บทที่ 10 เก็บรายละเอียด
“ขอบคุณมากนะคะ” รอยยิ้มหวานส่งให้เขาด้วยความซาบซึ้งใจ ก่อนเธอจะหันไปเก็บข้าวของ แล้วเดินทางกลับในทันที
เวลาประมาณหนึ่งทุ่มเศษ เธียรวิชญ์ขับรถเข้าไปรับอันนาที่บ้านหลังใหญ่ของเธอ สายตาคมหันมองรอบ ๆ โดยไม่ได้ลงจากรถ หลายอย่างในตอนนี้เปลี่ยนไปจนหมดไม่เหลือเค้าโครงบ้านเดิมของเขาอีกเลย ต้นไม้ใหญ่ที่เคยวิ่งเล่นในตอนเด็กก็ถูกตัดทิ้งไป สวนหญ้าสีเขียวถูกเปลี่ยนเป็นสระน้ำขนาดใหญ่แทน ก่อนชายหนุ่มจะละสายตาจากทุกสิ่ง หันมาจับจ้องยังหญิงสาวที่เดินยิ้มหวานออกมาจากภายในบ้าน ก่อนจะเปิดประตูรถขึ้นมา
“รอนานไหมคะ”
“ไม่ครับ” เธียรวิชญ์ตอบเสียงเรียบพลางหมุนพวงมาลัยขับออกมา ภายในห้องโดยสารเงียบสนิท เพราะเขาเผลอใช้ความคิดจนทำให้ละเลยความรู้สึกของคนด้านข้าง
“เราจะไปทานอาหารที่ไหนคะ” เสียงของอันนาทำให้ชายหนุ่มได้สติกลับมา ก่อนจะหันมองหญิงสาว
“ร้านพิเศษ รับรองว่าคุณอันนาต้องชอบแน่ ๆ”
“เราแค่คุยงานกันเองไม่ใช่เหรอคะ ไปร้านธรรมดาก็ได้นะ”
“ไม่ได้หรอก” เธียรวิชญ์พูดทิ้งท้าย ขณะที่หญิงสาวไม่ได้ทักท้วงอะไรต่อ ปล่อยให้เขาดำเนินการอย่างที่ต้องการ จุดประสงค์หลักของเธออยู่ที่จะพิสูจน์ให้บิดาเห็นว่าสิ่งที่ทำอยู่ มันสามารถใช้เป็นอาชีพหล่อเลี้ยงชีวิตได้โดยไม่ลำบาก ก่อนรถคันหรูจะเลี้ยวเข้ามายังร้านอาหารติดริมแม่น้ำที่เปิดไฟสว่างไสว หากแต่ไม่มีรถคันอื่นจอดแม้แต่คันเดียว
“ร้านดูเงียบจังเลยนะคะ” เธียรวิชญ์ยิ้มอ่อน ก่อนจะเดินนำหญิงสาวเข้ามา วิวจากแม่น้ำทำให้อันนาทอดสายตามองด้วยความหลงใหล ก่อนพบกับพนักงานต้อนรับยืนรออยู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“คุณเธียรมาแล้ว เชิญด้านในเลยนะคะ วันนี้ทางเราปิดร้านเรียบร้อยแล้ว รับรองว่าไม่มีบุคคลอื่นเข้ามารบกวนความเป็นส่วนตัวของคุณเธียรแน่นอนค่ะ” อันนาเดินตามชายหนุ่มไปเรื่อย ๆ จนสุดทางเดินปรากฏเป็นแสงไฟสีส้มอ่อนจากเทียนนับสิบที่จุดเพื่อสร้างบรรยากาศ ตัดกับแม่น้ำที่ไหลอยู่ด้านข้างด้วยแล้ว ทำให้อันนายืนตะลึงไปครู่หนึ่ง
“อันนา ทางนี้ครับ” เขาหันมาเรียกหญิงสาวด้วยถ้อยคำสุภาพ ก่อนอันนาจะยิ้มตอบ แล้วเดินไปนั่งลงยังเก้าอี้สีขาวที่ทางร้านจัดเตรียมไว้ให้
“คุณอันนาชอบไหม” หญิงสาวแสดงสีหน้าไม่เข้าใจเล็กน้อย ก่อนตัดสินใจพูดบางอย่าง
“ขอโทษนะคะ เราแค่มาคุยงานกันไม่ใช่เหรอคะ ทำไมคุณเธียรถึงกับต้องสั่งปิดร้าน” ชายหนุ่มยิ้มอ่อน เป็นรอยยิ้มที่มีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก เธอเผลอมองครู่หนึ่งก่อนได้สติกลับมา
“ผมเรียนรู้มาว่า ถ้าเราอยู่ในสถานที่เงียบสงบ พร้อมกับบรรยากาศที่ดีแล้ว จะส่งผลให้การคุยงานราบรื่น และคุณอันนาก็จะตอบตกลงโดยไม่ลังเล”
“ต่อให้เราคุยกันในร้านก๋วยเตี๋ยวเรือ ถ้าผลตอบแทนสูงพอที่จะทำให้ร้านดอกไม้ของฉันมีกำไร ฉันก็ต้องตอบตกลงอยู่แล้วค่ะ” เธียรวิชญ์ยิ้มตอบ ก่อนจะหันไปเรียกพนักงานเข้ามา
“สั่งอาหารเลยแล้วกันนะครับ” เขาพูดกับอันนาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หญิงสาวแอบมองดูชายหนุ่มด้วยความประทับใจ เพราะนอกจากใบหน้าและบุคลิกอันดูดีแล้ว เขายังค่อนข้างใส่ใจรายละเอียดเป็นอย่างดีไม่ต่างกัน
“จริงสิ คุณอันนาเปิดร้านมานานหรือยัง”
“เปิดมาได้ประมาณสองปีได้แล้วค่ะ แต่ว่าคุณพ่อไม่ชอบ บอกว่ามันทำกำไรไม่ได้” เธียรวิชญ์สังเกตเห็นสีหน้าเศร้า ของอีกฝ่ายเผยออกมาเป็นระยะ
“ทำไมล่ะครับ”
“ความจริงแล้ว มันก็ทำกำไรไม่ได้จริง ๆ นั่นแหละค่ะ หลายครั้งที่ฉันต้องควักทุนจ่ายค่าจ้างลูกน้อง พอคุณพ่อท่านรู้ก็ไม่พอใจจะสั่งปิดร้านฉันอย่างเดียว” อันนาพูดพร้อมกับรอยยิ้ม ที่กลบเกลื่อนความเสียใจไว้ภายใน
“แต่ผมมั่นใจว่าคนอย่างท่าน ส.ส.องอาจ จะไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอกครับ เขาเป็นคนจิตใจดีจะตายไป”
“จิตใจดีก็จริงค่ะ แต่คุณพ่อเป็นคนที่จับอะไรก็สำเร็จไปหมดทุกอย่าง แตกต่างกับฉันอย่างสิ้นเชิง ฉันยอมรับนะคะว่าบางครั้งก็อยากที่จะเลิกกิจการเหมือนกัน” พูดถึงตรงนี้เธียรวิชญ์ตั้งใจฟังเป็นพิเศษ เขาเก็บ
รายละเอียดของหญิงสาวไว้จนหมด เธอเป็นคนถนัดซ้าย และมีความเป็นธรรมชาติสูงมาก ไม่มีจริตเหมือนผู้หญิงคนอื่น แต่งตัวเรียบง่ายไม่หวือหวาค่อนไปทางมีรสนิยมดีพอตัว รอยยิ้มและน้ำเสียงบ่งบอกว่าเธอเป็นคนจริงใจ และค่อนข้างอ่อนต่อโลกภายนอกพอสมควร
“ผมว่าผมช่วยคุณได้ งานแต่งของเพื่อนนักธุรกิจคนนี้ เขาจ่ายไม่อั้นอยู่แล้ว นอกเหนือจากนี้ ยังมีเพื่อนผมอีกหลายราย ที่คุณพอจะร่วมงานด้วยได้” หลังจากพูดคุยกันได้สักระยะ อาหารที่เธียรวิชญ์สั่งไว้ก็ทยอยมาเสิร์ฟ อันนาพักสายตาโดยการหันมองบรรยากาศของแม่น้ำยามค่ำคืน ที่กำลังต้องแสงส่องเป็นประกายสวยงาม ไม่อาจละสายตาได้ ก่อนอันนาจะรู้สึกถึงมือของใครบางคนอ้อมมาอยู่ด้านหลัง
