บทที่ 7
อวี้จิ่นที่ยืนมองคนแปลกหน้าพาตัวเจียนฉือไป นางคิดว่าคงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตนแล้วจึงจะกลับโรงเตี๊ยม แต่กลับมีมือหนาจับเข้าที่ข้อมือของนางเอาไว้พร้อมกับแรงดึงให้เดินตามคนกลุ่มนั้นไป
“หมับ!!”
“เฮ้ย!! ดะ ดะ เดี๋ยวก่อน ๆ ๆ ท่านจะจับมือข้าไว้ทำไมกันเจ้าคะ แล้วจะพาไปที่ใดข้าจะกลับโรงเตี๊ยมของข้านะเจ้าคะ”
“หืม ใครบอกว่าจะให้เจ้ากลับไปโรงเตี๊ยมในยามนี้ เจ้าต้องตามข้าไปและเรื่องในคืนนี้เจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมาก เพราะเจ้ารู้ในสิ่งที่ข้าไม่รู้ดังนั้นเดินตามไปเสียดี ๆ หากเจ้ายังดื้อดึง ข้าจะอุ้มเจ้าแทนการจับมือว่าอย่างไรจะเลือกอย่างไหนรึ” ฟู่หลงเหยียนข่มขู่อวี้จิ่นเมื่อนางบอกว่าจะกลับโรงเตี๊ยม
“ข้าเดินเองได้ท่านแค่เดินนำทางไปก็พอเจ้าค่ะ” จะเลือกได้ยังไงที่เขาพูดมานางเสียเปรียบทั้งสองทาง
“เอาตามที่ข้าตัดสินใจจับมือเจ้าไว้น่ะดีแล้วจะได้ไม่หลงทางเพราะตรอกร้างที่จะไปมันมืดมาก รีบตามพวกนั้นไปเถิดได้เบาะแสทั้งหมดเมื่อไหร่ข้าจะไปส่งเจ้าที่โรงเตี๊ยมด้วยตัวเอง” ฟู่หลงเหยียนได้จับมือบางที่เขาสามารถกำได้รอบก็ได้แต่คิดว่า ที่ผ่านมานางได้กินอิ่มท้องบ้างหรือไม่เหตุใดถึงผอมเหลือเกิน
“ข้าจะโต้แย้งไปทำไมในเมื่อท่านตัดสินใจแล้วนี่”
พอเห็นอวี้จิ่นทำหน้าไม่พอใจด้วยการทำแก้มป่องนั่น ทำเอาคนเย็นชาถึงกับแอบยกยิ้มมุมปากโดยไม่รู้ตัว เขามองว่าท่าทางของอวี้จิ่นยามนี้ช่างน่ารักมากเสียจริง และอยากจะแกล้งนางบ่อย ๆ ทั้งที่เขาไม่ใช่คนนิสัยขี้แกล้งเลยสักนิด
เมื่อมาถึงตรอกร้างการเค้นเอาความจริงจากเจียนฉือก็เริ่มขึ้น ฟู่หลงเหยียนหาที่นั่งให้อวี้จิ่นในระยะที่ห่างจากคนร้ายพอสมควร เพื่อป้องกันไม่ให้คนร้ายฉวยโอกาสใช้นางเป็นข้อต่อรอง
“บอกความจริงเกี่ยวกับนายของเจ้ามาทั้งหมดสิ่งที่ทำอยู่โดยใช้ข่าวลือเรื่องผีสาวฆ่าคนเพื่ออะไร หากสารภาพโทษหนักจะได้กลายเป็นเบา แต่หากไม่ยอมสารภาพเจ้าย่อมรู้ดีว่าจะได้รับโทษเยี่ยงไร” ฟู่หลงเหยียนยืนอยู่ด้านหน้าเจียนฉือเพื่อสอบถามความจริง
“เพ้ย!! คิดว่าข้าโง่มากไม่รู้ความคิดของพวกเจ้ารึ ไม่ว่าจะพูดหรือไม่พูดก็ต้องรับโทษตายอยู่ดีแล้วข้าจะพูดให้เปลืองน้ำลายทำไม ฮ่า ๆ ๆ”
“อ่อ ถามดี ๆ ไม่ชอบต้องเจ็บตัวก่อนกระมังถึงจะยอมพูด ตงลู่เจ้าช่วยถามแบบเจ็บ ๆ กับคนร้ายทีสิข้าอยากรู้ว่าจะปากแข็งได้นานแค่ไหน” ฟู่หลงเหยียนไม่อยากเสียเวลาจึงสั่งตงลู่ออกแรงสั่งสอนเล็กน้อย
“ขอรับนายน้อย”
“ผัวะ! อ่ะ ผัวะ! อั่ก แค่ก ๆ ๆ”
ฟู่หลงเหยียนเห็นตงลู่ลงมือเขาจึงนึกขึ้นได้ว่ายังมีอวี้จิ่นนั่งดูอยู่ จึงรีบเดินไปขวางหน้าของนางไว้เสียก่อนเพราะไม่อยากให้เห็นความรุนแรงนี้
“อ้าว นี่คุณชายท่านจะมายืนบังไว้ทำไมกันเจ้าคะ หรือท่านคิดว่าข้าจะหวาดกลัวกับเรื่องเช่นนี้ท่านสบายใจเถิดข้าไม่ได้อ่อนแอถึงเพียงนั้น”
“งั้นหรือ?”
