บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 3 ออกเดินทาง

หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ จันดีกับลูกก็ช่วยกันเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทาง จันดีคนใหม่ไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนเหมือนจันดีคนเก่า เธอดีใจด้วยซ้ำที่จะได้ออกจากกรงขังแห่งนี้ ที่พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน ถึงแม้จะเรียนจบชั้นมัธยมปลายเหมือนกัน แต่พ่อกับแม่ก็รักพี่สาวมากกว่า ยิ่งตอนที่พี่สาวสอบไปทำงานที่ประเทศเกาหลีได้ พ่อกับแม่ยิ่งรักพี่สาวมากขึ้น

           ถึงเวลาเข้านอนจันดีก็เข้านอนในห้องพร้อมกับลูกโดยไม่พูดไม่จากับใครในบ้านให้เปลืองน้ำลาย ปล่อยให้พ่อแม่และพี่สาวยืนงงอยู่อย่างนั้น จันดีคนใหม่ไม่ได้สนใจสายตาใครอยู่แล้ว ทำเหมือนทุกคนเป็นอากาศ ก็เธอผ่านโลกมามากมายแล้วนี่ เรื่องแค่นี้ทำไมจะรับมือไม่ได้

           “จันดีมันดูแปลกไปนะแม่ ตั้งแต่มันฟื้นขึ้นมาฉันยังไม่เห็นน้ำตามันสักหยด ดูเหมือนมันจะดีใจด้วยซ้ำที่มันได้ไปจากบ้านหลังนี้” จันทร์แรมพูดกับแม่โดยมีพ่อนั่งอยู่ด้วย พ่อแม่ลูกทั้งสามกำลังนั่งดูโทรทัศน์ด้วยกันอยู่ชั้นล่างของบ้าน

           “ฉันก็คิดอย่างนั้น มันเป็นคนบอกเองว่าจะไปอยู่กับป้าเฉิด ไม่รู้ว่ามันกล้าตัดสินใจได้ยังไง” เดิมทีจันดีเป็นคนขี้กลัว ไม่กล้านั่งรถไปไหนมาไหนคนเดียว แต่ตอนนี้เธอกล้าตัดสินใจไกลถึงต่างจังหวัด

           ขุนจึงพูดขึ้นอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน “ปล่อยมันไปเถอะน่า มันไม่อยู่ที่นี่ก็ดีแล้ว คนจะได้เลิกนินทาครอบครัวเราสักที” แค่เรื่องที่จันดีก่อไว้เมื่อเช้า คนก็เอาไปพูดกันสนุกปากแล้ว ถ้าจันดียังอยู่ที่นนี่ ย่อมมีเรื่องให้ชาวบ้านนินทาไม่จบไม่สิ้น

           “ใช่แล้วค่ะแม่ ปล่อยมันไปเถอะ ถ้ามันยังอยู่ที่นี่ ฉันคงขายไม่ออกแน่”

           “ต้องขายออกอยู่แล้วแหละ ลูกแม่สวยขนาดนี้” น่าเสียดายที่เธอมีลูกสาวสวยถึงสองคน แต่จันดีกลับทำตัวไร้ค่า แม้แต่ค่าสินสอดบาทเดียวก็ไม่ได้ ซ้ำยังต้องเลี้ยงเด็กสองคนนั้นอีก

           จันทร์แรมยิ้มกว้างทำท่าประจบแม่พร้อมพูดต่อว่า “ไปแล้วไม่ต้องกลับมาอีกยิ่งดี”

           “พ่อกับแม่ไม่ให้มันกลับมาอีกหรอก” ผู้เป็นแม่ย้ำอีกครั้ง

           เช้าวันต่อมาจันดีกับลูกนั่งรถโดยสารประจำทางออกจากหมู่บ้านโคกเล้าเข้าตลาด เพื่อนั่งรถบัสต่อไปที่จังหวัดบึงกาฬอีกทอดหนึ่ง ทั้งพ่อแม่และพี่สาวไม่มีใครคิดจะมาส่งเธอกับลูกแม้แต่คนเดียว พวกเขาคงรู้สึกอายชาวบ้านจนไม่กล้าสู้หน้าใคร ที่จู่ ๆ ลูกสาวคนเล็กที่เป็นคนเรียบร้อย ว่านอนสอนง่ายบวกกับหน้าตาดี จะกลายเป็นแม่ม่ายลูกสองแต่ไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อของเด็ก โดยที่คนในหมู่บ้านไม่เคยระแคะระคายมาก่อน กระทั่งวันที่เธอคิดฆ่าตัวตาย คนในหมู่บ้านถึงได้รู้เรื่องโดยทั่วกัน และพูดให้จันดีเสียหายไปต่าง ๆ นานา แต่จันดีคนนี้หาได้สนใจคำนินทาพวกนั้นไม่ แม้อยู่บนรถโดยสารโดนคนนินทาระยะเผาขน แต่จันดีก็ทำเป็นหูหนวกตาบอด

แต่เธอจำคำที่คนในครอบครัวบอกเธอกับลูกก่อนเดินออกจากบ้านได้ขึ้นใจ พวกเขาบอกว่า ‘ต่อไปนี้ไม่ต้องคิดว่าพวกเขาเป็นญาติอีก’

