3.อ่อนใจ
*** ทักทายคร้า ***
ปินปีผ่อนลมหายใจเบาๆ อย่างอ่อนใจ นี่ถ้าเธอเจอญาติผู้ตายเป็นแบบนี้สามสี่รายเธอคงหมดแรงแน่ๆ แค่เจอเขาวันแรกเธอก็ปรี๊ดแตกซะแล้ว
“เสร็จงานแล้วจอดรถข้างหน้าด้วยนะคะ” ปินปียื่นหน้าไปบอกคนขับ แต่การ์ดสารถีก็ยังคงขับรถไปตามปกติ หญิงสาวก็เลยต้องหันไปมองร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างๆ
“หน้าที่คุณยังไม่จบหรอกนะหมอ”
“แต่ฉันจำได้ว่าหน้าที่ฉันจบแล้ว” เธอบอกเสียงห้วน ดวงตากลมโตมองออกไปนอกตัวรถ แววตาหวั่นวิตกเหมือนกวางน้อยระวังภัย
“ไปกินข้าวก่อนแล้วค่อยกลับ ผมไม่มีเพื่อนกินข้าว”
“ไม่มีเพื่อนกินข้าวแล้วเกี่ยวอะไรกับฉัน ฉันมีอาชีพเป็นหมอนะคุณ และไม่รับจ้างเป็นเพื่อนกินข้าวกับใครด้วย บอกคนของคุณจอดรถฉันจะลง ไม่อย่างนั้นคุณเจอข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยวแน่”
โรมยิ้มบางๆ มองแก้มเนียนใสราวแก้มเด็กของเธอ
“กฎหมายทำอะไรผมไม่ได้หรอกน่าหมอ”
“คุณจะยิ่งใหญ่มาจากไหนฉันไม่รู้หรอกนะคะ แต่ที่เมืองไทยทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ทำผิดก็ต้องว่ากันไปตามผิด” ปินปีบอกอย่างเหลืออด เขาคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่มาจากไหนกัน แน่ล่ะอำนาจเงินและอิทธิพลของวาเนอร์ทำให้หลายคนไม่อยากยุ่งกับเขา แต่เขาจะทำตัวอยู่เหนือกฎหมายไทยไม่ได้
“แต่คนที่มีกฎหมายในมือกลับทำผิดเสียเองใช่ไหมปินปี”
ปินปีมองเขา ไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาบอกออกมาเมื่อสักครู่
“คุณหมายความว่ายังไง” ปินปีจ้องหน้าเขาอย่างรอคำตอบ โรมขยับตัวจัดสูทให้เข้าที่ ก่อนจะสบตากลมโตคู่งาม
“ผมหมายความตามนั้น เรื่องการตายของหลานชายผม ถ้าตำรวจมีเอี่ยวด้วยพวกคุณเตรียมโดนเด้งได้เลย”
เขาบอกสีหน้าดุดันและจริงจัง
ปินปีเริ่มไม่แน่ใจว่าเขารู้อะไรมาบ้าง คำขู่กระแทกใจของเขาทำให้บรรยากาศในรถตึงเครียดขึ้น จนกระทั่งรถวิ่งเข้าไปจอดหน้าโรงแรมหรู
บอดี้การ์ดรีบลงไปเคลียร์ทาง ก่อนที่เรนจะเปิดประตูด้านหลังให้เจ้านายหนุ่มและคุณหมอลงจากรถ โรมก้าวลงไปยืนรอเธอที่บันได ปินปีก้าวลงจากรถและไม่ยอมเดินต่อ
“คุณคงต้องกินข้าวคนเดียวแล้วล่ะค่ะคุณโรม เมื่อไหร่ที่คุณไม่ไว้ใจตำรวจ คุณก็ไม่ควรจะอยู่ใกล้ฉัน เพราะโดยอาชีพฉันก็ทำหน้าที่คล้ายตำรวจคนหนึ่งเหมือนกัน” พูดจบปินปีก็เดินไปขึ้นรถแท็กซี่ที่วิ่งเข้ามาส่งผู้โดยสารพอดี
เรนขยับตัวหมายจะตามไปขัดขวาง แต่มือใหญ่ยกขึ้นห้ามเอาไว้ โรมยกมือขึ้นสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ยืนมองท้ายรถแท็กซี่ด้วยแววตาเรียบเฉย ร่างสูงเดินกลับไปที่รถ
“ไปผับที่นายเรียวไปเที่ยวครั้งสุดท้ายนะเรน” เขาสั่งสั้นๆ จากนั้นรถก็วิ่งออกจากโรงแรมที่พักตรงไปผับที่พรากชีวิตหลานชายเขาไป
ชั้นบนสุดของวาเชียร์ผับ ร่างเจ้าเนื้อของนายองอาจเจ้าของผับยืนตัวสั่นหน้าชุ่มไปด้วยเหงื่อเม็ดโตอยู่ตรงหน้าร่างสูงสง่าของโรม วาเนอร์ ใบหน้าเย็นชาและสายตาดุดันพร้อมจะเผาไหม้ทุกอย่างตรงหน้า ทำให้องอาจไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นไปมอง
“วันที่เรียวมาเที่ยวที่นี่ นายอยู่ที่ไหน”
องอาจสะดุ้ง ยกมือขึ้นปาดเหงื่อเมื่อเสียงเข้มทรงอำนาจดังขึ้น
“ผมออกไปทำธุระข้างนอกครับ แต่ในผับเราก็มีการ์ดดูแลความเรียบร้อยอยู่ทุกคืน” องอาจแก้ต่าง
โรมเหยียดยิ้ม ตามองกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่บนเพดานสูง
“วันนั้นกล้องวงจรปิดเสียด้วยใช่ไหม” โรมถามอย่างใจเย็น ก่อนจะขยับไปใกล้ร่างท้วมที่ยืนตัวสั่นอยู่ตรงหน้าแล้วแสยะยิ้มออกมา องอาจถึงกับเย็นยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจ มือหนาของโรมยกขึ้นขยับคอเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลขององอาจให้เข้าที่ ก่อนจะกระชากเข้าหาตัว
“มีคนจงใจให้มันเสีย หรือมึงถูกสั่งให้ทำลายหลักฐานกันแน่” โรมถามเสียงลอดไรฟัน แววตาแดงก่ำอย่างน่ากลัว
“มันเสียจริงๆ ครับ แต่ช่วงค่ำมันยังทำงานอยู่นะครับคุณโรม”
ไม่ต้องบอกเรนก็รู้ว่าต้องทำอะไร ร่างบึกบึนเดินไปสั่งให้เปิดเทปย้อนไปอีกสองวัน ดวงตาคมเข้มมองร่างสูงขาวสวมเสื้อยืดสีขาวแขนยาวกับกางเกงยีนสีเข้มของหลานชายเดินไปนั่งโต๊ะหน้าเวทีกับเพื่อนชายอีกสองคน ซึ่งเขาเองก็รู้จักเด็กทั้งสองคนเป็นอย่างดี โรมยืนมองเทปจากกล้องวงจรปิดด้วยท่าทางสงบ แต่เรนรู้ดีว่าภายใต้ความเงียบสงบนั้นพายุร้ายก่อตัวขึ้นแล้ว
*** ***
