ตอนที่ 2 ฉันจะย้ายไปอยู่ที่อื่น
จันดีตื่นจากภวังค์เมื่อประตูห้องถูกผลักเข้ามา พร้อมกับร่างของผู้เป็นแม่ จันดีเงยหน้ามองแม่ ดวงตาของจันดีกระจ่างใสไร้แววโศกเศร้า จนฉวีนึกแปลกใจ เมื่อวานเธอยังร้องไห้จะเป็นจะตายที่พี่สาวไล่ไปอยู่ที่อื่น แต่อย่างไรจันดีก็ไม่ยอมท่าเดียว และยังบอกว่าถ้าทุกคนยังบังคับให้เธอย้ายออกจากที่นี่ เธอจะฆ่าตัวตาย กระทั่งตอนเช้ามืดเธอก็ทำมันจริง ๆ ถ้าผู้เป็นแม่ไม่ลุกมาเข้าห้องน้ำกว่าจะรู้ว่าจันดีฆ่าตัวตายก็คงตอนสายแล้ว แต่พอจันดีฟื้นขึ้นมาคราวนี้ทำไมความเศร้าหมองที่มีอยู่เมื่อวานถึงได้หายไปเป็นปลิดทิ้ง
ในที่สุดฉวีก็เอ่ยขึ้น “ฉันมีเรื่องจะคุยกับแก”
“เรื่องที่จะให้ฉันย้ายไปอยู่ที่อื่นเหรอคะ” จันดีพูดขึ้นอย่างรู้ทัน
“อือ”
“ได้ค่ะฉันจะย้ายไปอยู่ที่อื่น ถ้าอย่างนั้นฉันขอยืมเงินแม่สักก้อนได้ไหมคะ ตอนนี้ฉันไม่มีเงินสักบาท” เพราะตั้งแต่เธอคลอดลูก เธอก็ไม่มีสิทธิ์ออกไปรับจ้างอีกเลย
“แกหมายความว่าแกกับลูกจะยอมย้ายออกจากที่นี่แต่โดยดีใช่ไหม” ในใจพลันโล่งวาบเมื่อรู้ว่าจันดีช่างคุยง่ายเช่นนี้ เธอจะได้ไม่ต้องทะเลาะกับจันทร์แรมอีก
“ค่ะ” จากที่ได้นั่งทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาของเจ้าของร่างนี้ จันดีคนก่อนปักใจรักผู้ชายคนนั้นไปแล้ว แม้เธอไม่เคยเห็นหน้าและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ชายที่เป็นพ่อของลูกคือใคร และถึงแม้ตอนนี้เขาจะมีครอบครัวไปแล้วก็ตาม แต่เจ้าของร่างนี้ก็ยังอยากกลับไปที่นั่นอีกสักครั้ง จันดีสงสารเจ้าของร่างนี้ที่ทนทุกข์ทรมานมาหลายปี เพราะเธอไม่เคยเดินทางไกลไปไหนมาไหนเพียงคนเดียว ส่วนมากที่ออกจากบ้านก็แค่ไปรับจ้างตัดอ้อย ดำนา และเกี่ยวข้าวเท่านั้น กระทั่งพ่อกับแม่รู้ว่าเธอท้อง จันดีคนเดิมก็ไม่เคยได้ออกจากบ้านอีกเลย ยิ่งไม่ต้องคิดว่าจะได้ไปที่แห่งนั้นอีก
“แล้วแกจะไปอยู่ที่ไหน”
“บ้านป้าเฉิดค่ะ ฉันกะว่าจะไปขอเช่าบ้านอยู่สักพัก พอมีลู่ทางก็จะปักหลักอยู่ที่นั่นเลย พ่อกับแม่และพี่จันทร์แรมจะได้ไม่ต้องอายใครอีก และจะได้ไม่ต้องเห็นหน้าฉันกับลูกด้วย” เมื่อคืนที่เธอเผลอหลับไปตื่นหนึ่งก่อนจะลุกมาคิดทำร้ายตัวเอง จันดีฝันว่าเฉิดฉันมาชวนเธอไปอยู่ด้วย แต่จันดีคนก่อนกลับไม่ทำตามความฝัน เพราะเธอขี้กลัวเกินไป อีกทั้งเธออยากทำประชดคนในครอบครัวจึงเลือกหยิบผ้าขาวม้ามาแขวนคอตัวเองไว้กับแม่บันไดบ้าน
ฉัตรกุลกับฉายระวีที่หยุดร้องไห้สักพักแล้ว คลานเข่าเข้ามากอดแม่คนละข้าง จันดีลูบผมลูกสองคนด้วยความเอ็นดูเจือสงสาร ทั้งสองเป็นฝาแฝดชายหญิงที่เพิ่งอายุเพียงสี่ขวบ ทั้งสองหน้าตาน่ารักน่าชัง จันดีที่ไม่เคยแต่งงานไม่เคยมีลูก เห็นแล้วยังใจอ่อนยวบ
ฉวีดวงตาสว่างวาบ เธอคิดอยู่หลายวันว่าจะให้ลูกสาวย้ายไปอยู่ที่ไหนดี วันนี้จันดีกลับชี้ทางออกให้ เธอลืมไปได้อย่างไรว่ายังมีพี่สาวอยู่ที่บึงกาฬ “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นฉันจะให้แกยืมสักห้าหมื่นก็แล้วกัน แต่ยังไงแกก็ต้องหามาคืนฉันนะ เพราะเงินส่วนนี้เป็นเงินของจันทร์แรมมัน ถ้ามันรู้เข้ามันก็คงไล่ฉันออกจากบ้านเหมือนกัน”
“ค่ะ”
สิ้นคำของจันดี ฉวีก็เดินออกจากห้องลูกเพื่อไปเอาเงินมาให้
ฉัตรกุลแหงนหน้ามองแม่แล้วเอ่ยถาม “แม่ครับเราจะไปอยู่ที่ไหนเหรอครับ” เสียงนั้นยังสะอื้นฮึก ๆ ดวงตายังพร่าเลือนเพราะม่านน้ำตา
“เราจะไปอยู่กับยายเฉิดจ้ะ”
“ตากับยายจะไปกับเราไหมคะ” ฉายระวีถามบ้าง
“ไม่ไปจ้ะ เราจะไปกันสามคนแม่ลูก”
“แม่ไม่กลัวเหรอคะ”
จันดียิ้มละมุนให้ลูก “ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก” ในโลกนี้มีอะไรให้เธอกลัว ตั้งแต่ทำงานเป็นไกด์เธอก็เดินทางไปเกือบทุกจังหวัดในประเทศไทย และยังไปเที่ยวคนเดียวอีกหลายประเทศอีกด้วย ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนน่าเรียนรู้ทั้งสิ้น
จันดีนั่งปลอบลูกไม่นานฉวีก็กลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับเงินหนึ่งปึก
ฉวียื่นเงินจำนวนห้าหมื่นให้ลูกสาว จันดีจึงยกมือไหว้แล้วขอบคุณพร้อมกล่าวออกไปว่า “ฉันจะรีบหาเงินมาคืนแม่ให้เร็วที่สุดค่ะ ขอเลขบัญชีและเบอร์โทรศัพท์ไว้ติดต่อแม่ด้วยนะคะ” ตั้งแต่จันทร์แรมไปทำงานที่ประเทศเกาหลี เธอก็ซื้อทั้งรถใหม่ ทำบ้านใหม่ และยังซื้อโทรศัพท์ให้แม่ด้วย ถึงแม้ยังไม่รู้ว่าจะต้องหาเงินมาด้วยวิธีใด แต่เธอคงไม่นั่งงอมืองอเท้าอยู่เฉย ๆ แน่ ทว่าตอนนี้เธอมีลูกตั้งสองคน คิดทำอาชีพอะไรก็ต้องคิดถึงลูกด้วย
“แกจะเดินทางวันไหน”
“พรุ่งนี้เช้าค่ะ”
“แกเดินทางไปกับลูกได้ใช่ไหม” ถามออกไปอย่างนั้น แต่ในใจไม่นึกเป็นห่วงสักนิด ต่อไปไม่มีสามคนแม่ลูกนี้อีก ครอบครัวของเธอก็จะได้ไม่ต้องเปลืองค่าใช้จ่ายเหมือนที่ผ่านมา โล่งอกไปที
“ได้ค่ะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วง” จันดีก็มองออกเช่นกันว่าคนในครอบครัวไม่ได้เป็นห่วง หรือมีเยื่อใยกับเธอและลูกอีกแล้ว เพราะเท่าที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้มา เธอกับลูกก็โดนบ่นโดนว่าทุกวัน ตั้งแต่เรื่องอาหารการกิน ไปถึงข้อจำกัดในการใช้ผงซักฟอก ยาสีฟัน ครีมอาบน้ำ น้ำยาล้างจาน และของใช้อื่น ๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจันดีกับลูกจะหยิบจับอะไรก็ดูเหมือนจะผิดไปเสียทุกอย่าง
การที่เธอตัดสินใจย้ายไปอยู่กับป้าเฉิดคือทางออกที่ดีแล้ว
