ตอนที่ 6 คุ้นในแววตาคู่นั้น
เฉิดฉันชะเง้อหน้าออกไปจึงรู้ว่าเพื่อนของลูกชายมาถึงแล้ว เธอจึงตะโกนตอบออกไป “อยู่จ้า กำลังออกไป” เธอหันไปพูดกับหลานสาว “แป๊บนึงนะ ป้าให้คนมาตัดต้นมะม่วงหลังบ้านให้ เมื่อคืนฝนตกหนัก ลมก็พัดแรงจนกิ่งมันหักไปหลายต้น”
“ค่ะ”
เฉิดฉันเดินออกไป จันดีกับลูกจึงเดินตามออกไปดูด้วย
“หักหลายต้นเลยนะครับแม่” สุริยาเอ่ยออกไป สายตามองต้นมะม่วงที่มีกิ่งหักลงมาหลายต้น
“ใช่จ้ะ แม่ถึงได้ให้แกมาตัดให้ไง” สุริยาเป็นเพื่อนสนิทของลูกชาย และเขายังมีอาชีพรับจ้างทั่วไป เพราะที่บ้านไม่มีที่ทำกิน เฉิดฉันจึงจ้างให้เขามาตัดต้นไม้ในบ้านให้เสมอ ๆ บางครั้งก็จ้างตัดหญ้า
สุริยาหันกลับมามองแม่ของเพื่อนอีกครั้ง แต่สายตาก็อดไม่ได้ที่จะมองเลยไปยังสามคนด้านหลัง สายตาคมกริบสบประสานกันกับดวงตากลมโตวาววามคู่นั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ แวบแรกเขารู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดใจ จากนั้นก็วกกลับมาสนใจคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
“ตัดลงเหมือนเดิมใช่ไหมครับ”
“จ้ะ กิ่งไหนมันขึ้นสูงมากก็ตัดลงได้เลย” ฉวีบอก
ว่าจบสุริยาไม่ได้พูดพร่ำทำเพลง เขารีบปีนขึ้นต้นไม้ทำตามที่แม่ของเพื่อนสั่งอย่างชำนาญ ไม่ได้สนใจแม่ลูกสามคนนั้นอีก
จันดีมองหากระท่อมน้อยหลังนั้นเมื่อห้าปีก่อนแต่ก็ไม่เจอแล้ว ก็มันนานมากแล้วนะ ทุกอย่างก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
เธอกับลูกเดินตามเฉิดฉันเข้ามาในบ้านอีกครั้ง พร้อมทั้งเอ่ยถามขึ้น “ใครเหรอคะป้า”
“ไอ้แสง เพื่อนไอ้ยุตมัน”
“อ้อ” แต่เธอไม่ได้รู้จักเขาหรอก ขานรับไปอย่างนั้นแหละ
“อายุยี่สิบแปดแล้วยังไม่ยอมมีเมียสักที หน้าตารึก็หล่อเหลาเอาการ มีผู้หญิงมาคอยตามจีบอยู่หลายสิบคน แต่มันก็ไม่ยอมเอาใครสักคน ไม่รู้มันจะไปมีลูกตอนไหน” จันดีฟังอย่างเงียบ ๆ เฉิดฉายจึงว่าต่อ “มาคุยเรื่องของเราต่อเถอะ”
“ค่ะ” เขาก็หล่อจริง ๆ หล่อเข้มสูงใหญ่กำยำกว่าคนที่ชื่ออาทิตย์นั่นเสียอีก แต่ถึงเขาจะตัวสูงใหญ่ก็ไม่ได้แผ่รังสีอำมหิตออกมา หรือว่าเธอแก่แล้ว ถึงไม่ได้รู้สึกกลัวกับอะไรง่าย ๆ
ทั้งสองนั่งลงบนเสื่ออีกครั้ง เฉิดฉันถอนหายใจแล้วพูดต่อ “บ้านที่ประกาศขายก็พอมีอยู่” เธอเว้นวรรคก่อนจะกล่าวต่อ “แต่บ้านหลังนั้นประกาศขายมาหลายปีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าซื้อ”
“ทำไมเหรอคะ” จันดีถามด้วยความสนใจ
“ผีดุ”
“หือ?” จันดีตาโต ลูกทั้งสองได้ยินคำว่าผีก็ขยับเข้ามาหาแม่โดยอัตโนมัติ และนั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ “แล้วสภาพบ้านเป็นยังไงบ้างคะ”
“ตัวบ้านยังดีมากถึงตอนนี้จะดูรกไปหน่อยก็ตามเถอะ” รกเพราะปล่อยทิ้งร้างไว้นาน
“ทำไมถึงบอกว่าผีดุละคะ มีคนเคยเห็นอย่างนั้นเหรอ”
เฉิดฉันพยักหน้า “มี บ้านหลังนั้นเป็นบ้านของอดีตนายพลกับภรรยาที่ย้ายมาจากกรุงเทพฯ หลังจากเกษียณแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าเมียเขาป่วย เพราะเจ้าของบ้านไม่ค่อยสุงสิงกับคนในหมู่บ้านมากนัก รอบด้านมีกำแพงปูนสูง กระทั่งวันที่มีคนได้กลิ่นเหม็นเน่าอย่างรุนแรงในบ้านหลังนั้น กำนันและผู้ใหญ่บ้านจึงเข้าไปดู จึงพบว่าผู้เป็นสามีนอนอืดกอดศพภรรยาที่กำลังเน่าเปื่อยเอาไว้ ชาวบ้านถึงได้รู้ว่าทั้งสองตายแล้ว ทางตำรวจสันนิษฐานว่าเมียของเขาคงตายก่อนนานแล้ว”
