ตอนที่ 4 คิดถึงความหลัง
ไปถึงลานวัดสามสาวที่ยังโสดก็ปูเสื่อนั่งดูหมอลำด้วยกัน หนุ่ม ๆ หลายคนจ้องสาวสวยกลุ่มนี้ไม่วางตา แต่เพราะรอบข้างมีพ่อแม่นั่งอยู่ด้วย หนุ่ม ๆ พวกนั้นจึงอดได้เข้าใกล้ ใครจะรู้ว่าคืนนั้นจันทร์แรมแอบพกเบียร์ไปด้วยสองขวด และเทียวรินให้จันดีกับเบญญาหมุนเวียนกันไปจนหมดพร้อมกับดูหมอลำไปด้วย เนื่องจากวันนั้นเป็นงานบุญใหญ่ขุนกับฉวีจึงปล่อยลูกให้กินดื่มอย่างอิสระ อย่างไรลูกก็อยู่ในสายตาพ่อกับแม่ตลอดเวลา
เวลาประมาณตีสองจันดีรู้สึกไม่ไหวจึงชวนพี่สาวทั้งสองกลับ จันทร์แรมรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะยังอยากดูฉากที่ตัวโกงกำลังจะตบนางเอก แต่เธอก็รู้สึกเมาเหมือนกันจึงยอมกลับไปกับน้องสาวและเบญญาแต่โดยดี
กลับมาถึงบ้านจันดีรีบบอกพี่สาวว่าอยากจะอาเจียนจึงรีบวิ่งไปหลังบ้านซึ่งมีห้องน้ำอยู่ตรงนั้น พี่สาวทั้งสองที่เมามากเหมือนกันก็ไม่ได้สนใจ จากนั้นก็ต่างคนต่างนอนที่ลานบ้านชั้นล่างโดยจันทร์แรมกับเบญญาไม่ได้สนใจว่าจันดีจะเข้ามานอนหรือยัง
จันดีอาเจียนไปมาก พอจะเดินกลับเข้าไปในบ้านก็รู้สึกว่าตนเดินไม่ไหวเสียแล้ว เธอเหลือบเห็นกระท่อมที่อยู่ไม่ไกลจากห้องน้ำ จึงคิดจะเดินไปนั่งพักตรงนั้นสักครู่ ถึงตรงนั้นจะมีต้นมะม่วงและมืดมากก็ตาม แต่ที่นี่ก็เป็นบ้านญาติ จันดีทิ้งกายโอนเอนลงนอนแผ่หลาบนกระท่อมที่ปูด้วยริ้วไม้ไผ่ ถึงแม้คืนนั้นเธอจะเมามากแต่เธอก็ยังมีเวลาฝันว่าได้ร่วมรักกับผู้ชายร่างใหญ่คนหนึ่ง ในฝันเธอมองไม่เห็นหน้าเขา รู้เพียงว่าเธอกับเขาส่งเสียงครางกระเส่าประสานกันไม่ขาดสาย และเธอไม่ได้ฝันเพียงแค่ครั้งเดียว น่าจะสามหรือสี่กระมัง
เกือบรุ่งสางจันดีได้ยินเสียงเรียกมาจากทางหน้าบ้าน เธอสะดุ้งตื่นแล้วลุกพรวดขึ้น สายตาเหลือบมองด้านข้างก็ตกใจสุดขีด เมื่อรู้ว่าเมื่อคืนตนไม่ได้ฝันไป แต่เธอยังมีสติที่ไม่ได้กรีดร้องออกมา เพราะข้างกายมีผู้ชายตัวใหญ่นอนขดตัวหันหลังให้ เธอไม่มีโอกาสได้มองหน้าเขา เพราะเสียงแม่กำลังเดินมาทางนี้ ก้มสำรวจร่างตนเอง รีบดึงกางเกงยีนที่อยู่เกือบถึงแข้งขึ้นมาสวมให้เรียบร้อย จันดีลนลานหยิบผ้าห่มที่เขาคลุมส่วนล่างไว้อย่างหมิ่นเหม่มาปิดก้นเขาไว้ เธอไม่มีเวลาไตร่ตรองอะไรอีก จำได้เพียงว่าก่อนวิ่งออกมาจากระท่อมเธอจำปานดำที่แก้มก้นข้างซ้ายของเขาได้อย่างขึ้นใจ
จันดีถอนหายใจเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ กล่าวกับตนในใจว่า ฉันจะไปตามหาผู้ชายที่มีปานดำอยู่ที่ก้นได้อย่างไร ใครจะมาเปิดก้นให้ฉันดู
“ใกล้ถึงบ้านหนองแสงแล้วครับ” จันดีสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเด็กรถเดินมาบอกเธอถึงที่ จันดีจึงรีบปลุกลูกทั้งสองให้ตื่น
