บทที่ 12 อยากร่วมธุรกิจ
“ท่าน ส.ส.องอาจ ดูเป็นคนดีเอามาก ๆ เลยนะครับ รักครอบครัวไม่เคยมีเรื่องเสื่อมเสียเลยสักครั้งเดียว” เขานั่งไขว้ห่าง พลางเอนหลังพิงเก้าอี้อยู่ในท่าสบาย
“ใคร ๆ ก็พูดอย่างนั้นค่ะ ส่วนตัวฉันแล้ว คุณแม่เคยสอนฉันเสมอว่าถ้าจะมีแฟน ให้เลือกผู้ชายที่เหมือนคุณพ่อ เพราะเขาจะไม่ทำให้ครอบครัวต้องเสียใจ” เธียรวิชญ์แอบยิ้มมุมปาก
“เหรอครับ” เขายกน้ำขึ้นดื่ม ก่อนทั้งสองจะนั่งชมบรรยากาศต่ออีกครู่ใหญ่ เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าได้เวลาแล้ว จึงยื่นมือมารับหญิงสาวตรงหน้า
“กลับบ้านกันเถอะ ถ้าดึกกว่านี้เดี๋ยวพ่อคุณจะเป็นห่วงเอาได้” อันนาก้มมองมือของชายหนุ่ม พลางทบทวนว่าจะตอบรับมือหนานั้นกลับดีหรือไม่
“คุณใส่ส้นสูงเดินบนพื้นแบบนี้ คงไม่ถนัด” เธียรวิชญ์ยิ้มอ่อน ยังส่งมือค้างไว้ ในขณะที่อีกฝ่ายกล้า ๆ กลัว ๆ หากแต่ต้องรักษามารยาทจึงยอมทำตามเขา มือบางตัดสินใจเอื้อมไปจับเขาในที่สุด และเป็นครั้งแรกที่อันนาจับมือกับชายแปลกหน้า ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทำให้เธอยอมทำตามคำพูดเขาทุกอย่าง หรือเป็นเพราะบุคลิกของเขาที่ดูน่าเชื่อถือ ทำให้เธอเชื่อใจเขาง่ายดายเช่นนี้
เธียรวิชญ์เดินจูงมือหญิงสาวลงมาตามทางเดินของร้าน ในขณะที่ร่างของอันนาถูกคลุมด้วยเสื้อสูทของเขา สองเท้าเล็กค่อย ๆ เดินตามหลังชายหนุ่มไปช้า ๆ ในขณะที่มือหนายังคงกำมืออันนาไว้แน่น สายลมพัดมาปะทะกายของหญิงสาวอย่างบางเบา เป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายได้ เพราะไม่เคยได้รับความใส่ใจแบบนี้จากใครมาก่อน เป็นความอบอุ่นที่เพิ่มเข้ามาทีละนิด ในระยะเวลาไม่นานนัก
“อ๊ะ!” เธอเสียหลักก้าวพลาดจนขาทรุดลงนั่งอย่างกะทันหัน
“คุณอันนา” เธียรวิชญ์ตกใจพลางหันมาประคองในทันที คนตัวเล็กอยู่ภายใต้อ้อมกอดของเขา พร้อมกับสติของหญิงสาวกระเจิงออก ใบหน้าหล่อเหลาใกล้ชิดเพียงแค่ฝ่ามือกั้นเท่านั้น ดวงตากลมหวานไหวระริกอย่างอ่อนไหว พลางกลืนน้ำลายก่อนตั้งสติได้
“ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ”
“แต่ดูเหมือนขาคุณจะเจ็บ” เขาไม่ยอม อีกทั้งยังเอื้อมมือมาจับข้อเท้าเธอ ในขณะที่อันนาพยายามเบี่ยงเท้าออก
“ฉันไม่เป็นอะไรจริง ๆ ค่ะ”
“แน่ใจนะ” สายตาคมเค้นถาม ก่อนที่หญิงสาวจะพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม เธียรวิชญ์ไม่เซ้าซี้ ก่อนจะเอื้อมมาจับมือของอันนาอีกครั้ง แล้วพาเธอเดินออกจากร้านมา
“ท่าน ส.ส.องอาจครับ มีผู้ไม่ออกนามติดต่อมาอยากร่วมทำธุรกิจกับท่านด้วย” คนสนิทของเขากระซิบบอก ขณะที่ชายกลางคนกำลังทำหน้าที่ เดินสำรวจปัญหาของประชาชน จากการร้องเรียนเข้ามาเรื่องปัญหาขยะ เมื่อภารกิจสำเร็จแล้วเขายกมือไหว้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นประชาชนระดับใดก็ตาม ก่อนมุ่งตรงไปยังรถคันหรูที่จอดรออยู่
“ดีใจจังเลยค่ะ ได้เจอกับท่าน ส.ส. ดิฉันขอเป็นกำลังใจให้กับท่านนะคะ” แม่ค้าหลายคนในละแวกนั้น พากันยื่นดอกไม้และพูดให้กำลังใจ
“ขอบคุณครับ ทุกคนไม่ต้องห่วงนะครับ ปัญหาเรื่องขยะตรงนี้ผมจะรีบจัดการให้โดยเร็วที่สุด” ชายกลางคนพูดด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับเหงื่อที่รินไหล ก่อนจะโบกมือลาประชาชน พร้อมกับรถตู้สีดำจะปิดสนิท สีหน้าใจดีเมื่อครู่ เปลี่ยนเป็นคนเคร่งขรึมในทันที หลังจากรถเคลื่อนตัวออกมาได้สักระยะ
“เมื่อกี้นายว่าไงนะ” คนสนิทของนายองอาจขยับตัวเข้ามาใกล้
“มีผู้ไม่ประสงค์ออกนาม อยากคุยกับท่านเรื่องธุรกิจ”
“ธุรกิจอะไร” ชายกลางคนหยิบผ้ามาเช็ดเหงื่อ และน้ำขึ้นดื่มอย่างกระหาย
“ผมไม่ทราบแน่ชัดครับ รู้แต่ว่าผลตอบแทนสูงทีเดียว ผมไม่อยากให้ท่านเสียโอกาสตรงนี้ เลยตอบตกลงไป”
“ผลตอบแทนที่ว่าสูง สูงแค่ไหน” คนมีอำนาจถามด้วยน้ำเสียงสนใจ
“หลักล้านครับ” เขาชะงักในทันที พลางหันมองกลับมายังคนสนิทอย่างมีความหมาย
ส.ส.องอาจ เดินทางมายังสถานที่นัดหมาย เป็นโกดังร้างที่เขาเป็นเจ้าของ ซึ่งไม่ได้ผ่านการใช้มานานแล้ว ทางเข้าแม้จะลาดยางไว้ หากแต่สองข้างทางยังเป็นป่ารก บ่งบอกว่าเป็นพื้นที่ไร้การดูแล
“แกมั่นใจแล้วใช่ไหมว่าฉันจะไม่เสียเที่ยว”
“ผมตรวจสอบมาดีแล้วครับท่าน ไม่ใช่คนที่จะมาป่วนเราอย่างแน่นอน” หลังจากรถคันหรูของท่าน ส.ส.องอาจ มาจอดยังโกดังร้าง ครู่หนึ่งก็มีชายฉกรรจ์ สองสามคนของฝ่ายตรงข้ามเดินออกมายืนต้อนรับ
“สวัสดีครับท่าน ส.ส.องอาจ” ชายหนุ่มยกมือไหว้ แล้วกล่าวทักทาย หลังจากชายกลางคนลงมาจากรถพร้อมคนสนิท
“ไหนคนที่จะคุยกับฉัน” ส.ส.องอาจถามหาบุคคลปริศนานั้นทันที
“ผมชื่อวิชิต เป็นตัวแทนของนายใหญ่ มาคุยกับท่าน ส.ส.ครับ”
“นายใหญ่ของแกเป็นใครวะ ถึงกล้าส่งลูกน้องมาคุย ไม่ยอมมาคุยด้วยตัวเอง แบบนี้มันไม่ให้เกียรติกันชัด ๆ” ลูกน้องอีกคนของ ส.ส.องอาจไม่พอใจจึงพูดตำหนิ ก่อนชายกลางคนจะยกมือกล่าวห้าม
