บท
ตั้งค่า

บทที่ 8

ยามค่ำคืนที่ผ่านมาเป็นครั้งแรกที่ฟู่หลงเหยียนไม่ฝันถึงเรื่องราวในอดีต เมื่อลืมตาตื่นขึ้นในเช้าวันใหม่จึงรู้สึกสดชื่นอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาหลายปี เขาไม่รู้จะขอบคุณสตรีที่แสนจะธรรมดาไม่เหมือนใคร แม้แต่ชื่อแซ่ก็ลืมถามไถ่กับนางไว้ก่อนจะจากกันไปเสียได้ ฟู่หลงเหยียนตั้งใจไว้ว่าเช้านี้เขาจะถามชื่อของนางเป็นอย่างแรก

ทางด้านอวี้จิ่นที่เพิ่งตื่นนอนในต้นยามเฉินพอตั้งสติได้ ก็เกือบหัวทิ่มหัวตำลงจากเตียงด้วยความเร่งรีบ เมื่อนางนึกขึ้นได้ว่าใกล้ถึงเวลาที่ฟู่หลงเหยียนจะมารับนาง เพื่อไปเก็บหลักฐานการกระทำความผิดของเจ้าเมืองเฉียนโจว อวี้จิ่นรีบล้างหน้าบ้วนปากอาบน้ำอย่างรวดเร็ว ผมเผ้าทำเพียงเก็บรวบมัดยกเป็นหางม้าเท่านั้น

เมื่อเดินออกมาด้านหน้าโรงเตี๊ยมบุรุษในชุดคลุมสีดำสองคน มายืนรอนางอยู่ก่อนแล้วพร้อมม้าอีกสองตัว ทำเอาอวี้จิ่นละอายใจเล็กน้อยได้แต่ยิ้มแหย ๆ กล่าวขอโทษที่นางตื่นสายทำให้ทั้งสองคนต้องรอนาน

“อุ๊ย! แฮะ ๆ ๆ ขออภัยเจ้าค่ะที่ปล่อยให้พวกท่านรอนานเช่นนี้ ถ้าวันไหนข้าเข้านอนดึกมักจะตื่นสายเช่นนี้ประจำเจ้าค่ะ”

“ไม่เป็นไรพวกข้าสองคนเพิ่งจะมาถึงไม่นานเช่นกัน เจ้าพอจะบอกได้หรือไม่ว่าหลักฐานทั้งหมดถูกเก็บซ่อนไว้ที่ใด” ฟู่หลงเหยียนไม่ถือสาถึงจะนานเขาก็รอนางได้

“ท่านเจ้าเมืองให้คนสนิทนำหลักฐานทั้งหมดนั้น ไปซ่อนไว้ใต้ฐานพระพุทธรูปในวัดประจำตระกูลอวี่ บนภูเขาซานลู่ที่ตั้งอยู่นอกเมืองไปประมาณห้าสิบลี้เจ้าค่ะ” อวี้จิ่นประมาณระยะทางตามภาพที่เห็นเพราะวัดนี้ไม่น่าจะอยู่ไกลมากนัก

“นายน้อยบ่าวจำได้ว่าวัดแห่งนั้นเป็นทางผ่านก่อนที่จะถึงเมืองเฉียนโจว และที่นั่นยังมีผู้คนไปทำบุญกราบไหว้ขอพรมากพอสมควรขอรับ” เฉินอิ่นจำวัดนี้ได้เพราะเขาสงสัยทำไมถึงสร้างวัดอยู่ติดเส้นทางหลักเช่นนี้

“อืม นี่ก็ไม่เช้าแล้วพวกเรารีบไปกันเถิด หากได้หลักฐานมาเร็วเท่าไหร่จะได้จับตัวขุนนางที่กระทำผิด และเดินทางกลับเมืองหลวงและเจ้า....เจ้าชื่อแซ่ว่าอันใดตัวข้าฟู่หลงเหยียน ส่วนคนสนิทของข้าชื่อเฉินอิ่นอีกสองคนที่เหลือไว้ค่อยทำความรู้จักทีหลังเถิด”

“อ่อ ข้าไม่มีแซ่ถูกเลี้ยงดูโดยหมอตำแยท่านหนึ่ง นางตั้งชื่อให้ข้าว่าอวี้จิ่นท่านก็เรียกชื่อนี้เถิดเจ้าค่ะคุณชายฟู่” เพราะนางไม่มีแซ่จริง ๆ แม้แต่แซ่ของยายเฒ่าลิ่วนางยังไม่รู้