“น่าสงสารนะคะ แกคงรักเมียมาก” จันดีเอ่ยออกอย่างทอดถอนใจ ชายหญิงที่รักกันจนแก่เฒ่านั้นหาได้ยากนัก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี “แล้วเขาไม่มีลูกเหรอคะ”
“มีลูกชายเพียงคนเดียว แต่เขาเป็นพวกชายรักชาย ทั้งสองจึงไม่มีทายาทอีก หลังจากผู้ใหญ่บ้านและตำรวจติดต่อไปยังลูกชายเขาที่อยู่กรุงเทพฯ เขาก็เดินทางมาจัดพิธีศพอยู่ที่นี่ เพราะพ่อกับแม่อยากอยู่กับธรรมชาติ ส่วนเรื่องบ้านเขาบอกเพียงว่าถ้าขายบ้านหลังนั้นได้ก็จะบริจาคให้กับทางวัดทั้งหมดเลย เพราะมันเป็นความต้องการของพ่อกับแม่ที่เคยสั่งเสียเอาไว้” แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครซื้อบ้านหลังนั้นได้ ถึงแม้จะขายถูกแค่ไหนก็ตาม
“ฉันอยากไปดูบ้านหลังนั้นจังเลยค่ะ” จันดีฟังแล้วรู้สึกสนใจขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
“แกไม่กลัวเหรอ”
จันดียิ้มน้อย ๆ แล้วพูดด้วยท่วงท่าสบายใจ “ไม่กลัวหรอกค่ะ ผีก็อยู่ส่วนผี คนก็อยู่ส่วนคน เราไม่ได้มาร้ายสักหน่อย” บางครั้งคนยังน่ากลัวกว่าผีด้วยซ้ำ
“ได้ สักบ่ายสามป้าจะพาแกไปหาผู้ใหญ่บ้าน” เพราะเรื่องที่ดินของสองสามีภรรยา กลายเป็นธุระของผู้ใหญ่บ้านไปแล้ว “เดินทางมาเหนื่อย ๆ แกกับลูกไปหาอะไรกินก่อนเถอะ แล้วก็นอนหลับสักงีบป้าจะออกไปดูเจ้าแสงมันหน่อย”
“ขอบคุณป้าอีกครั้งนะคะ” จันดีกระพุ่มมือไหว้ป้าอีกครั้ง เฉิดฉันโน้มตัวไปกอดหลานไว้ ในใจยังไม่คลายสงสัยว่าเหตุใดฉวีกับสามีถึงไม่มาส่งลูกด้วยตัวเอง ทั้งที่มีรถยนต์ส่วนตัว
จันดีกับลูกจึงเข้าครัวหาของกิน ก่อนจะเข้าไปจัดของในห้องที่ป้าเตรียมไว้ให้
เฉิดฉันนั่งมองสุริยาทำงานอยู่เกือบสองชั่วโมงเขาจึงทำเสร็จ เขาล้างหน้าล้างมือเสร็จแล้วจึงเดินมาหาแม่ของเพื่อน
เฉิดฉันยื่นเงินให้เพื่อนลูกชายพร้อมกับเอ่ยขึ้น “ขอบใจมากนะ”
“ไม่เป็นไรครับ มีอะไรแม่เรียกใช้ผมได้ตลอด” งานพวกนี้เขาถนัดอยู่แล้ว
“จ้ะ”
สุริยารับเงินมาก้าวขาจะเดินออกไป แต่พอนึกขึ้นได้จึงเอ่ยถาม “ผู้หญิงคนนั้นใช่คนที่เคยมางานบุญที่บ้านแม่เมื่อห้าปีก่อนหรือเปล่าครับ” เขารู้สึกคุ้นหน้า ในคราแรกยังแค่คลับคล้ายคลับคลา แต่ใช้สมองเค้นออกมาตอนปีนต้นมะม่วงเขาจึงพอนึกออก มิน่าเขาถึงรู้สึกคุ้นดวงตาคู่นั้นนัก แต่คราวนี้เธอไม่หลบตาเขาเหมือนกับตอนนั้น
“ใช่จ้ะ แสงจำได้ด้วยเหรอ”
“ครับ ผมก็ว่าทำไมถึงคุ้นหน้าจัง แต่ว่ามาคราวนี้มีลูกสองซะแล้ว” เมื่อปีนั้นเขามองเห็นเพียงผ่าน ๆ แต่ก็ยังพอจำได้
“อือ พาลูกย้ายมาอยู่ที่นี่ด้วยนะ วันนี้แม่จะพาพวกเขาไปหาบ้านเช่าสักหน่อย”
“ครับ” สุริยาอยากถามอะไรบางอย่าง แต่กลัวจะเป็นการเสียมารยาทจึงไม่ได้เอ่ยออกไป สามีเธอคงพาย้ายบ้านมาอยู่ที่นี่กระมัง “งั้นผมกลับก่อนนะครับ”
“จ้ะ”
บ่ายสามโมงวันนั้นเฉิดฉันจึงพาหลานสาวไปที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน