมาบริหารงานให้กับ Agent Kim เอเจนซี่ที่เมโกะสังกัดอยู่ และนอกจากที่เขาจะเป็นผู้บริหารแล้ว เขายังดูแลตารางงานให้เมโกะด้วย
“ก็ไม่มีอะไร เมโกะแค่ไปดื่มกับเขา แล้วพาสเทลก็ไปด้วย” ทั้งสองกำลังพูดถึงข่าวที่กำลังมีประเด็นอยู่ในอินเทอร์เน็ตว่าเมโกะกำลังจะเป็นของเล่นไฮโซ
“พาสเทล?” ต้นไม้เลิกคิ้วถามถึงพาสเทล นักแสดงหน้าใหม่ที่เมโกะเคยร่วมงานด้วยและพักหลังมานี้ก็ไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง
“อย่าบอกนะว่าพี่ต้นไม้จะจัดการเรื่องเพื่อนให้เมโกะด้วย?” หญิงสาวมองหน้าต้นไม้ สายตาแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“ก็ถ้าเพื่อนดีๆอย่างวีนัสหรือนุ่มนิ่ม พี่ก็ไม่อยากจะจัดการหรอก แต่เธอก็น่าจะรู้ว่าพาสเทล...เข้าหาเธอเพราะผลประโยชน์”
“แล้วไง? ในเมื่อทุกความสัมพันธ์ก็มีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้องด้วยอยู่แล้ว อีกอย่างเมโกะก็หาผลประโยชน์กับพาสเทลเหมือนกัน”
“มันจะได้ไม่คุ้มเสียน่ะสิ เพราะถ้าหากว่าเธอแค่ต้องการเอาพาสเทลมาเป็นไม้กันหมา หรือแค่ต้องการจะใช้เขามาเป็นข้ออ้างเพื่อบอกนักข่าวว่าเธอไม่ได้ไปไหนมาไหนกับหนุ่มมากหน้าหลายตาสองต่อสอง” ต้นไม้มองออกและอ่านเกมของเมโกะขาดอยู่เสมอ
“พี่ต้นไม้จะพูดอะไรก็พูดมาเหอะ อย่ามาอ้อมค้อม”
“พาสเทลรอให้เธอพลาด...เขาเกาะเธอเพื่อสร้างกระแส และรอเสียบงานของเธอ พี่ว่าเธอก็น่าจะมองออกนะเมโกะ”
“ก็ให้เขาทำไปสิ เพราะเมโกะก็เคยบอกพี่ไปแล้วว่าเมโกะไม่อยากทำงานแล้ว เมโกะเบื่อวงการงี่เง่านี่เต็มทนแล้วพี่ต้น!” ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่เมโกะบอกกับต้นไม้ว่าเธอต้องการออกจากวงการบันเทิง เธอไม่ต้องการจะรับงานอีกต่อไปแล้ว
“ตั้งแต่ที่แม่เธอเสียไป...นี่เป็นครั้งที่เจ็ดแล้วเมโกะ ที่เธอพูดคำนี้ และพี่ก็ต้องบอกเธอคำเดิมเป็นครั้งที่เจ็ดเหมือนกันว่าสัญญาของเธอยังไม่หมด เธอยังต้องรับงานจนกว่าจะสิ้นสุดสัญญา”
“อีกสามเดือนเองไม่ใช่เหรอ? เวลาแค่นั้นจะไปทำอะไรได้...”
“อีกหกเดือนต่างหาก”
“?!”
