บทที่ 6
ป้าบ! โอ๊ย
“เฉินอิ่นเจ้าตบหัวข้าทำไมมันเจ็บนะ อูย ไม่คิดจะยั้งแรงให้กันบ้างเลย” อู๋จิ้งลูบท้ายทอยไปมา
“เจ้านี่น้าไม่เคยรู้ทันอะไรกับคนอื่นบ้างเลยถ้าเจ้าอยากรู้ก็รอดูเอาเองแล้วค่อย ๆ คิดตาม อีกไม่นานจะเข้าใจว่าพวกข้าสองคนเออออเรื่องอะไรไปพักผ่อนกันได้แล้ว” เฉินอิ่นส่ายหน้ากับความซื่อของสหาย
ทางด้านอวี้จิ่นที่ตื่นนอนและจัดการธุระส่วนตัวเสร็จ จึงสั่งอาหารมื้อเย็นขึ้นไปทานบนห้องพักของตน และนั่งคิดเรื่องผีสาวถ้านั่นเป็นคนปลอมตัวมาอาจจะมีอันตราย นางจึงเข้ามิติเดินหาร้านค้าขายอุปกรณ์เดินป่าจนได้มีดพกที่เหมาะมือมาหนึ่งเล่ม เพราะเป็นเด็กกำพร้าใช้ชีวิตลำบากหากไม่อยากถูกคนอื่นรังแก จำเป็นต้องเรียนรู้วิธีป้องกันตัวเพื่อเอาชีวิตรอดจากพวกอันธพาล ทักษะการใช้มีดอวี้จิ่นฝึกด้วยตนเองผ่านการดูตัวอย่างจากโลกโซเซี่ยลจนชำนาญ หมัดมวย
ไม่ถึงกับเก่งกาจแต่เอาตัวรอดได้ทุกสถานการณ์
ล่วงเลยเข้าปลายยามห้ายอวี้จิ่นออกจากห้องพัก แสร้งเดินเล่นไปตามถนนในเมืองเฉียนโจว ในมือข้างซ้ายถือลูกผิงกั่วกัดกินไปด้วย ท่ามกลางความเงียบสงัดอย่างที่คนบังคับรถม้าบอก ทำให้รู้สึกวังเวงอยู่ไม่น้อยแต่นั่นไม่ช่วยให้ความรู้ลดลงแต่อย่างใด ด้านบนหลังคายังมีคนกลุ่มหนึ่งคอยตามอวี้จิ่นไปเงียบ ๆ
หลังจากเดินเลี้ยวไปเลี้ยวมาอยู่หลายมุมจนเริ่มจะเมื่อยขา และอวี้จิ่นคิดว่าคืนนี้ไม่น่ามีเหตุการณ์ในข่าวลือเกิดขึ้น จึงคิดจะเดินกลับโรงเตี๊ยมเพื่อนอนพักเอาแรงยามที่กำลังคิดเรื่องกลับห้องพัก ก็มีเสียงหัวเราะแทรกเข้ามาด้วยบรรยากาศที่เงียบเชียบ พอมีเสียงหัวเราะดังขึ้นมากลับกลายเป็นความรู้สึกน่ากลัว สำหรับคนในเมืองเฉียนโจวยิ่งแต่อวี้จิ่นทำเพียงหยุดเดินและรอคอยอย่างตั้งใจ ว่าผีสาวตนนี้จะทำอะไรกับนางถ้าหากนางถามคำถามออกไป มันจะตอบคำถามของนางได้หรือไม่
“ฮิ ๆ ๆ อาหารของข้า”
“โอ๊ะ!! ในที่สุดก็ออกมาจนได้ขอดูหน้าหน่อยก็แล้วกัน ว่าจะเป็นผีสาวใบหน้างดงามหรือน่าขยะแขยง”
“ฮ่า ๆ ๆ มาเป็นอาหารให้ข้าเสียเถิดเด็กน้อย แผล่บ ๆ”
“ขวับ!! สวัสดีตอนดึกเจ้าค่ะเป็นผีทำไมถึงรู้สึกหิวได้ล่ะ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยนะว่าวิญญาณคนตายจะรู้สึกหิวเหมือนคนปกติ”
“...?”