จันดีพาลูกนั่งรอรถสามล้อรับจ้างที่ศาลารอรถ พร้อมกับป้อนข้าวลูกกับข้าวเหนียวหมูปิ้งที่ซื้อมาด้วย หมู่บ้านหนองแสงเป็นหมู่บ้านที่ไม่ใหญ่มาก มาปีนี้ถนนกลายเป็นถนนลาดยางไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าก่อนที่เธอจะมาถึงฝนเพิ่งจะหยุดตกไป เพราะตอนนี้อยู่ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม ฝนกำลังตกชุกทีเดียว
นั่งรอแล้วเกือบหนึ่งชั่วโมงยังไม่มีรถสามล้อรับจ้างมาสักคัน มีเพียงรถอีแต๊กขับผ่านเข้าหมู่บ้าน แต่ไม่มีใครกล้าจอดเพราะเธอไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากพวกเขา จันดีตัดสินใจพาลูกทั้งสองเดินเท้าเข้าหมูบ้าน ป้ายด้านหน้าบอกว่าอีกสี่กิโลเมตรถึงบ้านหนองแสง ระหว่างทางเธอต้องเจอรถสักคันบ้างละ
ลูกทั้งสองเดินขนาบข้างแม่อย่างไม่ย่อท้อ ถึงจะมีเหงื่อไหลอาบแก้มแต่พวกเขาก็ไม่บ่นสักคำ ยังดีที่มีรองเท้าแตะหนีบให้สวมใส่ เดินมาได้เกือบครึ่งทางท้องฟ้าด้านหน้าก็เริ่มมืดครึ้มมาอีกแล้ว และมีฝนเริ่มลงเม็ดเล็ก ๆ จันดีและเด็กทั้งสองเหลียวกลับไปมองด้านหลังเมื่อได้ยินเสียงรถไถนาวิ่งมา
อ้อ มันคือรถอีแต๊ก เธอจึงรีบโบกมือเพื่อให้ผู้ชายคนนั้นจอดทันที ดูแล้วเขาน่าจะอายุมากกว่าเธอหลายปี บนรถของเขามีไม้ไผ่พาดอยู่หลายลำ
เขาจอดรถเมื่อขับมาถึงข้างหน้าสามแม่ลูก ทั้งสามท่าทางเหนื่อยมาก เพราะพวกเขาไม่เคยเดินไกลขนาดนี้ จันดีรีบเอ่ย “ฉันขอติดรถไปด้วยได้ไหมคะ”
“จะพากันไปไหนเหรอครับ”
“ไปบ้านหนองแสงค่ะ”
“ไปบ้านใครเหรอครับ คนในหมู่บ้านนี้ผมรู้จักดี”
“ไปบ้านป้าเฉิดค่ะ”
“อ๋อ ที่แท้ก็เป็นญาติป้าเฉิดนี่เอง ขึ้นมาเลยครับเดี๋ยวผมไปส่งถึงบ้านแกเลย” ชายคนนั้นพูดอย่างอัธยาศัยดีและเต็มใจช่วยเหลือเป็นอย่างยิ่ง
จันดีรีบขอบคุณแล้วอุ้มลูกขึ้นรถอีแต๊กด้วยท่าทางกระตือรือร้น เธอดีใจมากที่มีรถผ่านมา คิดว่าวันนี้จะต้องเดินจนขาลากเสียแล้ว
“คุณชื่ออะไรเหรอครับ”
“จันดีค่ะ ส่วนนี่ฉัตรกับฉายลูกฉันเองค่ะ” จันดีพูดแล้วหันไปบอกลูกแฝดชายหญิงแล้วกล่าว “ไหว้ลุงสิลูก”
ทั้งสองพนมมือไหว้ แต่ไม่ได้กล่าวคำใด แถมยังทำท่าคล้ายกับกลัวผู้ชายคนนั้นอยู่บ้าง มือทั้งสองกอดแขนแม่คนละข้าง เพราะพวกเขาไม่เคยได้ออกไปไหนมาไหน ไม่เคยคุยกับคนแปลกหน้า
ชายหนุ่มคนนั้นยิ้มให้เด็กทั้งสอง รู้สึกถูกชะตาสามแม่ลูกนี้ยิ่งนัก “ผมอาทิตย์ครับ”
จันดียิ้มให้ด้วยความยินดีที่ได้รู้จักคนมีน้ำใจ แต่รอยยิ้มนั้นไม่ได้แปลว่าเธอจะไว้ใจเขา ถึงผู้ชายคนนี้จะรูปร่างสูงโปร่ง และหน้าตาดีมากแค่ไหนก็ตาม
ลูกทั้งสองมองดูแนวภูเขาที่อยู่ไม่ไกลจากถนนด้วยแววตาตื่นเต้น แล้วหันมาส่งยิ้มให้แม่ รอยยิ้มนี้หาได้ยากนักหากเธอกับลูกยังอยู่บ้านหลังนั้น เด็กทั้งสองไม่เคยได้ออกไปเที่ยวไหนเลย ครั้งนี้เป็นครั้งแรก จันดียีผมลูกทั้งสองอย่างรักใคร่ บางครั้งการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวก็อาจจะไม่ได้เลวร้ายนัก เพราะแค่ได้เห็นรอยยิ้มของลูก ๆ เธอก็รู้สึกมีความสุขแล้ว