“เอาล่ะอวี้จิ่นพวกเรารีบไปที่วัดนั่นกันเถิด หากสายกว่านี้แดดจะแรงเสียก่อน” ฟู่หลงเหยียนชักชวนอวี้จิ่นที่ทำหน้าเหมือนมีคำถาม

“ข้าก็อยากไปให้เร็วอยู่นะเจ้าคะแต่ว่ามีม้าแค่สองตัว แล้วมีคนสามคนจะไปกันอย่างไรหรือจะ...ว้ายยยย!!” อวี้จิ่นยังพูดไม่ทันจบร่างของนางก็ถูกมือหนายกขึ้นไปนั่งบนหลังม้าเป็นที่เรียบร้อย

“พรึ่บ! หมับ! ทีนี้ก็ไปได้แล้วสินะ หึ ๆ”

ฟู่หลงเหยียนไม่ฟังคำถามของอวี้จิ่นให้จบเขาก็เดาได้ จึงรีบพานางขึ้นนั่งบนหลังเจ้าเสี่ยวเฟิงพร้อมกับตัวของฟู่หลงเหยียน ที่นั่งซ้อนด้านหลังอวี้จิ่นไว้ส่วนมือของเขาก็กำเชือกไว้แน่น รอออกคำสั่งให้เสี่ยวเฟิงพุ่งทะยานไปตามถนนมุ่งหน้าออกนอกเมือง

“กะ กะ ก็ไปได้เจ้าค่ะข้าแค่ตกใจนิดหน่อยแบบเพิ่งเคยขี่ม้าเป็นครั้งแรกเท่านั้นเองเจ้าค่ะ ไม่ได้กลัวนะเจ้าคะแค่รู้สึกตื่นเต้นเท่านั้นเอง แฮร่” ที่พูดโดยรวมความหมายของมันคือนางกลัวตก

“หืม ไม่กลัวก็ไม่กลัวจับไว้แน่น ๆ ก็แล้วกัน ย๊า!!”

“ย๊า!! ฮี้ ๆ ๆ กุบกับ ๆ ๆ”

ฟู่หลงเหยียนแอบขำเล็กน้อยกับการแก้ตัวของอวี้จิ่น นางบอกว่าไม่กลัวแต่กลับนั่งตัวแข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัด เขาจำต้องลดความเร็วของเสี่ยวเฟิงลงด้วยไม่อยากให้อวี้จิ่นกลัวการขี่ม้า ทั้งสามคนเดินทางมามาถึงเชิงเขาซานลู่ตอนต้นยามซื่อ ซึ่งตอนนี้เริ่มมีผู้คนเดินขึ้นไปทำบุญบ้างประปราย ฟู่หลงเหยียนจึงอยากลงมือให้เร็วที่สุดยามที่มีคนน้อยเช่นนี้ อวี้จิ่นที่ยืนนิ่งก้าวขาไม่ออกเรียกอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน เพราะพวกเขาจะเดินขึ้นไปโดยไม่มีท่าทีจะมาทำบุญไม่ได้

“เดี๋ยวเจ้าค่ะคุณชายฟู่”

“หืม มีอะไรหรืออวี้จิ่นหรือว่าเจ้ายังไม่หายกลัวการขี่ม้า” เขาหยุดเท้าเมื่อถูกอวี้จิ่นเรียกและคิดว่านางยังไม่หายกลัวจึงเย้าแหย่นางออกไป

“ชิ ไม่ใช่เรื่องขี่ม้าเจ้าค่ะแต่พวกเราจะเดินขึ้นตรง ๆ เช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นจะถูกพวกที่เป็นนักบวชบนวัดนั่นสงสัยเอาได้เจ้าค่ะ ท่านช่วยซื้อพวกดอกไม้จากชาวบ้านที่นำมาวางขายติดไม้ติดมือไปสักหน่อยเถิด”

“วิธีของคุณหนูอวี้จิ่นก็ดีนะขอรับนายน้อย พวกเราจะได้ไม่ดูแปลกแยกกับผู้คนที่มาทำบุญ แค่สวมเสื้อคลุมมาเช่นนี้ก็ดูน่าแปลกพออยู่แล้วนะขอรับ” เฉินอิ่นเห็นด้วยกับอวี้จิ่น

“อืม งั้นเจ้าไปซื้อดอกไม้จากชาวบ้านมาหลาย ๆ ช่อก็แล้วกัน แล้วเจ้าก็เป็นคนถือเดินตามข้ากับอวี้จิ่นขึ้นไปด้านบนเข้าใจไหมเฉินอิ่น” ฟู่หลงเหยียนสั่งเฉินอิ่นโดยไม่มองสีหน้าของคนสนิทที่กำลังตกตะลึง

