บทย่อ
โปรย: ทะลุมิติมาอยู่ในร่างที่ชื่อคล้ายตน มีลูกสองคนแต่ไม่รู้ว่าสามีเป็นใคร เป็นม่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ ซ้ำร้ายยังโดนไล่ออกจากบ้าน แล้วเธอจะพาลูกหนีไปอยู่ที่ไหน ....................... หลายอึดใจกว่าจันดีจะหาเสียงตัวเองเจอแล้วถามเขาว่า “คุณมาทำอะไรที่นี่แต่เช้าคะ” พร้อมทั้งก้าวเท้าเดินช้า ๆ เข้ามาหาคนที่บุกรุกบ้านของเธอตั้งแต่เมื่อไรก็สุดรู้ “เอ่อ… คือฉัน ฉันมานอน” “มานอนในบ้านหลังนี้?” “ครับ” สุริยายอมรับไปตามตรงว่ามานอนที่นี่นานแล้ว เพราะบ้านหลังนี้ทำให้เขานอนหลับได้อย่างสนิท “นอนที่ไหนคะ” “โน่นไง กระท่อม” เขาชี้นิ้วบอก จันดีเขย่งเท้าชะเง้อคอมองผ่านกอหญ้าไป เห็นกระท่อมเพียงราง ๆ “ฉันขอเช่าเธอก็ได้” สุริยายังอยากมานอนที่นี่ต่อ “ฉัน…” จันดียังสับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้น เธอมาทำความสะอาดบ้านหลังนี้หลายวันแล้ว แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีคนมาอาศัยอยู่บ้านเดียวกันกับเธอด้วย “หรือว่าเธอกลัวผัวจะว่าเอา ถ้างั้นฉันไม่…” “ฉันไม่มีผัว” จันดีรีบแย้งขึ้นทันควัน อย่ามาหาว่าฉันมีสามี ฉันไม่มีวันยอมเด็ดขาด “อ้อ” งั้นดีเลย “แล้วเธอจะคิดค่าเช่าเดือนละเท่าไร ฉันรับรองว่าเธอกับลูกจะปลอดภัย และฉันจะมาเฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น” สุริยายังยืนยันที่จะมานอนที่กระท่อมแห่งนี้ เพราะถ้าให้นอนบ้านพ่อซึ่งโอนให้แม่เลี้ยงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาคงนอนไม่เป็นสุขสักวัน
ตอนที่ 1 ไล่ออกจากบ้าน
ปีพุทธศักราช สองพันห้าร้อยห้าสิบห้า บ้านโคกเล้า จังหวัดสกลนคร
ห้าวันก่อนจันทร์แรมเพิ่งกลับจากการขายแรงงานที่ประเทศเกาหลี พอมาถึงบ้านเธอก็ทะเลากับพ่อแม่และน้องสาวยกใหญ่ ด้วยเรื่องที่ว่าเธอไม่เต็มใจที่จะให้น้องสาวและลูกอยู่บ้านเดียวกันกับเธอ ตอนที่จันทร์แรมอยู่ที่เกาหลีก็เคยบอกให้พ่อกับแม่ไล่จันดีกับลูกออกจากบ้านหลังนี้แล้ว แต่จันดียังดื้อด้านไม่ยอมไปไหนท่าเดียว พอไม่พอใจพ่อกับแม่ก็ขังตัวเองกับลูกอยู่ในห้องแล้วร้องไห้ทั้งวัน แต่ครั้งนี้จันทร์แรมไม่ยอมให้จันดีอยู่ที่นี่ต่ออย่างแน่นอน
วันนี้พอตื่นเช้ามาจันทร์แรมก็เริ่มด่าจันดีกับลูกอีก จันดีผู้เป็นน้องสาวนั่งร้องไห้กอดกันกับลูกทั้งสองปานจะขาดใจอยู่โถงบ้าน
“พวกแกสามคนย้ายของออกจากบ้านฉันไปเลยนะ” จันทร์แรมชี้หน้าน้องสาวด่ากราดเสียงดัง
“ฮือ ๆ ๆ” เสียงลูกของจันดีกอดแม่ร้องไห้ประสานเสียงกันด้วยความหวาดกลัว
“พี่จะให้ฉันไปอยู่ที่ไหน” จันดีถามพลางสะอื้น
“ช่างหัวแกสิ”
ตอนนั้นจันดีมองจันทร์แรมผู้เป็นพี่สาวตาขวาง ขบกรามแน่น ละสายจากพี่สาวก็มองพ่อกับแม่ที่ยืนมองเธอคล้ายกับไม่ใช่คนในครอบครัว
ได้ ไม่อยากให้ฉันอยู่ ฉันไม่อยู่ก็ได้ จันดีคิดพลางมองพ่อแม่ และพี่สาวด้วยแววตาเคียดแค้น
เช้ามืดของวันถัดมาฉวีผู้เป็นแม่ตื่นมาตอนตีสี่เดินลงมาจากชั้นสองของบ้านเพื่อมาเข้าห้องน้ำ กลับพบว่าจันดีลูกสาวคนเล็กใช้ผ้าขาวม้าผูกคอตายอยู่ใต้บันไดบ้าน ฉวีตกใจสุดขีดเมื่อเห็นลูกสาวตัวขาวซีดคล้ายคนสิ้นใจแล้ว ซ้ำเก้าอี้ที่จันดีเหยียบขึ้นไปก็ล้มลงกับพื้น คาดไม่ถึงว่าพอสามีจับร่างลูกสาวลงมานอนราบและทำการผายปอด ส่วนเธอก็กัดปลายเท้าลูกสาวช่วยอีกแรง จนทำให้จันดีฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง
ช่วงสายหลังจากชาวบ้านที่มามุงดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมันไปแล้ว จันทร์แรมก็ยังยืนยันคำเดิมว่าจะให้น้องสาวย้ายไปอยู่ที่อื่น และเริ่มทะเลาะกับผู้เป็นแม่อีกครั้ง
ก่อนหน้านี้คนในหมู่บ้านไม่มีใครรู้ว่าจันดีลูกสาวคนเล็กมีลูกมีสามีแล้ว เหตุเพราะขุนกับฉวีผู้เป็นพ่อกับแม่อับอายผู้คนที่ลูกสาวท้องโดยไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อของเด็ก ฉวีกับสามีจึงขังลูกไว้ในบ้านปูนสองชั้น ที่มีรั้วบ้านเป็นกำแพงกั้นสูง ตลอดห้าปีที่ผ่านมาจันดีกับลูกแฝดชายหญิงไม่เคยได้ออกไปไหน ยังดีที่บริเวณบ้านยังค่อนข้างกว้าง ตอนนี้ลูกทั้งสองของจันดีอายุได้สี่ขวบแล้ว ถึงเวลาที่ต้องเข้าเรียนที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก แต่ตากับยายก็ยังไม่ยอมให้หลานไปโรงเรียน กระทั่งลูกสาวคนโตกลับมาจากประเทศเกาหลี เรื่องนี้จึงแดงขึ้นมา การทะเลาะกันระหว่างจันดีกับคนในครอบครัวทำให้ชาวบ้านได้ยินทั้งหมด
แม้แต่ตอนนี้ที่น้องสาวเพิ่งฟื้นจากความตาย จันทร์แรมก็ยังทะเลาะกับแม่
“แม่ต้องให้มันไปอยู่ที่อื่นนะ ไม่งั้นฉันไม่ยอมแน่ ยังไงบ้านหลังนี้ก็เป็นเงินที่ฉันหามาจากน้ำพักน้ำแรง ฉันไม่มีทางให้มันอยู่ด้วยหรอกนะ ไหนจะลูกของมันอีกตั้งสองคน”
“แล้วแกจะให้มันไปอยู่ที่ไหน” ฉวีไม่ได้เป็นห่วงลูกสาวคนเล็กเท่าไรนัก เพียงแต่นึกไม่ออกว่าจะให้จันดีไปอยู่ที่ไหน
“เรื่องของมันสิ อยากท้องไม่มีพ่อเองนี่ ไปขอเช่าบ้านใครก็ได้ที่เขาไม่อยู่แล้วก็ได้” จันทร์แรมขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ไม่รู้จะฟื้นขึ้นมาทำไม มันน่าจะตาย ๆ ไปซะ” เกลียดนักพวกที่ทำตัวเรียบร้อย แท้จริงแล้วเป็นพวกน้ำนิ่งไหลลึกคล้ายกับไฟไหม้แกลบ ไม่รู้ไปทำท่าไหนถึงได้ท้องแล้วจำหน้าสามีตัวเองไม่ได้
“อย่าไปว่ามันเลย เรื่องมันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว พ่อกับแม่ด่ามันไปเยอะแล้ว” วันที่ขุนกับฉวีรู้ความจริงว่าลูกสาวตั้งท้อง พวกเขาก็พยายามเค้นถาม ทั้งลงไม้ลงมือกับลูกสาว จนเนื้อตัวจันดีมีแต่รอยแส้ แต่สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าลูกสาวท้องกับใคร จันดีเอาแต่ร้องไห้และไม่ยอมปริปากพูดออกมาสักคำ
จันทร์แรมเบ้ปากอย่างสมเพช “อยากสำส่อนดีนัก สมน้ำหน้า สงสัยคงเอาหลายคนจนจำไม่ได้ว่าใครเป็นพ่อเด็ก”
ฉวีกับขุนได้แต่ทำหน้าลำบากใจ เรื่องนี้เขาก็งงมาจนถึงทุกวันนี้ จันดีไม่เคยออกไปเที่ยวไหน จะมีก็เพียงเพื่อนผู้หญิงในหมู่บ้านเดียวกันที่จันดีไปมาหาสู่เป็นประจำ แต่ไปเพียงไม่นานเธอก็กลับมา ไม่เคยไปนอนค้างบ้านใคร หรือไปเที่ยวตามที่ไกล ๆ เลยสักหน ไม่รู้ว่าลูกสาวเอาเวลาไหนไปทำลูก ถึงได้เด็กแฝดคู่นี้ขึ้นมา
แต่ถึงอย่างไรก็คงต้องให้จันดีย้ายออกจากบ้านหลังนี้ ไม่เช่นนั้นลูกสาวคนโตก็คงไล่พ่อกับแม่ออกไปด้วย อย่างไรเธอกับสามีก็ต้องเลือกเงินกับที่ซุกหัวนอนไว้ก่อน เพราะบ้านพร้อมที่ดินแปลงนี้ก็โอนให้เป็นชื่อของจันทร์แรมไปแล้ว
จันดีที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาไม่ถึงสองชั่วโมงนั่งถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่ในห้องกับลูกที่กำลังนั่งร้องไห้เสียงดังระงม ใครจะไปเชื่อว่าจันดีคนนี้ไม่ใช่จันดีคนเดิมที่ผูกคอตายเมื่อหลายชั่วโมงก่อน เพียงแต่เธอก็ชื่อจันดีเหมือนกัน แต่เป็นจันดีที่เป็นไกด์นำเที่ยวจากยุคปัจจุบัน แต่ไม่คิดว่าเครื่องบินจะตกจนเธอต้องตายแล้วเข้ามาอยู่ในร่างนี้แบบงง ๆ จากอายุสี่สิบสาม กลายเป็นหญิงม่ายลูกสองในวัยยี่สิบสามอย่างเลี่ยงไม่ได้
คิดถึงตรงนี้แล้วจันดีก็แค่นยิ้มท่ามกลางเสียงร้องไห้ของลูกทั้งสอง เธอไม่ได้สนใจพวกเขาเท่าใดนักเพราะยังงงกับตัวเองไม่หาย แต่ดูแล้วลูกทั้งสองคงตกใจที่ป้ากับยายทะเลาะกัน และกำลังจะไล่เธอกับพวกเขาออกจากบ้านหลังนี้
นี่มันเรื่องบ้าอะไร แม้แต่สามีก็ไม่เคยเห็นหน้า แถมเกิดมาท่ามกลางพ่อแม่ที่แสนจะรักลูกไม่เท่ากัน
เฮ้อ! ท้องยังไงถึงไม่รู้หน้าสามีน้อ