“และระหว่างหกเดือนนี้ พี่ขอสั่งให้เธอ...เลิกไปมาหาสู่กับพาสเทล แล้วก็ถ้าอยากไปดื่มที่ผู้ชายคนไหน พี่ก็จะไปกับเธอด้วย คุณคิมสั่งลงมา...เป็นคำสั่งที่เด็ดขาดว่าก่อนที่เธอจะหมดสัญญากับที่นี่ เธอห้ามมีข่าวเสียอีก และเธอต้องรับละครอีกเรื่องตามสัญญา”
“พี่ต้นเรียกเมโกะมาพูดแค่นี้ใช่ไหม?” ดาราสาวคนดังเลิกคิ้วถาม ขณะที่เอากระเป๋าแบรนด์เนมใบแพงมาสะพาย
“เรื่องงานจบแล้ว ต่อไป...พี่ว่าจะชวนเธอไปเดินดูอะไรสักอย่างกับพี่หน่อย ในฐานะพี่น้อง” ต้นไม้ยกยิ้ม ก่อนจะลุกขึ้นยืน เดินมาตรงหน้าร่างบางแล้วยื่นมือไปหาเธอ
“ไม่ต้องมาตบหัวแล้วลูบหลังเลยนะ!” เมโกะช้อนสายตาขึ้นมองชายหนุ่ม มันเป็นแบบนี้เสมอมา เวลาที่คุยเรื่องงานต้นไม้จะว่าท่าทีนิ่งเฉยและเด็ดขาด ทำท่าทางดุดัน แต่เวลาที่เรื่องงานจบลง...เขาก็จะแปลงร่างมาเป็นพี่ชายแสนอบอุ่นของเธอ
“ไปเถอะ แวะหาอะไรกินด้วยก็ดี...พี่ยังไม่ได้กินมื้อเที่ยงเลย” ต้นไม้ยังคงยิ้มไม่หุบ
“ชิ!” แล้วสุดท้ายเมโกะก็ต้องยอม ส่งมือบางไปวางไว้บนมือหนาแล้วออกไปจากห้องทำงานกับเขา
Suvarnabhumi Airport
ร่างสูงในชุดเสื้อยืดคอกลม สวมทับด้วยแจ็กเกตหนังและกางเกงยีนสีซีด เดินลากกระเป๋าใบโตออกมาจากช่องทางเดินของผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ ความสูงและผิวที่กระจ่างใส ซึ่งมาพร้อมกับใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา กำลังตกอยู่ในสายตาของสาวน้อย สาวใหญ่ ทั้งชาติเดียวกันและคนต่างชาติ
“นั่นดาราหรือเปล่า? เขาออร่าจับมาก...ทั้งสูงทั้งหล่อ ดูดีมากจริงๆ” เสียงสาววัยรุ่นเอ่ยขึ้นมาด้วยสำเนียงอเมริกัน แปลเป็นไทยได้ว่าอย่างนั้น ดังขึ้นมากระทบใบหูของคนที่ถูกพูดถึง เขาไม่ได้สนใจ...แต่กลับหยุดเดิน แล้วจ้องมองไปยังป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า
“เขาอาจเป็นคนดังของประเทศไทย...ดูสิ ใครๆก็มองเขา แต่เขาหล่อมากจริงๆนะ” เสียงชื่นชมความหล่อเหลาเอาการของเขายังคงดังต่อเนื่อง
ชายหนุ่มยังคงไม่สนใจเสียงชื่นชมที่ดังมา สายตาของเขาจับจ้องไปยังหญิงสาวที่อยู่ในป้ายโฆษณาไม่วางตา ใช่...เขายอมรับว่าเธอสวย ทั้งสวยและน่ารัก ไม่มีผู้ชายคนไหนที่จะละสายตาไปจากเธอได้ แต่...เขารู้จักเธอดีกว่าใคร รู้ลึกถึงนิสัยเสียๆของเธอ ความเห็นแก่ตัว รักแค่ตัวเอง แถมยังเอาแต่ใจของเธอ...หากเทียบกับความสวยงามนั้นแล้ว มันหักล้างกันครึ่งต่อครึ่ง และเวลาสี่ปีมันก็นานพอที่ทำให้เขาตัดใจจากเธอได้แล้ว และเขาก็ได้เริ่มต้นใหม่กับใครอีกคน จนเข้มแข็งที่จะกลับมาเผชิญหน้ากับเธอคนนี้...
“คุณพัต!” ขณะนั้น...เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา ก่อนที่ร่างอวบอิ่มของเธอจะวิ่งเข้ามาโผกอดร่างสูง
“คุณนิ่ม?”
“อื้อ...นิ่มคิดถึงคุณพัตจังเลย...ในที่สุดคุณพัตก็กลับมาแล้ว” นุ่มนิ่ม น้องสาวฝาแฝด เอ่ยบอกพี่ชายในตอนที่สวมกอดเขาอยู่
“พัตก็คิดถึงคุณนิ่มมาก” พัตเตอร์ผู้เป็นแฝดพี่เอ่ยบอกน้องสาว ก่อนที่เขาทั้งสองจะคลายกอดออกจากกัน เพื่อให้พัตเตอร์ได้หันไปกอดสายฟ้า...ผู้ที่เป็นทั้งน้องเขยและเพื่อนรักของเขา
“ไงมึง...กว่าจะยอมกลับมาได้ คราวนี้อยู่นานๆเลยนะ” สายฟ้าเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“กูว่าจะกลับมาอยู่ถาวรเลยว่ะ”