‘นี่นายน้อยไม่คัดค้านเลยรึทั้งที่เกลียดดอกไม้มากถึงเพียงนั้น หรือว่าจะเป็นคุณหนูอวี้จิ่นที่จะทำให้นายน้อยอยากมีความรักอีกครั้ง’

“เอ่อ คุณชายฟู่ทำไมพี่เฉินอิ่นถึงยืนนิ่งอยู่กับที่ล่ะเจ้าคะ” อวี้จิ่นได้ยินฟู่หลงเหยียนสั่งคนสนิทที่เห็นด้วยกับนาง แต่คนสนิทดันไม่ยอมขยับตัวทำตามคำสั่ง

“หืม เจ้าเรียกข้าว่าคุณชายฟู่แต่กับเฉินอิ่นกลับเรียกว่าพี่งั้นหรือ ทั้งที่ข้าอายุน้อยกว่าเฉินอิ่นถึงห้าปีเชียวนะอวี้จิ่น คนที่เจ้าควรเรียกว่าพี่คือข้าส่วนเฉินอิ่นเจ้าต้องเรียกเขาว่าน้าเข้าใจไหม” ฟู่หลงเหยียนไม่สนใจคำถามของอวี้จิ่นแต่เขากลับไม่พอใจ เรื่องที่นางเรียกสรรพนามของตนเองอย่างห่างเหินและกับเฉินอิ่นนางดันเรียกอย่างสนิท

“ห๊ะ!!/ห๊า!!”

เฉินอิ่นที่ยืนนิ่งกับความคิดของตนเองอยู่นั้น พอได้ยินเจ้านายบอกให้อวี้จิ่นเรียกตนว่าน้าและต้องเรียกเจ้านายว่าพี่ นี่ยิ่งทำให้เฉินอิ่นตกใจยิ่งกว่าการให้เขาไปซื้อดอกไม้เสียอีก แม้แต่อดีตคนรักของเจ้านายยังไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้คำนี้ ไม่ต่างกับอวี้จิ่นที่งงกับคำพูดของคนร่างสูงเพราะเสียงที่พูดออกมา นางรู้สึกได้ถึงความไม่พอใจและพอจะอธิบายเขาก็สะบัดหน้าเดินขึ้นบันไดไปเสียทื่อ ๆ

“เอ่อ ตะ ตะ แต่ว่าพี่เฉินอิ่นอายุน่าจะไม่มากทะ...”

“หึ พรึ่บ!!”

“อะ อ้าว เดี๋ยวสิเจ้าคะ!! ข้ายังพูดไม่จบทำไมต้องเดินหนีด้วยเล่า ทำเป็นคนแก่หัวล้านขี้น้อยใจไปได้ ฮึ่ย!”

“คะ คะ คุณหนูอวี้จิ่นข้าว่าท่านทำตามที่นายน้อยบอกเถิดนะ ถ้าได้เจอตงลู่กับอู๋จิ้งท่านก็เรียกสองคนนั้นว่าน้าด้วยเช่นกัน ถือว่าเมตตาสงสารพวกข้าสามคนสักครั้งนะคุณหนูอวี้จิ่น”

“อะไรกันทั้งนายทั้งบ่าวช่างเถอะ ๆ ท่านรีบไปซื้อดอกไม้จะดีกว่า โน่นเจ้านายท่านเดินไปได้จะครึ่งทางอยู่แล้วนะ ขอบอกไว้ก่อนว่าข้าไม่มีทางวิ่งตามขึ้นไปเด็ดขาดเพราะมันจะเหนื่อยเกินไป ถ้าเจ้านายของท่านอยากขึ้นไปให้ถึงโดยเร็วก็เดินกลับลงมาอุ้มข้าก็แล้วกัน เชอะ” อวี้จิ่นลืมไปว่าในโลกนี้คนที่มีวรยุทธ์มักจะมีประสาทสัมผัสที่ไว ฉะนั้นที่นางพูดกับเฉินอิ่นฟู่หลงเหยียนได้ยินมันทั้งหมด

“งั้นคุณหนูเดินไปก่อนเถิดข้าจะไปซื้อดอกไม้แล้วจะรีบตามไปขอรับ” เฉินอิ่นไม่อยากถูกทำโทษจึงวิ่งไปซื้อดอกไม้อย่างรวดเร็ว
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel