บทที่ 11 แผนการเริ่มต้น
“แม่น้ำสวยก็จริง แต่อากาศแบบนี้น้ำค้างเริ่มมีแล้ว สวมไว้หน่อยก็ไม่เสียหาย” เธียรวิชญ์ถอดเสื้อสูทของเขามาคลุมตัวอันนาไว้ ก่อนจะกลับมานั่งที่เดิมด้วยบุคลิกราบราบเรียบ ไม่มีท่าทีล่วงเกินอีกฝ่ายแม้แต่น้อย หญิงสาวมองดูชุดสูทของเขาเงียบ ๆ พลางเม้มปากแน่น
“ขอบคุณนะคะ” หญิงสาวพูดพร้อมกับรอยยิ้มของเธียรวิชญ์ตอบกลับอย่างอบอุ่น อันนารู้สึกถึงหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ไม่รู้ว่าเป็นบรรยากาศที่สวยงาม เป็นเพราะความสุภาพของเขา หรือเพราะอะไรกันแน่ ก่อนเธอจะพยายามตั้งสติแล้วหันไปตักอาหารอย่างเงียบ ๆ
“คุณเธียรคะ ฉันตอบตามตรงเลยว่าสนใจข้อเสนอของคุณอยู่มาก”
“ถ้าคุณตกลงผมจะดีใจมาก แต่ว่างานพวกนี้อยู่กัมพูชาเป็นเสียส่วนใหญ่” อันนาได้ยินดังนั้น จึงค่อย ๆ วางช้อนในมือลง พลางแสดงความลังเลออกมาจนเธียรวิชญ์จับสังเกตได้
“เพื่อนคุณไม่ได้จัดงานที่ไทยเหรอคะ”
“เพื่อนผมชาตินิยม ส่วนใหญ่แล้วจะจัดที่ประเทศตัวเองทั้งนั้น ผมก็ไม่มั่นใจนักว่าคุณจะรับงานนี้ได้จริง ๆ ไหม”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ฉันต้องขนทีมงานไปด้วย ไม่แน่ใจนักว่าจะคุ้มไหม” เธียรวิชย์เห็นอาหารลังเลของหญิงสาวชัดเจนยิ่งขึ้น จึงวางมือจากอาหาร แล้วมองตรงมายังร่างเล็กด้านหน้า
“คุณไปคนเดียวก็พอ” อันนาหันขวับมองตรงมายังชายหนุ่มอย่างไม่เข้าใจความหมายของเขา
“หมายความว่าไงคะ”
“พนักงานของผมที่กัมพูชา ก็พอจะเป็นลูกมือให้คุณได้เหมือนกัน ผมอนุญาตให้คุณเลือกใช้สอยได้ตามสบาย ส่วนแหล่งซื้อดอกไม้ก็มีอยู่ไม่ไกลจากกาสิโนของผมเท่าไหร่นัก” อันนามองตรงไปยังนัยน์ตาของชายหนุ่ม เธอไม่แน่ใจนักว่าทำไมเขาถึงต้องเสียสละขนาดนี้ ก่อนชายหนุ่มจะอธิบายเพิ่มเติมเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสงสัยในตัวเขามากเกินไปนัก
“ผมชอบฝีมือการจัดดอกไม้ของคุณ หากคุณทำให้เพื่อนผมพอใจ ผมเองก็จะมีความดีความชอบไปด้วย ดังนั้นแล้วการจะอำนวยความสะดวกให้คุณเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยไม่คิดเงิน ผมก็มองว่า มันไม่ได้เสียหายอะไรมากนัก” คนหนุ่มจับจ้องไปยังใบหน้าหวาน ด้วยสายตามีเล่ห์เหลี่ยม
“แต่ว่า...” อันนาค่อนข้างรู้สึกเกรงใจอยู่มากพอควร จึงลังเลที่จะตอบรับ
“ถ้าคุณปฏิเสธผม แล้วคุณจะพิสูจน์ให้พ่อคุณเห็นได้ยังไง”
“ฉัน..” หญิงสาวก้มหน้าลงเล็กน้อยไม่รู้จะตอบเขาอย่างไร เธียรวิชญ์ยิ้มมุมปาก พลางตั้งมั่นมองตรงไปยังเป้าหมายของเขา แล้วกล่าวเสริม
