ตอนที่ 5 ที่พักพิงหลังใหม่
ไม่ถึงสิบนาทีอาทิตย์ก็จอดรถตรงหน้าบ้านเฉิดฉัน สามแม่ลูกจึงลงจากรถ เธอกล่าวขอบคุณอีกครั้ง แต่ไม่กล้าหยิบเงินค่าโดยสารให้เขา เพราะกลัวเขาจะหาว่าดูถูก อีกอย่างเธอพอรู้ว่าน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ คนต่างจังหวัดไม่เคยเก็บมาใส่ใจ เอาไว้เธอจะหาโอกาสตอบแทนเขาก็แล้วกัน รอให้เขาเคลื่อนรถอีแต๊กออกไปจันดีจึงพาลูกเข้าไปในบ้านของป้า ยังดีที่ฝนไม่ได้ตกลงมาอย่างที่เธอนึกกลัวในคราแรก
“จันดีมาได้ยังไง” เฉิดฉันถามขึ้นด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นหน้าหลานสาว พร้อมกับเหลือบมองเด็กน้อยหน้าตาดีชายหญิงอีกสองคนที่ยืนมองเธอตาแป๋วอยู่ข้างกายจันดี “แล้วนี่ลูกใคร” คิ้วของเฉิดฉันขมวดเข้าหากันทันที ในใจนึกฉงนขึ้นมา หากเป็นลูกจันดีเหตุใดเธอไม่ได้ข่าวว่าหลานสาวแต่งงาน แต่ถ้าบอกว่าไม่ใช่ ใบหน้าเด็กหญิงก็มีเค้าโครงละม้ายจันดีอยู่หลายส่วน ส่วนเด็กชายนั้นก็ดูหล่อเหลาตั้งแต่เด็ก แต่มองมุมไหนก็ไม่มีส่วนคล้ายกับคนในครอบครัวแม้แต่คนเดียว อาจจะมีส่วนคล้ายกับครอบครัวทางพ่อกระมัง
“เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟังค่ะ”
“เออ ๆ เข้าบ้านก่อน” เฉิดฉันรีบพาหลานเข้าบ้าน ไม่วายยังแอบสังเกตกระเป๋าใบใหญ่ที่จันดีถือมาและเด็กสองคนที่เดินตามมาด้วย ใบหน้าเด็กผู้ชายคล้ายใครนะ เหมือนจะนึกออก แต่มันติดอยู่ที่ปาก
วันนี้เฉิดฉันอยู่บ้านเพียงคนเดียวเพราะคนอื่นไปทำงานกันหมด ชยุตลูกชายคนโตตอนนี้ออกเรือนไปแล้ว ส่วนเบญญาลูกสาวคนเล็กทำงานเป็นครูหัวหน้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ซึ่งอยู่ติดกับโรงเรียนบ้านหนองแสง
จันดีแนะนำลูกทั้งสองให้รู้จักกับยายเฉิดแล้วจึงให้เด็กได้มีเวลานั่งเล่นกันตามลำพัง
จากนั้นเธอก็เริ่มเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เฉิดฉันฟัง โดยไม่ได้กล่าวร้ายหรือพาดพิงถึงพ่อกับแม่และพี่สาวของเธอแต่อย่างใด จันดีบอกกับผู้เป็นป้าว่าเลิกกับสามีตั้งแต่ยังไม่รู้ว่าตนเองท้อง และตั้งแต่คลอดเธอก็ไม่เคยพาลูกออกไปพบปะผู้คนเลย เหตุเพราะเธอรู้สึกอายและไม่อยากให้พ่อกับแม่เสียหน้า ซึ่งจันดีคนก่อนมีนิสัยเช่นนั้นจริง ๆ กระทั่งเธออยากให้ลูกได้เรียนหนังสือจึงเลือกที่จะย้ายมาอยู่ที่นี่ เพราะเธอไม่อยากให้คนในหมู่บ้านนั้นบูลลี่ลูกของเธอ เฉิดฉันก็รู้สึกสงสารและเห็นใจอย่างสุดซึ้ง
เธอกอดปลอบหลานสาวก่อนเอ่ยถาม “แล้วฉวีก็ยอมให้แกมาอยู่กับป้าเหรอ” เฉิดฉันไม่ได้ถามหาสาเหตุของการเลิกรา เพราะไม่อยากตอกย้ำความรู้สึกของอีกฝ่าย เธอมองดูหลานสาวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าด้วยแววตาค้นคว้า เมื่อห้าปีก่อนจันดีเป็นคนค่อนข้างขี้อาย พูดน้อย แต่บัดนี้เธอดูเข้มแข็งและเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แม้กลายเป็นหญิงม่ายลูกสองตอนวัยยี่สิบสามในดวงตายังหาแววเศร้าไม่เจอ ในยามกล่าวถึงผู้ชายคนที่เป็นพ่อเด็ก น้ำเสียงของเธอก็ไม่ได้เจือความอาลัยอาวรณ์แต่อย่างใด สงสัยเรื่องนี้จะเกิดจากความผิดพลาดที่ไร้ซึ่งความรักจริง ๆ และทั้งคู่คงไม่ได้ติดใจอะไรต่อกันอีก จะกล่าวหาว่าฝ่ายชายมีความผิดก็ไม่ได้ เพราะเขาไม่รู้ว่าเขามีลูกกับจันดี
แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อเด็กเกิดมาแล้วก็ต้องเลี้ยงดูให้ดีที่สุด
“ฉันอยากมาเองค่ะ กะว่าจะมาตั้งหลักปักฐานอยู่ที่นี่เลย” มาอยู่ที่นี่ไม่มีคนรู้ที่มาที่ไปของเธอกับลูก ถึงมีคนนินทาก็คงเป็นส่วนน้อย และเธอก็เลือกที่จะไม่ได้สนใจ นานเข้าทุกคนก็คงลืมมันไปเอง แต่ถ้าอยู่ที่บ้านเดิมคำพูดของคนอื่นเธอยังพอทนหลับหูหลับตาข้างหนึ่งได้ แต่คำพูดของคนในครอบครัวช่างเป็นพิษกับเธอและลูกจริง ๆ ซึ่งเรื่องนี้จันดีไม่ได้เล่าให้เฉิดฉันฟัง
“ตากับยายไม่คิดถึงหลานแย่หรือไง หน้าตาหลานน่ารักออกปานนี้” เฉิดฉันเห็นแล้วยังอิจฉา เธอเพิ่งมีหลานชายที่เกิดจากลูกชายคนโตเพียงคนเดียว ตอนนี้อายุแปดขวบเรียนอยู่โรงเรียนในหมู่บ้าน แต่หลานก็ไม่ได้มาอยู่ด้วย เพราะลูกชายแยกบ้านไปแล้ว มีบ้างที่ลูกชายพาภรรยามาทำไร่ทำนาช่วยพ่อกับแม่ ส่วนลูกสาวคนเล็กเพิ่งท้องได้หกเดือน “ทำไมน้าขุนไม่ขับรถมาส่งแกกับลูกล่ะ ปล่อยให้นั่งรถโดยสารมาเองแบบนี้ได้ยังไง ทั้งกระเป๋าเดินทาง ทั้งลูกตั้งสองคน” ดูท่าคงลำบากไม่น้อย
“ฉันไม่อยากรบกวนพวกเขาน่ะค่ะ”
“ใช่เรื่องที่ต้องเกรงใจไหม พ่อกับแม่แท้ ๆ” เฉิดฉันเอ่ยตำหนิเล็กน้อย
“อย่าโทษพวกเขาเลยค่ะ ฉันมาเองได้จริง ๆ” จันดีไม่อยากเอ่ยถึงคนใจดำพวกนั้นอีก จากนี้ต่อไปถือว่าเธอไม่มีพ่อแม่และพี่สาวอีก ถ้าเป็นจันดีคนก่อนเธอคงเสียใจมากที่ต้องเดินทางมาเองแบบนี้ แต่จันดีคนนี้ไม่ได้มีความรู้สึกกับคนพวกนั้น เธอจึงไม่ได้สนใจว่าพวกเขาจะคิดอย่างไรกับเธอ “ว่าแต่ ในหมู่บ้านนี้พอจะมีบ้านเช่าไหมคะ”
“แกจะไม่อยู่กับป้าเหรอ”
“ยังไงวันหนึ่งฉันกับลูกก็ต้องย้ายออกอยู่ดี สู้หาเช่าบ้านเองดีกว่าค่ะ ฉันไม่อยากรบกวนป้า” การอยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ สักวันต้องมีปัญหา แม้แต่พ่อกับแม่แท้ ๆ และพี่น้องสายเลือดเดียวกันยังมีปัญหา นับประสาอะไรกับครอบครัวของป้า เธอขอแยกบ้านอยู่กับลูกสบายใจกว่า
“ถ้าแกต้องการอย่างนั้นป้าก็จะไม่ห้าม” เฉิดฉันพูดเสียงเนิบช้า “ห้องเช่ามันก็พอมีแต่มันราคาค่อนข้างแพง เพราะพวกฝรั่งเขามาเที่ยวแล้วก็มาเช่าอยู่ คนปล่อยเช่าจึงตั้งราคานักท่องเที่ยวเอาไว้” หมู่บ้านนี้ช่วงฤดูหนาวจะมีคนต่างจังหวัดหรือชาวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวเป็นจำนวนมาก เพราะนอกจากพวกเขาจะมานั่งเรือชมบรรยากาศตามแนวริมฝั่งแม่น้ำโขงแล้ว ยังมาไหว้พระตามวัดริมฝั่งโขงด้วย
อีกทั้งยังแวะชมผ้าย้อมโคลนซึ่งเป็นสินค้าโอทอปของคนในหมู่บ้านนี้ด้วย จึงทำให้ห้องพักห้องเช่าแถวนี้มีราคาสูงอยู่สักหน่อย ถ้าค้างสักสองสามคืนก็คงไม่เป็นอะไร แต่ถ้าอาศัยอยู่เป็นเดือนเป็นปีคงไม่เหมาะเท่าไรนัก แต่สำหรับชาวต่างชาติไม่ได้มีปัญหาเรื่องนี้
“แล้วพอจะมีใครประกาศขายบ้านหรือที่ดินบ้างไหมคะ” แม้เป็นที่ดินเปล่า เธอยังสามารถสร้างกระท่อมชั่วคราวอยู่ได้ เพราะดินแถวนี้คงมีราคาสูงมาก เงินสองสามหมื่นไม่รู้จะซื้อได้กี่ตารางเมตร
เฉิดฉันนั่งคิด ยังไม่ทันได้ตอบก็มีเสียงจากด้านนอกดังขึ้น
“แม่เฉิดอยู่ไหมครับ”