“ห่ะ?! นี่คุณพัตจะย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยแล้วจริงๆเหรอ?!” นุ่มนิ่มไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เพราะก่อนหน้านี้พัตเตอร์เคยบอกเอาไว้ว่าเขาจะลงหลักปักฐานอยู่ที่อังกฤษไปตลอด
รถยนต์คันหรูของสายฟ้าวิ่งออกจากสนามบินที่อยู่นอกเมือง ผ่านตึกรามบ้านช่องและเมืองแห่งแสงสี ทั้งการจราจรที่แออัด ทั้งเสาไฟฟ้ามากมาย รวมถึงป้ายโฆษณาน้อยใหญ่ บ่งบอกให้พัตเตอร์รับรู้ว่าเขาได้กลับมาเยือนประเทศบ้านเกิดของเขาแล้วจริงๆ
“นิ่มดีใจจังที่คุณพัตกลับมา...หลานๆบ่นคิดถึงคุณลุงกันใหญ่เลย” นุ่มนิ่มที่นั่งอยู่ด้านข้างคนขับ หันไปคุยกับพี่ชายที่นั่งอยู่เบาะหลัง เวลานี้เธอมีลูกน้อยสองคนแล้ว คนโตเป็นเด็กชายอายุสี่ขวบ ชื่อเรโทร ส่วนคนเล็กเป็นเด็กหญิงอายุสองขวบ ชื่อวินเทจ ตั้งชื่อตามสไตล์ที่สายฟ้าชื่นชอบ
“พัตก็คิดถึงหลานๆ” พัตเตอร์เอ่ยบอก ขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปยังป้ายโฆษณาข้างทาง
“ช่วงนี้คุณเมโกะกำลังดังเอามากๆ ดังขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยล่ะ มีโฆษณาเยอะแยะไปหมดเลยคุณพัต” และพอนุ่มนิ่มเห็นว่าพัตเตอร์เอาแต่มองป้ายโฆษณาที่เมโกะเป็นพรีเซนเตอร์ เธอก็ถือโอกาสเอ่ยถึงในทันที
“แล้ววีนัสล่ะ? สบายดีไหม? ยังทำงานในวงการอยู่หรือเปล่า?” แต่พัตเตอร์กลับถามถึงวีนัส เพื่อนอีกคนแทน
“อืม...คุณวีไม่ค่อยรับงานแล้วล่ะ ตอนนี้คุณวีกำลังสนุกกับการช่วยคุณลุงอินทรีย์ขยายร้านอาหารน่ะคุณพัต...ช่วงนี้กลุ่มเพื่อนของเราไม่ค่อยได้เจอกันเลย เพราะทุกคนต่างก็ยุ่ง เจอครั้งล่าสุดก็ตอนงานศพแม่คุณเมโกะนั่นแหละ”
“นิ่ม?” ในตอนนั้น...สายฟ้าที่ขับรถอยู่ก็หันหน้ามามองภรรยาสาวของเขาในทันที แล้วนุ่มนิ่มก็เบิกตามองโต ยกมือขึ้นปิดปาก...เพราะเธอเพิ่งหลุดปากพูดอะไรบางอย่างที่ต้องห้ามออกไป
“งานศพใครนะคุณนิ่ม?” แต่มันไม่ทันเสียแล้ว พัตเตอร์นิ่วหน้าถามย้ำขึ้นมา
“เอ่อ...”
“พัตถามว่างานศพใคร?”
“คุณพัต...อย่าบอกคุณเมโกะนะว่านิ่มพูด คือ...คุณเมโกะสั่งห้ามพวกเราทุกคนบอกคุณพัตน่ะ ว่าคุณแม่...เสียแล้ว เสียเพราะโรคมะเร็งเมื่อปลายปีที่แล้วอ่ะคุณพัต” นุ่มนิ่มทำหน้ากังวล มองหน้าพัตเตอร์ที่เวลานี้นิ่มไปถนัดตา
“ทำไมไม่มีใครบอกพัตเลย?”
“เมโกะมันสั่งไม่ให้พวกกูพูด...ไม่ได้บอกเหตุผลว่าทำไม มันบอกแค่ว่าถ้าใครบอกมึง มันจะไม่ติดต่อด้วยอีก แล้วพวกกูจะทำไงได้วะ?” สายฟ้ามองหน้าพัตเตอร์ผ่านกระจกมองหลัง
“ไร้สาระ! ทำไมมันต้องปิดเรื่องนี้ไม่ให้กูรู้...แม่มัน กูก็เคยเจอ เคยคุยด้วยตั้งหลายครั้ง กับข้าวแม่มัน กูก็เคยกิน! ทำไมถึงไม่อยากให้กูรู้ว่ามัน...สูญเสียครอบครัวเพียงคนเดียวไปแล้ว?! มันทำเหมือนว่า...กูเป็นคนอื่น!” พัตเตอร์นิ่วหน้าถามอย่างไม่เข้าใจ แล้วก็อดที่จะขุ่นเคืองกับเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ
“คุณเมโกะคงมีเหตุผลน่ะคุณพัต...อย่าโกรธเลยนะ” นุ่มนิ่มรีบเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
“เมโกะก็คือเมโกะ...ยังไม่มีเหตุผล และคิดถึงแต่ตัวเองเหมือนเดิม” พัตเตอร์ส่ายหน้าอย่างรู้สึกผิดหวัง