“อ๋า เมื่อกี้ยังพูดอยู่เลยทำไมเงียบไปไม่ตอบคำถามข้าล่ะ หรือว่าจะหิวจนพูดไม่ออกเอานี่ไปกินรองท้องก่อนไหม ผลไม้นี้เรียกว่าผิงกั่วมันอร่อยมากเลยนะลองชิมดูแล้วเจ้าจะติดใจ” อวี้จิ่นหันไปถามกับผีชุดขาวผมเผ้ารุงรังไม่เห็นใบหน้า และยังมีน้ำใจยื่นผลผิงกั่วให้ผีได้ชิมอีก
‘อึก...!?นังเด็กนี่มีผลไม้ราคาแพงได้อย่างไร จากเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ดูก็รู้ว่าฐานะยากจนแต่กลับมีผลผิงกั่วกินอย่างเอร็ดอร่อย ข้าทำงานให้ใต้เท้าอวี่มาตั้งนานยังไม่กล้าซื้อมากิน ฮึ่ม นี่นางกล้าหยามข้าซึ่งหน้าเช่นนี้เชียวรึคงต้องสั่งสอนเสียหน่อยแล้ว’
เจียนฉือลูกน้องอีกคนของเจ้าเมืองเฉียนโจว คิดอย่างดูถูกฐานะของอวี้จิ่นจากเสื้อผ้าที่นางใส่อยู่ เขาทำหน้าที่แต่งตัวเป็นผีสาวออกมาอาละวาดหลายเดือน เพื่อสร้างความหวาดกลัวให้ชาวบ้านทั้งในเมืองและนอกเมือง สำหรับเปิดทางให้เจ้าเมืองเฉียนโจวและคนใต้บัญชาขององค์ชายหก ลักลอบนำเกลือเถื่อนเข้ามาก่อนจะกระจายออกไปขาย และวิธีนี้ช่วยให้องค์ชายหกได้เงินจากการค้าเกลือเถื่อนแต่ละครั้งหลายหมื่นตำลึงทอง ซึ่งจะนำไปเลี้ยงดูกองกำลังที่แอบซ่องสุมไว้
“พี่สาวอย่าได้เกรงใจมีของดีก็แบ่งกันกินคนละนิดคนละหน่อย กินคนเดียวมันจะไปอร่อยได้อย่างไรกัน อ่ะ ท่านถือไว้แล้วค่อยกัดทีละนิดจะได้รู้ว่ามันอร่อยมากแค่ไหน” อวี้จิ่นฉวยโอกาสที่เจียนฉือยืนนิ่งจ้องมาที่นางเดินเข้าไปใกล้และจับมือของเขาขึ้นมา
แต่สิ่งที่อวี้จิ่นคาดไม่ถึงคือภาพที่ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อได้สัมผัสมือของเจียนฉือและนางเอาแต่ยืนนิ่ง เพราะกำลังปะติดปะต่อเรื่องราวจากภาพที่เห็นว่าแท้จริงแล้วเป็นอย่างที่นางคิด ข่าวลือที่เกิดขึ้นคือฝีมือของคนและยังเป็นขุนนางอีกด้วย
ขณะนั้นเองกลุ่มคนที่คอยตามอวี้จิ่นมาเห็นว่านางยืนนิ่งไม่ยอมขยับ ฟู่หลงเหยียนกำลังคิดว่านางคงถูกทำร้ายจึงกระโดดลงไปด้านล่างทันที เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เจียนฉือใช้มือทั้งสองข้างผลักร่างของอวี้จิ่น เนื่องจากนางไม่ทันระวังตัวเมื่อถูกผลักออกอย่างแรงร่างของอวี้จิ่นจึงหงายหลัง เกือบจะบาดเจ็บเพราะความไม่รอบคอบของตนแต่เป็นฟู่หลงเหยียนที่กระโดดเข้ามารับร่างของนางเอาไว้เสียก่อน
“ปึก อ๊ะ!!”
