ตอนที่6
เรือสปีดโบตจอดเทียบท่าก่อนจะปรากฎร่างของสามี ภรรยาและลูกชายอายุราวๆ สิบห้าเห็นจะได้ การแต่งกายบ่งบอกถึงชนชั้นผู้ลากมากดี เสื้อผ้าราคาแพง กระเป๋าแบรนด์เนมดูไม่เหมาะกับการมาเยือนเกาะเล็กๆ แห่งนี้เลย
"คุณแน่ใจนะคะคุณประทินว่าคุณพ่ออยู่ที่เกาะนี้" เสียงหวานของภรรยาเอ่ยถามสามีให้แน่ใจ เพราะเธอไม่คิดว่าเกาะเล็กๆ ไม่ต่างจากเกาะร้างจะมีคนอาศัยอยู่
"แน่ใจสิ ผมเช็กแล้ว อีกอย่างพี่คนขับเรือเขาคงไม่พามาหลงหรอกคุณ" ผู้เป็นสามีตอบกลับภรรยาพลางใช้สายตามองสำรวจบริเวณรอบเกาะที่เงียบสงัด
"ถ้าใช่ก็รีบไปหาคุณพ่อเถอะค่ะ จะได้รีบกลับสักที"
ทั้งคู่เดินจูงมือไปตามทางเดินไม้ที่ถูกสร้างไว้ดูไม่ค่อยแข็งแรงมากนักโดยมีลูกชายเดินตามหลังเงียบๆ ไม่พูดไม่จา แต่เมื่อเดินมาถึงสุดปลายสะพานก็ได้พบกับบ้านที่ดูไม่ค่อยแข็งแรงนักหลายหลังติดๆ กันบ่งบอกถึงความเป็นหมู่บ้านที่มีผู้คนอยู่อาศัย
"ไม่น่าเชื่อว่าจะมีบ้านคนด้วย"
"นั่นสิคะ คุณพ่อทนอยู่ที่นี่ได้ยังไงตั้งสี่วัน เป็นฉันคงวิ่งลงทะเลไปแล้ว"
"คุณพ่อท่านไม่ใช่คนคิดอะไรแบบนั้นหรอกคุณภารตี" สามีว่าเอ็ดภรรยาจอมเรื่องเยอะเข้าให้
"ฉันก็แค่พูดไปงั้น ชิ!"
"ใครได้ยินเข้าจะคิดว่าเราดูถูกพวกเขา"
"แต่มันก็จริงนี่คะ"
"คุณหญิง!" สามีเริ่มกดน้ำเสียงให้ต่ำเป็นเชิงให้ภรรยาหยุดพูดเรื่องนี้
"พอเถอะครับ พ่อ แม่ เรารีบหาคุณปู่ให้เจอแล้วกลับกันดีกว่าครับ" ลูกชายเอ่ยขึ้นห้ามพ่อแม่ที่เริ่มจะมีปากเสียงกัน เขาเองก็ไม่อยากอยู่ที่นานนักเพราะดูน่ากลัวเหลือเกิน
ทั้งสามถามจากผู้คนในหมู่บ้านจนได้รู้ว่าเจ้าสัวประทีปมาอาศัยอยู่กับชาวประมงคนที่ช่วยชีวิตเอาไว้ที่บ้านหลังเล็กท้ายหมู่บ้าน
"น่าจะบ้านหลังนี้นะ?" ชายวัยกลางคนเอ่ยด้วยความไม่แน่ใจ เพราะบ้านทุกหลังคล้ายกันไปหมด
"คิกๆ แบบนี้มันขายไม่ได้หรอกค่ะคุณตา" เสียงหัวเราะคิกคักของเด็กหญิงคนหนึ่งเรียกความสนใจให้ผู้มาใหม่หันขวับกลับไปมองตามเสียงเจื้อยแจ้วของใครบางคน
"คุณพ่อ?" ผู้เป็นลูกชายถึงกับตาค้าง อ้าปากเหวอเมื่อได้เห็นพ่อของตนเองแต่งตัวกลมกลืนกับคนในหมู่บ้าน กางเกงผูกแบบชาวเล เสื้อยืดตัวโคร่งกับหมวกปีกกว้างไว้ใช้บังแดด
"..." ทุกคนเงียบสนิทกับภาพตรงหน้า เจ้าสัวเงียบอึ้งเมื่อได้เจอลูกชาย ส่วนด้านลูกชายกับลูกสะใภ้เงียบเพราะตกใจกับสภาพของพ่อตอนนี้ ยิ่งกับหลานชายยิ่งตะลึงงันเข้าไปใหญ่ เขาไม่เคยเห็นปู่ของตนเองมีสภาพแบบนี้มาก่อน
นันรวีมองทุกคนคนสลับไปมา ในใจเริ่มห่อเหี่ยวเพราะคิดว่าคุณตาใจดีคงได้เวลากลับบ้านแล้ว พายุลูกใหญ่ผ่านพ้นไปเมื่อคืนก่อนทำให้ตอนนี้ทะเลเปิดเรือกลับมาสัญจรได้อีกครั้ง
"กลับบ้านกันครับคุณพ่อ" คำพูดของลูกชายเล่นทำให้ใจหายไม่น้อย
"อืม ขอเวลาสักเดี๋ยว พวกแกไปรอที่ท่าเรือแล้วกัน" เจ้าสัวประทีปขอเวลาทำใจสักห้านาทีก่อนจะต้องบอกลาหนูน้อยคนนี้
"คุณตาต้องกลับบ้านแล้วเหรอคะ" หนูน้อยเงยหน้าถามด้วยน้ำเสียงสลด
"อืม ตามีเรื่องต้องกลับไปทำน่ะ แต่เราสัญญากันไว้แล้วไงจำได้ไหม"
"ค่ะ หนูจะรอเจอคุณตาอีกนะคะ" นันรวีสวมกอดคนตรงหน้าแน่น ตลอดหลายวันมานี้ทั้งคู่ได้ใช้เวลาด้วยกันแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่แปลกที่เธอจะผูกพันกับคุณตาขนาดนี้
เมื่อเดินมาถึงท่าเรือเพื่อเตรียมกลับบ้าน นันรวีไม่ยอมปล่อยมือคุณตาออก เพราะกลัวจะไม่ได้เจอกันอีก มือเล็กยกขึ้นเช็ดน้ำตาป้อยๆ ไม่อยากให้คุณตาใจดีจากไป แค่คิดว่าพรุ่งนี้ตื่นมาจะไม่เจอกันก็รู้สึกเศร้าแล้ว
"เด็กกะโปโล"
เด็กหนุ่มยืนมองผู้เป็นปู่กับเด็กผู้หญิงตัวเล็กไม่ละสายตาก่อนจะพึมพำเบาๆ ให้กับเด็กหญิงหน้าตาบ้านๆ การแต่งตัวมอมแมมไม่มีอะไรน่าชวนมองแม้แต่อย่างเดียว เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าคุณปู่จะอาลัยอาวรณ์กับเด็กคนนี้ทำไมนักหนา
"นัน ไม่เอาลูก" นายชัยเอ่ยบอกลูกสาวเบาๆ เขารู้ว่านันรวีคงผูกพันไปแล้วตามประสาเด็ก แต่อย่างไรสักวันก็ต้องถึงเวลาจากลากันอยู่ดี
"คุณพ่อเราไปกันเถอะค่ะ" ลูกสะใภ้เร่งพ่อสามีให้รีบออกจากเกาะแห่งนี้เสียที
"ขอบคุณพวกคุณมากนะครับที่ช่วยขีวิตพ่อผม และยังดูแลท่านด้วย"
"ไม่เป็นไรครับ ช่วยได้ก็ช่วยครับ" นายชัยและลูกสาวมาคอยส่งคนที่อยู่ร่วมกันตลอดหลายวัน ซึ่งไม่รู้ว่าหลังจากนี้พวกเขาจะได้พบกันอีกหรือไม่
เมื่อร่ำลากันเสร็จเรียบร้อย เรือสปีดโบตเริ่มติดเครื่องยนต์แล้วค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปช้าๆ ก่อนจะเร่งความเร็วขึ้น
