บท 2 - 2
“ตอนนี้มึงกำลังทำอะไรอยู่เหรอ”
“หืม กูเหรอ?”
“ใช่ กำลังทำงานอะไรอยู่”
“อ๋อ กูยังไม่ได้ทำงานหรอก” ในช่วงเย็นของวัน ระหว่างที่กำลังนั่งกินมื้อเย็นกับเพื่อนที่ร้านอาหารเจ้าประจำอยู่นั้น จุ๊บจิ๊บก็ได้ตอบออยเสียงแผ่วพร้อมคีบวุ้นเส้นเข้าปากของตัวเองด้วย
“ยังไม่ได้ทำงาน แล้วมึงเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่าย?” ออยถามต่อด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง “จุ๊บจิ๊บ ตอนนี้มึงกำลังเดือดร้อนหรือเปล่าเนี่ย มึงบอกกูได้นะ”
“เปล่า ๆ ตอนนี้กูไม่ได้เดือดร้อนอะไร”
“….”
“ถึงกูจะยังไม่ได้ทำงานก็จริง แต่กูก็มีจ็อบเสริมอยู่นะ”
“แล้วจ็อบเสริมที่ว่าของมึง คืองานอะไรเหรอ?” ออยถามอย่างข้องใจ
“ก็… รับงานฟรีแลนซ์ไง พอดีมันมีเว็บหนึ่งที่มีเอาไว้จ้างงานพวกฟรีแลนซ์อะ กูก็ไปลงผลงานของตัวเองไว้ที่นั่น มันก็มีคนคอยเข้ามาจ้างงานอยู่นะมึง เข้ามาเรื่อย ๆ เลย” จุ๊บจิ๊บบอกเพื่อนสนิททั้งหน้าซื่อ ซึ่งนั่นก็เป็นแค่รายได้ส่วนหนึ่งของจุ๊บจิ๊บเท่านั้นและก็ไม่ใช่จ็อบทั้งหมดที่เขาทำด้วย
“ถ้าอย่างนั้นก็โอเคแล้ว เพราะกูก็เป็นห่วงมึง บอกให้สมัครพวกบริษัทเล็ก ๆ ไปก่อนก็ไม่เอา”
“ก็กูมองว่ามันไม่คุ้มอะ ค่าเทอมกูยังจ่ายแพงกว่าเงินเดือนอีก ซึ่งทำไปมันก็ไม่พอกินอยู่ดี” จุ๊บจิ๊บว่า
เนื่องจากเงินเดือนที่จะได้รับในแต่ละเดือนนี้ มันไม่ใช่แค่รายรับเพียงอย่างเดียว แต่เขายังต้องหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่พ่วงมากับงานออกด้วย ทั้งพวกเรื่องค่าเดินทาง ค่าประกันสังคม ไหนจะรายจ่ายยิบย่อยที่เกิดขึ้นในแต่ละวันอีก ซึ่งไม่ว่าจุ๊บจิ๊บจะมองมุมไหน เงินเดือนหมื่นสองถึงหมื่นห้ามันก็ไม่พอกินหรอก
“ตามใจมึงก็แล้วกัน กูก็แค่อยากให้มึงได้ทำงานแล้วก็เท่านั้นแหละ เพราะรับฟรีแลนซ์แบบนี้ก็ใช่ว่ารายได้จะแน่นอนเสียหน่อย” ออยตอบกลับมา พลางรินเบียร์อีกแก้วให้จุ๊บจิ๊บ ซึ่งจุ๊บจิ๊บกับออยก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลายแล้ว
“ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงนะมึง แต่ว่าตอนนี้กูก็เริ่มดู ๆ พวกงานประจำของบริษัทไว้แล้วแหละ” จุ๊บจิ๊บเอ่ยแล้วระบายยิ้มออกมาจนตาหยี เนื่องจากเขาไม่อยากให้ออยรู้สึกเป็นห่วงกัน
“อืม ถ้าได้งานแล้วก็บอกด้วยนะ กูจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง” ออยว่า ก่อนที่เธอจะหันไปสั่งอาหารกับพนักงานร้านต่อ “โต๊ะหก เอาตำป่าไม่เผ็ดหนึ่งจานค่ะ”
“เออ แล้วที่อยู่ใหม่ของมึงอยู่ที่ไหนวะ? เห็นมึงบอกกูว่าย้ายที่อยู่แล้ว แต่ยังไม่บอกกูเลยว่าอยู่ที่ไหน” ออยถามขึ้นอีกครั้ง เมื่อเธอเพิ่งนึกอะไรบางอย่างได้
“อ๋อ ช่วงนี้กูจะอยู่แถวปิ่นเกล้าอะ แต่ว่าเป็นที่อยู่ชั่วคราวนะ”
“ฮะ? ยังไงวะ คือมึงมีแพลนจะย้ายที่อยู่อีกรอบงั้นเหรอ”
“อืม อีกประมาณหกเดือนหน้ากูก็จะเปลี่ยนที่อยู่ใหม่อีกรอบ” จุ๊บจิ๊บพยักหน้ารับ โดยเขาก็ไม่ได้ขยายความให้เพื่อนฟังต่อว่าทำไมเขาถึงต้องย้ายที่อยู่ใหม่ แล้วอะไรที่ทำให้จุ๊บจิ๊บต้องย้ายไปอยู่แถวปิ่นเกล้า
ในช่วงสี่ทุ่มของวัน
“จุ๊บจิ๊บ… มึงแน่ใจใช่ไหมว่าบ้านหลังนี้อะ นี่มึงย้ายมาอยู่ในบ้านใครวะ กูก็เข้าใจว่ามึงย้ายมาอยู่คอนโดแถวปิ่นเกล้าเฉย ๆ นะเนี่ย”
“ใช่ ๆ บ้านหลังนี้แหละ มึงจอดเลย! เดี๋ยวกูเดินเข้าไปเอง” หลังเห็นว่าเพื่อนกำลังจะขับเลยบ้าน จุ๊บจิ๊บที่เริ่มเมาเบียร์แล้ว ก็รีบส่งเสียงร้องทันที เพื่อบอกให้เพื่อนสนิทจอดส่งตัวเองไว้ที่นี่
“นี่มึงมั่วหรือเปล่าวะ ใช่บ้านหลังนี้จริงเหรอ” ออยยังคงถามต่ออย่างข้องใจ เนื่องจากเธอคิดว่าตัวเองอาจสื่อสารกับเพื่อนสนิทคลาดเคลื่อนไป เพราะในตอนนี้จุ๊บจิ๊บก็กำลังเมาได้ที่
“ไม่มั่ว ๆ บ้านหลังนี้แหละ ไว้เจอกันใหม่นะมึง” จุ๊บจิ๊บเอ่ยพร้อมกับเปิดประตูลงจากรถทันที ซึ่งออยเองก็ยังไม่ได้รีบขับรถออกไปแต่อย่างใด เพราะเธอยังไม่แน่ใจว่าบ้านหลังใหญ่ที่ไม่มีการเปิดไฟไว้สักดวงนี้ จะเป็นบ้านที่เพื่อนของเธอย้ายเข้ามาอยู่ชั่วคราว
“พี่เจนค้าบบบ มาเปิดประตูให้จุ๊บจิ๊บหน่อยค้าบ” หลังจุ๊บจิ๊บเดินไปหยุดที่หน้าประตูรั้วบ้านแล้ว คนตัวเล็กก็ส่งเสียงโวยวายลั่นพร้อมกับกดออดที่หน้าบ้านระรัว เพื่อเรียกให้เจ้าของบ้านตัวจริงออกมารับ
โดยในหลังจากนั้นเพียงไม่นานนัก ประตูรั้วขนาดใหญ่ก็ค่อย ๆ ถูกเปิดออกอย่างช้า ๆ พร้อมกับการปรากฏตัวของชายร่างสูงที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำสนิท และนั่นก็ทำให้ออยรีบลดกระจกรถลงพร้อมเอ่ยถามทันที
“อ—เอ่อ ขอโทษนะคะ นี่คุณเป็น?”
“ผมชื่อเจน เป็นสามีของจุ๊บจิ๊บครับ” พูดจบ ชายที่ชื่อเจนก็จัดการอุ้มร่างจุ๊บจิ๊บขึ้นพาดบ่า แล้วพาเข้าไปในบ้านทันที และหลังจากที่ประตูบ้านถูกปิดลงแล้ว เสียงของหมาจรจัดที่อาศัยอยู่แถวนั้นก็ต่างส่งเสียงร้องระงมราวกับคนร้องไห้