แน่นอนเมื่อก้าวออกมาแล้ว เธอไม่มีทางกลับไปที่นั่นอีกเป็นอันขาด

           มาถึงตลาดจันดีพาลูกแวะซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งและน้ำดื่มอีกสองขวด บนบ่าสะพายกระเป๋าเดินทางทรงสี่เหลี่ยมใบใหญ่ มือสองข้างจับจูงลูกทั้งสองตลอดเวลา จากนั้นเดินไปที่ป้ายรถประจำทาง รถบัสที่จะไปบึงกาฬต้องผ่านทางนี้

           พอรถมาถึงจันดีให้ลูกขึ้นรถไปก่อน เธอเดินตามหลังจากนั้นก็มองหาที่นั่ง เธอพาลูกเดินไปนั่งเบาะหลังสุดที่ยังว่างอยู่ และเป็นเบาะที่นั่งได้หลายคน นั่งรถมาเกือบสามสิบนาทีลูกทั้งสองก็ผล็อยหลับ ลมจากหน้าต่างบานกระจกทำให้ปอยผมที่หลุดออกมาจากการรวบมัดปลิวไสว

           จันดีก้มมองลูกด้วยความเวทนา เด็กตัวแค่นี้จะเข้าใจเรื่องของผู้ใหญ่ได้อย่างไร พวกเขาก็เหมือนผ้าขาว นอกจากไม่รู้ว่าพ่อเป็นใครแล้วยังไม่รู้ด้วยว่าตอนนี้แม่แท้ ๆ ของพวกเขาก็ได้จากโลกนี้ไปแล้ว จันดีถอนหายใจยาวคราหนึ่ง อย่างไรเธอก็ต้องเลี้ยงเด็กสองคนนี้ให้ดีที่สุด แต่ถึงเธอจะบอกว่าในโลกนี้เธอไม่กลัวอะไรอีกแล้ว แต่ก็ยังนึกหวั่นใจว่าเฉิดฉันผู้เป็นป้าจะต้อนรับเธอกับลูกหรือไม่ เพราะไปครั้งนี้เธอไม่ได้แค่ไปเยี่ยมเยียนเหมือนเมื่อคราวห้าปีก่อน

           จันดีโน้มตัวลูกทั้งสองที่นั่งหลับเข้ามาหาตนแล้วโอบไว้ในอ้อมแขน จากนั้นเธอพิงศีรษะกับเบาะแล้วคิดย้อนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้น ความทรงจำมันช่างเลือนรางนัก

           วันนั้นเธอกับครอบครัวไปเที่ยวตลาดริมฝั่งโขงที่อำเภอบึงกาฬ ขากลับแม่จึงบอกพ่อพาไปเยี่ยมป้าเฉิดซึ่งเป็นพี่สาวของแม่แท้ ๆ ที่หมู่บ้านหนองแสง ซึ่งอยู่อำเภอเดียวกัน และหมู่บ้านนั้นยังอยู่ติดกับริมฝั่งแม่น้ำโขงอีกด้วย ประจวบเหมาะกับที่ไปถึงหมู่บ้านนั้นมีงานบุญพระเวสสันดรหรือบุญเดือนสี่ตามประเพณีอีสาน ส่วนที่บ้านโคกเล้าจัดไปแล้วเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่ทุกคนจะมาเที่ยวที่บึงกาฬ พอเฉิดฉันรู้ว่าน้องสาวพาครอบครัวมาเยี่ยมเธอก็ดีใจมากและรั้งให้น้องสาวอยู่ดูหมอลำคณะใหญ่คืนนี้ด้วยกัน

           ด้วยความที่เหลือกันอยู่เพียงสองพี่น้อง เพราะพ่อกับแม่ตายจากไปเมื่อหลายปีก่อน ฉวีจึงตัดสินใจอยู่ร่วมงานบุญกับพี่สาวและยอมนอนค้างคืนที่บ้านพี่สาว จันดีกับจันทร์แรมเพิ่งอยู่ในวัยสาวตอนนั้นจันดีเพิ่งเรียนจบชั้นมอหกหมาด ๆ ทั้งสองดีใจมากที่จะได้ดูหมอลำคณะดังในปีนั้น

           วันนั้นที่บ้านเฉิดฉันมีแขกมาเต็มบ้าน บางส่วนนั่งกินอาหารและดื่มสุรากันอยู่แคร่และกระท่อมด้านนอก มีพี่น้องฝั่งสามีของเฉิดฉันมาจากต่างจังหวัดด้วย จันทร์แรมคอยเดินเข้าออกภายในบ้านและคอยเล่าเรื่องราวให้น้องสาวฟัง ส่วนจันดีได้แต่นั่งอยู่ในบ้านเพราะพี่สาวรินเบียร์ให้เธอไปหลายแก้ว จึงรู้สึกมึนศีรษะอยู่บ้าง เธอกับพี่สาวนั่งดื่มกินอยู่กับเบญญาลูกสาวคนเล็กของเฉิดฉัน แต่ก็อายุมากกว่าจันดีสามปี มากกว่าจันทร์แรมหนึ่งปี

           เวลาล่วงเข้าสู่ช่วงเย็น จันดีเริ่มรู้สึกเมาเล็กน้อย เธอเริ่มไม่อยากไปดูหมอลำแล้วเพราะกลัวตัวเองไม่ไหวและกลัวนอนหลับอยู่หน้าเวทีหมอลำ แต่อย่างไรก็ทนการรบเร้าของพี่สาวทั้งสองไม่ไหวสุดท้ายก็ต้องไปด้วยกัน โดยจันดีกับจันทร์แรมสวมชุดของเบญญา
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel