4.1 ได้โปรด
คืนวันพฤหัสเป็นคืนที่มีนัดซื้อขายกับทิวากร วราลีตั้งใจเอาไว้อย่างแน่วแน่ว่าเธอจะต้องล้วงลึกเข้าถึงข้อมูลบางอย่างมาให้ได้ สิ่งหนึ่งที่อยากได้คำตอบก็คือความสัมพันธ์ของเขากับปานชีวาไปถึงไหนกันแล้ว และจุดประสงค์ของความสัมพันธ์นี้คืออะไร แค่คบหากันทั่วไปหรือคิดการใหญ่จนถึงขั้นแต่งงาน วราลีอยากรู้ทุกเรื่อง แต่ติดปัญหาอยู่อย่างเดียวคือเธอจะถามเขายังไง จะถามได้ต้องใช้ความกล้ามาก ต้องเสี่ยงว่าอาจทำให้เขาไม่พอใจ แล้วต่อให้ถามไป…เขาก็อาจจะไม่ตอบ
หรือว่าต้องมอมเขา?
อาจเป็นไปได้ ลองมานึกดูอีกที…มีครั้งหนึ่งที่วราลีเคยดื่มไวน์กับทิวากร คืนนั้นเขาเรียกใช้งานเธอเหมือนปกติ แต่ที่ต่างออกไปคือเขาชวนเธอดื่มก่อนขึ้นเตียง ทั้งสองนั่งดื่มด้วยกันท่ามกลางความเงียบงัน แต่มันคือครั้งแรกและครั้งเดียวที่เธอได้เห็นว่าเขาเมา พอเมาแล้วเขาก็ดูเป็นมิตรมากขึ้น เขายิ้มในบางครั้ง ถ้าจำไม่ผิดเขาหัวเราะด้วย หัวเราะทั้งที่ไม่พูดอะไรด้วยซ้ำ
พอเห็นหนทางที่พอจะเป็นไปได้ วราลีไม่รอช้า เลิกงานปุ๊บก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าลงไปที่ร้านขายไวน์ งานนี้ต้องลงทุนหน่อย…เอาเงินห้าพันที่ได้จากการเช็ดรองเท้าไปซื้อไวน์นี่แหละ แต่พอถึงเวลาเข้าจริง ๆ เธอก็นึกเสียดายเงินขึ้นมา แค่อยากรู้เรื่องปานชีวาจะต้องยอมเสียเงินห้าพันเลยอย่างนั้นหรือ? ห้าพันบาทนี้เธออยู่ได้ตั้งครึ่งเดือนเชียวนะ
“ไม่ทราบว่าคุณลูกค้ามองหาไวน์แบบไหนอยู่ครับ?” พนักงานขายเห็นวราลียืนลังเลอยู่หน้าชั้นไวน์ เลยเดินเข้ามาบริการ ในจังหวะที่เธอหันไปมอง พลันสายตาเหลือบไปเห็นทิวากรเดินเข้ามาในร้าน หญิงสาวไม่มีคำตอบให้กับพนักงาน รีบวิ่งเข้าไปแอบที่หลังชั้นเก็บไวน์ในทันที ให้เขาเห็นเธอไม่ได้ ถ้าเจอเธอเขาต้องไม่พอใจแน่ ๆ
“สวัสดีครับคุณทิวากร ผมอนุชายินดีรับใช้ครับ” พนักงานคนเดินทำหน้างุนงงที่อยู่ ๆ วราลีก็วิ่งหนีไป แต่พอเห็นทิวากรเดินเข้ามาก็รีบเข้าไปอำนวยความสะดวก
“ผมอยากได้ไวน์สักขวด” เมื่อไหร่ที่มีเรื่องให้ต้องคิด ทิวากรก็มองหาไวน์ดี ๆ ไว้ดื่ม เขาไม่ใช่คนที่ชอบออกไปสังสรรค์นอกบ้าน เพื่อนสนิทก็มีแค่สองสามคน แถมยังมีครอบครัวไปแล้ว อีกคนก็อยู่ต่างประเทศ เวลาที่อยากดื่มเขาก็จะดื่มเงียบ ๆ คนเดียว แต่มีครั้งหนึ่งที่รู้สึกว่าดื่มสนุกกว่าทุกครั้ง นั่นคือตอนที่เขาดื่มกับวราลี ไม่รู้ทำไมถึงนึกสนุก…เท่าที่จำได้ ตอนนั้นสองคนก็แทบไม่ได้คุยอะไรกันด้วยซ้ำ