“พรึ่บ! หมับ! ตุบ”
“พวกเจ้าสามคนช่วยกันจับตัวมันไว้อย่าปล่อยให้หนีรอดไปได้” ฟู่หลงเหยียนเมื่อรับร่างบางไว้แล้วจึงออกคำสั่งกับคนสนิททั้งสามทันที
“ขอรับ/ขอรับ/ขอรับ”
“บาดเจ็บที่ใดหรือไม่” เมื่อร่างบางยืนได้มั่นคงฟู่หลงเหยียนจึงถามถึงอาการบาดเจ็บกับร่างบางในอ้อมแขน
อวี้จิ่นที่ยังหลับตาอยู่เพราะคิดว่าตนเองต้องเจ็บตัวแน่ ๆ แต่พอได้ยินเสียงทุ้มติดไปทางดุเล็กน้อยถามกับตนเอง จึงตอบกลับไปทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่เช่นเดิม
“มะ มะ ไม่เจ้าค่ะดีที่ท่านมารับข้าไว้ทันจึงไม่บาดเจ็บ ขอบคุณท่านมากที่ช่วยข้าเอาไว้เจ้าค่ะ”
“หึ ควรมองหน้าผู้มีพระคุณยามต้องพูดคำว่าขอบคุณมิใช่หรือ”
“อ่อ ขอบคุณคุณชายมากที่ช่วยรับข้าเอาไว้จะ จะ เจ้าค่ะ” อวี้จิ่นพูดจบและเงยหน้ามองผู้มีพระคุณก่อนจะอึกอัก เมื่อรู้สึกถึงอะไรบางอย่างทั้งยินดีและเกรงกลัวในคราวเดียวกัน
“หึ ๆ ๆ ไม่เป็นอะไรก็ดีเจ้าหลบอยู่ด้านหลังข้าจะปลอดภัยกว่านะ และหวังว่าต่อไปจะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้กับเจ้าอีก”
“เชอะ! ครั้งนี้ข้าแค่ไม่ทันระวังตัวเท่านั้นแหละเจ้าผีบ้านั่นถึงมีโอกาสทำร้ายข้าได้ เป็นคนดี ๆ ไม่ชอบกลับชอบทำตัวปลอมเป็นผีสาวมาทำร้ายคน เจ้านายสารเลวของเจ้าถือว่าฉลาดมากที่ใช้วิธีนี้ แต่แผนการทั้งหมดมันจบลงเมื่อเจ้าต้องมาพบเจอคนอย่างอวี้จิ่น ฮึ” อวี้จินไม่ชอบใจที่ถูกบุรุษตรงหน้าดูถูกความสามารถ จึงลืมตัวพูดถึงแผนการของเจียนฉือที่รับคำสั่งจากเจ้าเมืองเฉียนโจวออกไปไม่รู้ตัว
“เจ้านายสารเลว? แผนการร้าย? ที่เจ้าพูดมาหมายความว่าอย่างไร เรื่องข่าวลือมีคนบงการอยู่เบื้องหลังใช่หรือไม่!” ฟู่หลงเหยียนได้ยินเต็มสองรูหูและคิดว่าเขาฟังไม่ผิดแน่
“ใช่น่ะสิพวกขุนนางชั่วเห็นแก่เงินสมควรถูกทำโทษ อุ๊บ!!”
“เจ้าจะปิดปากตนเองไปทำไมกันพูดมาเสียขนาดนี้ แล้วอย่าคิดจะแก้ตัวว่าเจ้าแค่พูดออกมาตามสถานการณ์เพราะมันไม่ทันแล้วล่ะ”
ยังไม่ทันจะโต้ตอบคนรู้ทันเสียงเอะอะจากคนที่ถูกจับตัวได้ เรียกสายตาคนทั้งสองให้หันไปมองเมื่อภายใต้ผมเผ้าที่บดบังใบหน้าไว้ แท้จริงแล้วเป็นบุรุษรูปร่างคล้ายสตรีมิใช่สตรีจริง ๆ
“เจ้าจะดิ้นไปทำไมให้เหนื่อยถึงอย่างไรก็หนีไม่พ้นอยู่ดี” อู่จิ้งเริ่มรำคาญเจียนฉือที่ไม่ยอมหยุดดิ้น
“ปล่อยข้า!! หากพวกเจ้าไม่อยากเดือดร้อนจงรีบปล่อยข้าไปเดี๋ยวนี้ ถ้านายท่านของข้ารู้ว่าพวกเจ้าสอดมือเข้ามายุ่ง รับรองว่าพวกเจ้าต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ที่เมืองเฉียนโจวแห่งนี้แน่นอน” เจียนฉือแอบอ้างบารมีเจ้าเมืองมาข่มขู่กลุ่มคนที่จับตัวเขาไว้
“ไอหยา ข้ากลัวจนตัวสั่นไปหมดแล้วเจ้านายของเจ้าต้องมีอำนาจมากใช่ไหม ถึงได้กล้าให้ลูกน้องอย่างเจ้ามาสร้างข่าวลือเช่นนี้” ตงลู่ทำทีว่าเกรงกลัวอำนาจของอีกฝ่ายเหลือเกิน
“นายน้อยจับตัวคนผู้นี้ได้แล้วจะให้พาไปที่ใดดีขอรับ” เฉินอิ่นสอบถามถึงสถานที่สำหรับการไต่สวนหาความจริง
“ปิดปากให้เงียบแล้วพาไปยังตรอกร้างทิศตะวันตก ข้าต้องการรู้ความจริงทั้งหมดในคืนนี้ก่อนจะวางแผนขั้นต่อไป” แต่นั่นต้องขึ้นอยู่กับสตรีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาด้วย
“รับทราบขอรับ รีบเอาตัวมันไปที่นั่นก่อนจะมีชาวบ้านมาเห็นเข้าเสียก่อน” เฉินอิ่นหันไปกำชับกับสหายอีกสองคนก่อนจะฉีกชายเสื้อของเจียนฉือออกมาอุดปากของเจ้าตัวไว้
“อื้อ ๆ ๆ”