“ผมสัญญา ว่าถ้าคุณไปทำงานที่กัมพูชากับผม ภายในสามเดือนร้านของคุณจะมีกำไรเป็นกอบเป็นกำอย่างแน่นอน และสิ่งนี้ก็จะทำให้คุณองอาจยอมรับในอาชีพของคุณอย่างไม่มีข้อแม้” อันนาสองจิตสองใจพอสมควร
“ไม่ต้องรีบให้คำตอบผมก็ได้ ผมยังอยู่เมืองไทย ต่ออีกวันสองวัน ถึงตอนนั้นคุณค่อยให้คำตอบผม ดีไหมครับ” อันนาทอดสายตามองรอยยิ้มอบอุ่นของเขา ก่อนพยักหน้าตอบรับ
ภายในร้านเงียบสนิทมีเพียงชายหญิงนั่งทานอาหารอย่างเงียบ ๆ หลายครั้งที่เธียรวิชย์ตักอาหารให้กับอันนา แม้เขาจะดูแข็งกระด้างในบางครั้ง หากแต่บางมุมก็ดูอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ อันนาประทับใจเขาหลายครั้ง ก่อนชายหนุ่มจะนึกบางอย่างได้
“เรื่องที่คุณบอกว่าไม่มีแฟนนั้น ช่วยยืนยันกับผมอีกครั้งได้ไหม”
“ทำไมเหรอคะ” หญิงสาวทำตาแป๋วไม่เข้าใจ ก่อนเขาจะใช้สายตาแสนอ่อนโยนทอดมองมาให้หัวใจของหญิงสาวเต้นแรงขึ้น
“ก็ถ้าคุณไปทำงานที่กัมพูชาแล้ว ผมเกรงว่าแฟนคุณจะทนคิดถึงไม่ไหวน่ะสิ” อันนาปล่อยยิ้มหวาน พลางส่ายศีรษะเล็กน้อย
“ฉันไม่มีแฟนหรอกค่ะ อาจจะเพราะไม่ค่อยได้ไปเจอใคร วัน ๆ ก็อยู่แต่ที่ร้าน”
“ผมดีใจนะ” คำพูดของเธียรวิชญ์ทำให้หญิงสาวชะงัก แล้วเผลอสบตาแสนมีเสน่ห์คู่นั้น ก่อนพยายามตั้งสติแล้วก้มหน้าตักอาหารต่อ
อาการประหม่าของอันนาทำให้เธียรวิชญ์เริ่มมั่นใจ ว่าจะเข้าไปเป็นคนสำคัญในชีวิตเธอได้ไม่ยากนัก รอยยิ้มแสนอ่อนโยนของชายหนุ่มที่มองตรงมายังอันนา ไม่มีใครรู้ว่ามันแฝงความคับแค้นใจไว้มากมายเพียงใด ภายใต้แสงเทียนสีส้มอ่อนและดนตรีกล่อมเบา ๆ ทำให้หญิงสาวรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก ทุกครั้งที่เงยหน้าขึ้นมองเขา กลับได้รับรอยยิ้มแสนอบอุ่นกลับมาเสมอ พร้อมสายลมอ่อนพัดโชยปะทะกายให้รู้สึกอิ่มเอมอย่างบอกไม่ถูก
ก่อนเสียงมือถือของใครบางคนจะดังขึ้น มือบางวางช้อนในมือแล้วเอื้อมไปรับอย่างไม่ลังเล เมื่อแสงสว่างหน้าจอแสดงเป็นสัญลักษณ์
“คะคุณพ่อ” น้ำคำหวานกล่าวตอบรับ
“พ่อกลับมาบ้านแล้ว ไม่เห็นลูกสาวคนสวยอยู่บ้าน ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหนครับ” ชายชรากล่าวถาม ก่อนที่อันนาจะปล่อยยิ้มออกมา
“อันนาคุยธุระอยู่กับคุณ...” หญิงสาวนึกขึ้นได้จึงหยุดพูดไป ก่อนเบี่ยงคำตอบเล็กน้อย
“คุยธุระอยู่กับเพื่อนค่ะ เสร็จแล้วจะรีบกลับ”
“อย่าดึก พ่อเป็นห่วง”
“ค่ะคุณพ่อ” หญิงสาววางสายบิดาลง ก่อนจะเลื่อนสายตามองตรงไปยังชายหนุ่ม