“คุณทิวากรมองหาไวน์…”
“เอาแบบที่รสชาติดีที่สุด” ไม่รอให้พนักงานถามอะไรมากมาย เขาก็บอกสิ่งที่ต้องการ ก่อนจะหันหลังเดินไปทางเคาน์เตอร์ชำระเงิน ทว่าได้หันหลังกลับมามองไปยังชั้นเก็บไวน์อีกครั้ง รู้สึกเหมือนเขาเห็นหลังไว ๆ ของใครบางคน เป็นแผ่นหลังที่เขาคุ้นเคยแปลก ๆ
สองทุ่มห้าสิบนาที วราลีทำเหมือนเคย อาบน้ำชำระร่างกายใช้ครีมอาบน้ำที่ทิวากรเคยบอกว่ามันหอมดี เสร็จแล้วก็เตรียมตัวมานั่งรอเขา…แต่คืนนี้เธอไม่ได้นั่งรอบนเตียง เพราะเห็นว่าเขาไปซื้อไวน์ เธอเลยแวะซูเปอร์หาซื้อผลไม้ แคร็กเกอร์แล้วก็ชีสติดตัวมาด้วย มันคือความผิดพลาดที่เธอไม่ทันได้รู้ตัว อยู่ ๆ จะซื้อของพวกนี้มาทำไม หากไม่รู้มาก่อนว่าทิวากรจะซื้อไวน์มา
สามทุ่มตรงคุณผู้ซื้อก็มาถึง กดรหัสเข้าห้องที่มีแค่เขากับวราลีที่รู้ เดินเข้ามาพร้อมกับไวน์ในมือ…สิ่งแรกที่เขาเห็นคือหญิงสาวในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำเดินถือถาดที่จัดเซตชีสหลากหลายออกมาจากห้องครัว ยอมรับเลยว่าเขาแปลกใจ เพราะก่อนหน้าไม่เคยเห็นเธอทำอะไรแบบนี้มาก่อน อยู่ ๆ จะมานึกอยากกินชีสในเวลาที่ต้องรับใช้เขาทำไม
“คุณทิวากรมาแล้วเหรอคะ?” คำถามที่ไม่เคยถามหลุดออกจากปากวราลี แถมเธอยังเผยรอยยิ้มให้เขาอีกต่างหาก
“ผมไม่เคยผิดเวลานัด คุณก็รู้” เขาวางขวดไวน์ราคาครึ่งแสนลงบนโต๊ะ ถอดสูทตัวนอกออกพาดไว้กับพนักเก้าอี้ ปลดกระดุมเชิ้ตสีขาวที่ใส่สีเดิมทุกวันสองสามเม็ดพร้อมกับพับแขนเสื้อขึ้นลวก ๆ “เตรียมชีสไว้เหมือนรู้เลยนะว่าผมเอาไวน์มาด้วย”
“คะ?” เวรแล้ว! วราลีเพิ่งรู้ว่าเธอพลาดไปหนึ่งก้าว
“…” วินาทีนั้นทิวากรก็เอียงคอคิด เอะใจบางอย่างขึ้นมา ทีแรกเขาแค่พูดเล่น ๆ แต่พอพูดแล้วก็อดจะฉุกคิดไม่ได้ ใช่…เธอทำเหมือนรู้ว่าเขาจะพกไวน์มาด้วย แล้วเธอรู้ได้ยังไง?
“ลีไม่รู้หรอกค่ะว่าคุณทิวากรจะเอาไวน์มา แต่ที่จัดชีสใส่ถาดก็เพราะนึกอยากกินค่ะ” รีบแก้ตัว แก้ตัวน้ำขุ่น ๆ
“อยากกินชีสตอนสามทุ่ม? ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าผมจะมาน่ะเหรอ?”
“ก็อยากชวนให้คุณทิวากรมากินด้วยกัน ถ้าคุณไม่รังเกียจนะคะ” ทำเสียงนอบน้อมถ่อมตน วางสีหน้าท่าทางเหมือนคนเจียมตัว ทว่าจริง ๆ แล้ววราลีไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองอยู่ต่ำกว่าใคร ก็แค่มีเงินน้อยกว่า แต่ค่าความเป็นคนเธอเท่ากับพวกเขา
“รังเกียจทำไม? ไปเอาแก้วไวน์มาสิ…ดื่มเป็นเพื่อนผมหน่อย”
สองคนนั่งอยู่บนโซฟาตัวเดียวกันแต่คนละมุม ไวน์ในขวดพร่องไปเหลือเพียงครึ่ง ชีสกับผลไม้ในถาดก็เบาบางลงไปมาก…ส่วนใหญ่เป็นทิวากรที่กิน ทั้งไวน์และชีส เขาดื่มกินมันมากกว่าวราลี ยังคงนั่งดื่มกันเงียบ ๆ ไม่มีใครเริ่มเปิดบทสนทนา ในใจของวราลีได้แต่คิดว่าวันนี้มันต้องมีอะไรแน่ ไม่งั้นทิวากรคงไม่อยากดื่มไวน์ขึ้นมา เธอกำลังคิดหนักว่าจะเริ่มเข้าเรื่องที่อยากรู้ยังไง จะถามยังไงให้เขาไม่รู้สึกอึดอัดไม่ชอบใจ คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก!
“ทำไมคุณถึงรับงานนี้?” ราวกับว่าหิมะจะตกลงมากลางกรุงเทพ เมืองที่ร้อนระอุเหมือนอยู่ในทะเลทราย อยู่ ๆ ทิวากรก็เปิดปากถาม ผ่านไปหนึ่งปีเขาเพิ่งมาอยากรู้เรื่องของเธอ
“คะ?” วราลีแปลกใจ แต่จะไม่วางท่าใสซื่อทำเป็นประหลาดใจกับคำถามให้มากเรื่อง “เพราะต้องการเงินค่ะ”
“รู้ แต่ทำงานอย่างอื่นก็ได้เงิน ทำไมถึง…”
“ขายตัว?” หนึ่งปีเต็มทิวากรไม่เคยเอ่ยชื่อวราลีแม้แต่เพียงครั้งเดียว จะเรียกเธอเขาจะพูดแต่ว่า ‘คุณ’ คนอย่างเขาทำไมถึงไม่กล้าพูดคำว่าขายตัวออกมา “เพราะมันคือโอกาสค่ะ ลีมองว่ามันคือโอกาส…เป็นทางเดียวที่จะได้เงินจำนวนมากในเวลาอันสั้น”
“มีเรื่องให้ต้องใช้เงินเหรอ?”
“ค่ะ ตั้งแต่จำความได้…สิ่งเดียวที่ลีขาดมาตลอดก็คือเงิน ตั้งแต่เด็กจนโตลีวิ่งหาแต่เงินอย่างเดียว” เธอตอบตามความจริง พร้อมกับสบตาคู่ร่วมสนทนาแสดงความจริงใจ และเขารับรู้ได้ ทิวากรสัมผัสได้ถึงความจริงใจจากวราลี และเธอเป็นคนแรกที่กล้าพูดกับเขาตรง ๆ ว่าต้องการเงิน ที่ผ่านมา หลายคนพยายามเข้าหาเขา พูดอ้อมไปอ้อมมามากมาย หว่านล้อมเขาสารพัดเพราะอยากได้เงิน แต่ดันเลือกใช้วิธีหลอกลวง ซึ่งเขาเกลียดคนแบบนั้นที่สุด พวกคนหลอกลวง เขาไม่ได้รังเกียจเดียดฉันท์คนอยากได้เงิน รู้ดีว่ามันคือปัจจัยใหญ่ในการจะมีชีวิต อยากได้ก็ขอกันดี ๆ มีเหตุผลที่พอฟังได้ ทำไมเขาจะไม่ให้ ก็เขามีมากมายเสียขนาดนี้
“เหนื่อยไหม?”
“…” วราลีไม่ใช่คนบ่อน้ำตาตื้น เธอไม่ค่อยเสียน้ำตาให้กับเรื่องง่าย ๆ แต่พอได้ยินคำถามนั้น…เธอกลับหวั่นไหวไม่น้อย ใบหน้ามันร้อนผ่าวขึ้นมา ไม่เคยมีใครถามเธอแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว “เหนื่อยค่ะ เหนื่อยมากเลย แต่ลีไม่เคยท้อ…ท้อไม่ได้”
