บทที่ 14 ขอไปกัมพูชา
“เขาไม่เคยมีแฟนมาก่อนเหรอ เป็นไปได้ไงนะ” อันนาขมวดคิ้วแปลกใจ ก่อนมีบางสายโทรมาขัดจังหวะ มือบางที่กำลังเลื่อนอ่านข้อมูลหยุดชะงัก พลันดวงตากลมมองเบอร์แปลกนั้นครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจกดรับ
“สวัสดีค่ะ”
“ขาคุณเป็นยังไงบ้าง” เสียงคุ้นหูทำให้อันนาขยับกายนั่งในท่าถนัด โดยดึงผ้าห่มผืนหนาขึ้นมากอดเอาไว้
“คุณเธียรวิชญ์ คุณรู้เบอร์ส่วนตัวของฉันได้ไงคะ” หญิงสาวหันไปมองมือถืออีกเครื่องที่เขาเคยโทรเข้ามา ยังคงวางอยู่บนเก้าอี้ซึ่งเป็นเครื่องที่ใช้สำหรับติดต่องานโดยเฉพาะ
“แค่เบอร์โทรส่วนตัวของคุณทำไมผมจะหามาไม่ได้ ขาเป็นไงบ้าง รู้สึกเจ็บไหม” น้ำคำแสนอบอุ่นนั้น ทำให้หญิงสาวแย้มยิ้มเล็กน้อยพลางส่ายศีรษะ
“ไม่เจ็บหรอกค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่เป็นห่วง”
“ก็ต้องเป็นห่วงสิ ผมเป็นต้นเหตุนี่นา” ความเงียบภายในห้อง พร้อมกับสายของชายหนุ่มที่ถือคาอยู่ ทำให้อันนารู้สึกประหม่าขึ้นมาอีกครั้ง
“คุณเธียรถึงบ้านแล้วเหรอคะ”
“ใช่ครับพึ่งถึงเมื่อครู่ ไม่รู้ทำไมผมถึงอยากโทรหาคุณ หวังว่าไม่รบกวนคุณใช่ไหม” น้ำเสียงอบอุ่นของเขา ทำให้อันนามีอาการฟุ้ง ๆ ในใจ เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อน
“ไม่หรอกค่ะ ถ้าคุณเธียรโทรมาแล้ว ทำให้สบายใจ ฉันก็ยินดีค่ะ” เธียรวิชญ์ปล่อยยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นเดินตรงไปยังระเบียงบ้านหลังใหญ่ของเขา เพื่อออกมาสูดอาการบริสุทธิ์
“ตัดสินใจได้หรือยังครับ ว่าจะไปทำงานที่กัมพูชากับผมไหม”
“ฉันต้องฟังความคิดเห็นคุณพ่ออีกครั้งหนึ่งค่ะ แต่คิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร”
“ตอบมาแบบนี้ แสดงว่าคุณคิดที่จะไปกับผมใช่ไหม”
“ฉันอยากพิสูจน์ให้คุณพ่อเห็นค่ะ อยากลองอะไรใหม่ ๆ สักครั้ง”
“ผมดีใจนะครับ ที่ได้ยินคำนี้” หญิงสาวแย้มยิ้มออกมาด้วยความสุขใจ
“ถ้างั้นฝันดีนะครับ”
“คุณเธียรก็เช่นกันนะคะ” หลังจากวางสายอันนาไป ชายหนุ่มยืนรับอากาศต่ออีกครู่หนึ่ง นับจากเด็กจนโตเขาต้องดิ้นรนต่อสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ เพียงลำพัง บางคนบอกว่า หากเขาโตขึ้นก็จะกลายเป็นนักเลงหัวไม้ที่ไม่มีอะไรเลย จุดจบคงไม่พ้นวนเวียนอยู่ในคุก คำสบประมาทดูหมิ่นพวกนี้เข้าหูเขาอยู่บ่อยครั้ง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาหมดกำลังใจ
เธียรวิชญ์มุ่งมั่นเพื่อถีบตัวเองขึ้นมาจากคนไม่เหลืออะไรในชีวิต เขาต้องการประสบความสำเร็จไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม และถ้าหากมีโอกาสแก้แค้นเพื่อทวงทุกอย่างกลับคืนมา เขาก็จะทำอย่างไม่รีรอ มือหนากำบดเบียดกันแน่นเมื่อหวนนึกถึงภาพของบิดาและมารดาที่จากไป เพียงเพราะความโลภของคนชั่วอย่างนายองอาจ
“ฉันจะทำให้แกไม่เหลืออะไรในชีวิต รวมถึงลูกสาวแกด้วย” สายลมอ่อนพัดมาปะทะกายเป็นระลอก แต่นั่นไม่ได้ทำให้ใจของเขาโอนอ่อนลงแม้แต่น้อย
หลังจากเช้าวันนั้น อันนาก็นำเรื่องนี้มาปรึกษากับบิดาของเธอ ในตอนแรกเขาคัดค้าน ด้วยเพราะเป็นห่วงลูกสาวที่ต้องอยู่ห่างหูห่างตา ทว่าเหตุผลของเธอทำให้เขาไม่อาจแย้งต่อได้
“อันนาอยากทำให้คุณพ่อมั่นใจ ว่าร้านดอกไม้นั้นทำกำไรให้อันนาได้จริง ๆ ถ้าหากว่าครั้งนี้มันล้มเหลว อันนาสัญญาค่ะ ว่าจะเชื่อฟังคุณพ่อทุกอย่าง แต่ตอนนี้ขออันนาพิสูจน์ตัวเองก่อนได้ไหมคะ”
“แล้วลูกจะไปอยู่ยังไง รู้ไหมว่าที่นั่นไม่ได้สะดวกสบายเหมือนที่ลูกอยู่ในตอนนี้”
“เพื่อนของอันนาเขาจะดูแลอันนาเป็นอย่างดี” นายองอาจถอนหายใจอย่างไม่เห็นด้วย พลางเดินหันหลังให้ ก่อนที่อันนาจะเดินเข้าไปสวมกอดบิดา
“ตอนนี้อันนาเหลือพ่อแค่คนเดียว อันนารักคุณพ่อที่สุด อันนาไม่เคยขอร้องอะไรจากคุณพ่อเลย ครั้งนี้อันนาขอพิสูจน์ตัวเองได้ไหมคะ” หญิงสาวทำเสียงออดอ้อนให้ชายกลางคนต้องจนมุม
“เอาล่ะ งั้นพ่อจะส่งคนไปดูแลลูก”
“ไม่ค่ะ”
“ทำไม”
“อันนาอยากเรียนรู้ชีวิตด้วยตัวเอง ถ้ามีคนคอยดูแลอยู่อย่างนี้ อันนาจะใช้ชีวิตด้วยตัวเองยังไงล่ะคะ อีกอย่างคนของคุณพ่อก็ชอบตามติด ไม่ให้อันนากระดิกตัวทำอะไร”
“ไปนานแค่ไหน” ชายกลางคนถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“ไม่เกินสามเดือนค่ะ อันนาสัญญาว่าจะกลับมา”
“ถ้าไม่กลับ พ่อจะส่งคนไปตาม แล้วจะไม่ยอมฟังเหตุผลใด ๆ จากลูกอีก เข้าใจไหม”
“คุณพ่อใจดีที่สุดในโลกเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ” หญิงสาวกระโดดเข้าไปหอมแก้มบิดาด้วยความดีใจ ก่อนรอยยิ้มของนายองอาจจะยิ้มออกมาเมื่อเห็นลูกสาวมีกิริยาเหมือนเด็กตัวน้อย มือหนาเอื้อมมาลูบศีรษะของเธอด้วยความเอ็นดู