“อืม ข้าขึ้นเขาต้องพบเจอสัตวดุร้ายเป็นประจำ แค่เรื่องลงมือเพื่อเค้นเอาความจริงกับคนร้ายถือว่าเรื่องเล็กเจ้าค่ะ แต่ข้าว่าถึงท่านจะสั่งสอนไปก็เท่านั้นบุรุษผู้นี้ไม่มีทางยอมสารภาพแน่ เอาเป็นว่าครั้งนี้ข้าจะช่วยเหลือให้ท่านจับคนชั่วมาลงโทษก็แล้วกัน ท่านรับปากได้หรือไม่ว่าจะไม่บอกใครว่ารู้มาจากข้าน่ะ” อวี้จิ่นอยากให้ชาวบ้านได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไม่ต้องคอยระแวงเกี่ยวกับเรื่องภูตผีอีก อย่างไรเสียความสามารถของนางก็มีไว้ช่วยเหลือคนดี
“ได้ข้ารับปากเจ้าจะไม่บอกใครเด็ดขาดว่ารู้เรื่องทั้งหมดจากเจ้า และยินดีช่วยเหลือหากเจ้าต้องการให้ข้าช่วย ทีนี้บอกมาได้หรือยังว่าเจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องข่าวลือของเมืองเฉียนโจว”
ฟู่หลงเหยียนถามด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าเดิม แม้ในใจจะเกิดความสงสัยว่าสตรีร่างบางที่เขายังไม่รู้จักชื่อแซ่ รู้รายละเอียดเบื้องหลังการปลอมเป็นภูตผีได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่เขากับนางเข้าเมืองเฉียนโจวในวันและเวลาเดียวกัน
“อืม ข้ารู้ว่าข่าวลือที่สร้างขึ้นบังหน้านี้เพราะต้องการให้ชาวบ้านหวาดกลัว ไม่กล้าออกจากบ้านยามค่ำคืนเนื่องจากเจ้าเมืองเฉียนโจว ต้องการเปิดทางให้พรรคพวก ลักลอบขนเกลือเถื่อนเข้ามาขายทุก ๆ สามเดือน ส่วนคนที่เป็นขุนนางตำแหน่งสูงกว่านั้น ข้าได้ยินท่านเจ้าเมืองเรียกว่าใต้เท้าจินและมีอีกคนที่เป็นองค์ชายด้วยเจ้าค่ะ”
“นี่เจ้า!! เจ้าเป็นสายลับของใครเหตุใดถึงรู้ความลับเรื่องนี้ได้?” เจียนฉือตกใจกับความจริงที่อวี้จิ่นพูดออกมา
“ห๊ะ!! แค่รู้ความลับชั่ว ๆ ของพวกเจ้าข้าต้องเป็นสายลับด้วยรึ แต่ข้าเพิ่งจะมาถึงเมืองเฉียนโจวเมื่อกลางวันนี้เองนะ จะมีความสามารถปลอมตัวเป็นสายลับเข้าจวนเจ้าเมืองทันได้อย่างไร” อวี้จิ่นงุนงงที่คนร้ายกล่าวหาว่านางเป็นสายลับของฝ่ายตรงข้าม
“ใต้เท้าจินและองค์ชายงั้นหรือที่แท้คนพวกนี้ก็มีแผนการร้ายต่อราชบัลลังก์จริง ๆ อู๋จิ้งเจ้าไปหาเช่าจวนหลังเล็กแล้วนำตัวมันไปขังไว้ที่นั่นอย่าให้หลบหนีออกมาได้ตงลู่เจ้าไปช่วยอู๋จิ้ง ส่วนข้าและเฉินอิ่นจะตามหาหลักฐานที่ซ่อนไว้ทั้งหมดเองเมื่อได้หลักฐานค่อยนำตัวนักโทษกลับเมืองหลวง” ฟู่หลงเหยียนคิดไว้แล้วว่าขุนนางในราชสำนักต้องมีส่วน
“รับทราบขอรับนายน้อย”
อวี้จิ่นพอได้ยินคำว่าเมืองหลวงจากปากของฟู่หลงเหยียน จึงนึกบางอย่างขึ้นมาได้และต้องการทำข้อแลกเปลี่ยน เพื่อจะขอติดตามเดินทางไปเมืองหลวงกับฟู่หลงเหยียน
“เอ่อ คุณชายพวกท่านมาจากเมืองหลวงหรือเจ้าคะ หากข้ามีข้อแลกเปลี่ยนบางอย่างอยากเสนอกับท่านจะได้ไหมเจ้าค่ะ”
“หืม เจ้ามีข้อแลกเปลี่ยนกับข้าแล้วสิ่งที่เจ้าต้องการแลกเปลี่ยนคือสิ่งใดหรือ” เขาแปลกใจเล็กน้อยที่จู่ ๆ นางก็บอกว่ามีข้อแลกเปลี่ยนบางอย่าง
"ข้าแค่จะขอติดตามขบวนเดินทางของพวกท่านไปเมืองหลวงเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“แค่นี้หรือที่เจ้าต้องการทำการแลกเปลี่ยนกับข้า?”
“ใช่เจ้าค่ะ ข้าคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับท่านและคนติดตามแต่อย่างใด” พวกเขาเก่งกาจถึงเพียงนี้แค่สตรีร่างเล็กอย่างนางคงไม่มีปัญหากระมัง
“ตกลง ข้ายินดีให้เจ้าติดตามขบวนเดินทางไปด้วย ว่าแต่สิ่งที่เจ้าจะใช้แลกเปลี่ยนในครั้งนี้คืออะไร”
“ข้ารู้ว่าหลักฐานที่คุณชายต้องการนั้นซ่อนอยู่ที่ไหน และสามารถพาท่านไปเก็บหลักฐานทั้งหมดเพื่อลงโทษขุนนางชั่วได้เจ้าค่ะ” อวี้จิ่นพูดด้วยสีหน้าท่าทางจริงจังมาก แต่มันกลับดูน่ามองสำหรับบุรุษร่างสูงอย่างฟู่หลงเหยียนเสียเหลือเกิน
“อืม เช่นนั้นคืนนี้ข้าจะส่งเจ้ากลับโรงเตี๊ยมนอนพักผ่อนให้มาก แล้วพรุ่งนี้ยามเฉินข้ากับเฉินอิ่นจะไปรอเจ้าอยู่ตรงหน้าโรงเตี๊ยม เพื่อไปค้นหาหลักฐานจากที่ซ่อนตามที่เจ้าได้บอกเอาไว้”
“เจ้าค่ะ”
อวี้จิ่นรู้สึกโล่งอกเมื่อไม่ต้องเดินทางเพียงลำพังอีก แต่เรื่องนี้กลับทำให้ฟู่หลงเหยียนชอบใจมากกว่า ตลอดการเดินทางกลับเมืองหลวงเขาจะได้ทำความรู้จักกับอวี้จิ่นให้มากกว่านี้ เพราะฟู่หลงเหยียนแน่ใจแล้วว่านางคือคนที่ทำให้หัวใจที่ไม่เคยเต้นแรงกับสตรีใดอีก กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งด้วยการกระทำที่เป็นธรรมชาติของนาง ซึ่งมันแตกต่างกับอดีตคนรักของเขาที่เป็นสตรีมีใบหน้างดงาม กิริยามารยาทอ่อนหวานได้รับคำชื่นชมอยู่เสมอ แต่แท้จริงแล้วเขาไม่เคยรู้จักตัวตนจริง ๆ ของนางเลยแม้แต่น้อย