บทที่ 9
อวี้จิ่นที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินขึ้นบันไดและบ่นพึมพำเงียบ ๆ จึงไม่เห็นว่าด้านหน้าของตนอีกไม่กี่ขั้นมีคนยืนรอนางอยู่
“ฮึ ตนเองฐานะสูงส่งเป็นเจ้านายข้าเรียกคุณชายกลับไม่พอใจ แต่อยากให้เรียกพี่แล้วให้เรียกคนสนิทว่าน้าเนี่ยนะ คนเขาไม่ได้อายุมากถึงขั้นต้องเรียกว่าน้าเสียหน่อย”
“เจ้ากำลังบ่นถึงใครเช่นนั้นรึ”
“ก็บ่นให้คนขี้น้อยใจอย่างไรละ ละ แล้วท่านเดินย้อนกลับมาทำไมเจ้าคะ” อวี้จิ่นตอบพร้อมเงยหน้าจนเปลี่ยนคำตอบแทบไม่ทัน
“ข้าเดินย้อนกลับมาเพราะได้ยินใครบางคนพูดว่า ถ้าอยากขึ้นไปให้ถึงด้านบนวัดโดยเร็วข้าต้องอุ้มนางเท่านั้น เนื่องจากนางขี้เกียจวิ่งตามมันจะทำให้นางเหน็ดเหนื่อยเกินไป ซึ่งข้าก็คิดว่าเป็นความคิดที่เข้าท่าไม่น้อยดังนั้นถึงได้มาหยุดรออยู่ตรงนี้อย่างไรเล่า หึ ๆ ๆ” ฟู่หลงเหยียนตอบอวี้จิ่นด้วยแววตาเจ้าเล่ห์
“คระ คระ ใครกันที่พูดแบบนั้นไม่น่ารักเลยนะเจ้าคะ เดินแค่นี้ก็บ่นกลัวจะเหนื่อยน่าตียิ่งนักเจ้าค่ะ ข้าว่าพวกเรารีบเดินต่อเถิดหากชักช้าคนจะมาที่นี่มากกว่าเดิมนะเจ้าคะ” พอรู้ว่าฟู่หลงเหยียนย้อนคำพูดของตนอวี้จิ่นทำทีสงสัยและบอกว่าคนผู้นั่นควรถูกลงโทษพร้อมกับก้าวเท้าขึ้นบันได
“อืม เจ้าพูดถูกคนผู้นั้นน่าตีจริง ๆ แต่ข้าทำไม่ลงครั้งนี้จะยกโทษให้ก็แล้วกัน” ฟู่หลงเหยียนนึกภาพอวี้จิ่นถูกตีก็รับไม่ได้แล้ว
“ข้าคิดไว้อยู่แล้วว่าท่านต้องเป็นคนมีใจเมตตาเจ้าคะ..ว้ายย!!”
“พรึ่บ!!”
“แบบนี้เจ้าจะได้ไม่เหนื่อยและพวกเราคงถึงวัดเร็วกว่าเดิมมากจริงไหม รีบเดินเข้าเฉินอิ่นเมื่อกลับเข้าเมืองข้าจะไปจับตัวเจ้าเมืองทันที” ฟู่หลงเหยียนช้อนร่างบางขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนอย่างง่ายดาย เขาคิดว่าอุ้มนางเดินเป็นวิธีที่ดีที่สุดเพราะอวี้จิ่นมีน้ำหนักตัวไม่เยอะเลยสักนิด จนฟู่หลงเหยียนเริ่มคิดหาวิธีบำรุงร่างกายของนางในใจเงียบ ๆ
“ขอรับนายน้อย”
เฉินอิ่นไม่กล้าแสดงสีหน้าดีอกดีใจเรื่องของเจ้านายมากนัก เพราะนั่นเป็นเรื่องส่วนตัวแม้สถานการณ์ยามนี้ถือว่าเริ่มต้นได้ดี แต่ถ้าวันหนึ่งเจ้านายของตนได้พบกับอดีตคนรักอย่างพระชายารองเซียงล่ะ จะยังรู้สึกเจ็บปวดและกลายเป็นคนเงียบขรึมเย็นชา เอาแต่เคร่งเครียดกับงานเช่นที่ผ่านมาอีกหรือไม่
อวี้จิ่นที่ถูกบุรุษร่างสูงอุ้มเดินขึ้นบันไดก็เอามือปิดหน้าตนไว้ เพราะมีคนที่เดินอยู่คอยมองมาที่นางตลอดเวลา ที่สำคัญนางไม่กล้ามองหน้าคนที่อุ้มนางอยู่ แต่อวี้จิ่นกำลังถามและตอบตนเองอยู่ในความคิด
ว่าเหตุใดนางถึงได้รู้สึกอุ่นใจยามมีฟู่หลงเหยียนอยู่ใกล้ ๆ จนนางนึกถึงเรื่องที่เคยขอกับเทพจันทราเอาไว้ขึ้นมาได้
‘อย่าบอกนะว่าเนื้อคู่ที่เคยขอกับท่านเทพไว้จะเป็นคุณชายฟู่คนนี้ ไม่เร็วไปหน่อยหรือท่านเทพข้าเพิ่งมาอยู่ในร่างของอวี้จิ่นไม่ถึงหนึ่งเดือน ท่านก็ส่งเนื้อคู่มาให้นี่ร่างกายนี้ยังผอมแห้งแรงน้อยอยู่เลยนะ อายุก็เพิ่งจะสิบห้าย่างสิบหกเองที่สำคัญข้ายังไม่ได้ดูแลหน้าตาให้งดงาม ท่านเทพท่านไม่คิดจะให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาดูบุรุษรูปงามคนอื่นบ้างหรืออย่างไร’
‘ฮัดเช้ย!! บ๊ะ นังหนูคนนี้เนื้อคู่ของเจ้าข้าย่อมคัดเลือกให้อย่างดี ยังจะบ่นอยู่อีกบุรุษอื่นหน้าตาหล่อเหลาแต่นิสัยต่ำช้า ข้าจะให้เป็นเนื้อคู่ของเจ้าได้อย่างไรเล่าแม้คนนี้จะเหี้ยมโหดสักหน่อย แต่มีทุกข้อที่เจ้าขอกับข้าเชียวนะนังหนูยอมรับความจริงเถิดอย่าบ่นข้าอีกล่ะ ฮ่า ๆ ๆ’
“อวี้จิ่น? อวี้จิ่น!”
“เจ้าคะ! อยู่ใกล้ถึงเพียงนี้ท่านจะเสียงดังทำไมเล่า”
“ที่ข้าเรียกเพราะพวกเราขึ้นมาถึงด้านบนวัดกันแล้วน่ะสิ แต่เจ้าดูกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ข้าจำต้องเรียกเสียงดังเล็กน้อย”
“อ่อ งั้นท่านก็วางข้าลงได้แล้วกระมังเจ้าคะ จะได้เดินไปยังห้องที่เจ้าเมืองใช้ซ่อนหลักฐานกันเสียที”
“อืม เจ้าเดินนำทางไปเถิด”
อวี้จิ่นพาฟู่หลงเหยียนเดินอ้อมไปอีกด้านของภูเขา ซึ่งที่นั่นจะมีห้องแยกออกมาเป็นส่วนตัวสำหรับพวกเศรษฐี หรือคนร่ำรวยที่ชอบมาทำบุญเอาหน้าให้ชาวบ้านชื่นชมความมีน้ำใจ แต่หารู้ไม่ว่านักบวชในวัดแห่งนี้ล้วนเป็นนักบวชปลอมทั้งสิ้น
เมื่อทั้งสามคนเดินมาถึงห้องส่วนตัวขนาดกลาง มีนักบวชคอยเฝ้าเอาไว้สองคนก่อนจะเข้าไปได้ย่อมมีค่าผ่านประตู เรื่องนี้อวี้จิ่นย่อมเห็นจากภาพนิมิตมาแล้วจึงอาสาจัดการเอง
“เดี๋ยวก่อนประสกทั้งสามหากต้องการใช้ห้องสวนมนต์แห่งนี้ พวกท่านทราบถึงกฎเกณฑ์ของทางวัดแล้วหรือไม่”
“คารวะไต้ซือเจ้าค่ะ คุณชายของข้าเพิ่งมาจากต่างเมืองเพื่อมาขอพรเกี่ยวกับการทำงานครั้งใหญ่ เห็นว่าที่วัดของตระกูลอวี่มีผู้คนเคารพนับถืออย่างมาก จึงอยากมากราบไหว้สักครั้งส่วนเรื่องกฎของทางวัด ข้าทราบเป็นอย่างดีว่าต้องทำอย่างไรของในตะกร้าใบนี้ หวังว่าไต้ซือจะอนุญาตให้คุณชายของข้าได้เข้าไปสวดมนต์เป็นการส่วนตัวนะเจ้าคะ” พวกเห็นแก่เงินจะไม่รับไว้ได้อย่างไรในตะกร้านั่นมีก้อนตำลึงเงินอยู่หลายก้อนเชียวนะ
“อืม เมื่อประสกตัวน้อยรู้จักทำตามกฎของวัด คุณชายของท่านย่อมสามารถเข้าไปสวดมนต์ด้านในได้ เชิญ” ไต้ซือตัวปลอมมัวแต่สนใจก้อนตำลึงในถุงผ้าใบเล็กในตะกร้าจึงไม่เอะใจคำพูดของอวี้จิ่นเท่าใดนัก
“ขอบคุณไต้ซือมากเจ้าค่ะที่เห็นใจชาวบ้านอย่างเรา เชิญคุณชายเข้าไปสวดมนต์เถิดงานที่ท่านหวังไว้จะได้สำเร็จโดยเร็วนะเจ้าคะ” อวี้จิ่นหันไปทำหน้าที่สาวใช้เชื้อเชิญฟู่หลงเหยียนเข้าไปในห้องสวดมนต์ ส่วนคุณชายของสาวใช้ก็สั่งให้เฉินอิ่นเฝ้าหน้าประตูไว้อีกที
“คงไม่เป็นการรบกวนไต้ซือมากนักหากคนของข้า จะยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้าประตูเป็นเพื่อนพวกท่านใช่หรือไม่” เขาต้องการให้เฉิ่นอิ่นจับตาดูไต้ซือสองคนนี้เอาไว้ต่างหาก
“ไม่เป็นการรบกวนอันใดนี่เป็นเรื่องปกติของเหล่าประสก เพราะต้องการความเป็นส่วนตัวไม่ต้องการให้มีใครมารบกวน” เมื่อมีคนจ่ายเงินให้คนเหล่านั้นจะทำอะไรก็ได้ตามสบาย
ฟู่หลงเหยียนก้มศีรษะเล็กน้อยตามมายาทก่อนจะเดินเข้าห้องไป ด้านหลังคืออวี้จิ่นผู้ทำหน้าที่เป็นสาวใช้และต้องไปเปิดที่ซ่อนหลักฐาน ทั้งสองต้องแสร้งทำเป็นไหว้พระสวดมนต์เสียก่อนเพื่อให้ไต้ซือสองคนนั่นไม่ระแวงจนเกินไป เมื่อแน่ใจแล้วว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผนอวี้จิ่นพาฟู่หลงเหยียนเดินไปด้านหลังพระพุทธรูปองค์ใหญ่ทันที
“นี่ ๆ คุณชายฟะ..”
“หือ..”
“อะ เอ่อ พี่ชายฟู่ท่านรอรับหลักฐานอยู่ด้านล่างก็แล้วกันเพราะข้ารู้ว่ากลไกเปิดช่องลับอยู่ส่วนไหน อีกอย่างท่านช่วยส่งข้าขึ้นไปยืนตรงฐานด้านบนหน่อยสิเจ้าคะ ตัวข้าก็แค่นี้วรยุทธ์ก็ไม่มีขึ้นไปเองไม่ได้เจ้าค่ะ แหะ ๆ ๆ” อวี้จิ่นพูดจบทำเอาคนฟังถึงกับส่ายหน้า
“ได้ เจ้าเองขึ้นไปยืนด้านบนก็ระวังตัวด้วยเล่า เกิดเหยียบพลาดร่วงลงมาจะบาดเจ็บเอาได้เข้าใจไหม” ฟู่หลงเหยียนเตือนด้วยความเป็นห่วง
“เจ้าค่ะข้าจะระวังตัวให้มากแต่ถ้าเกิดร่วงลงมาจริง ๆ ก็ยังมีพี่ชายฟู่รอรับอยู่มิใช่หรือเจ้าคะ หรือท่านจะปล่อยให้ข้าลงไปนอนบนพื้น คิ คิ คิ”
“พรึ่บ! รีบลงมือเข้าเถิดนานเกินไปพวกนั้นจะสงสัยเอาได้”
“อื้ม”