ตอนที่3
ร่างของคนหมดสติถูกพาไปที่อนามัยอย่างระมัดระวังโดยมีคุณหมอประจำหมู่บ้านคอยดูไม่ห่าง
นันรวีกับผู้เป็นพ่อรีบตามไปด้วยความเป็นห่วงไม่คิดแม้แต่จะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกโชกที่บ้านเสียก่อน
"ห่มไว้สินัน" แก้วตาส่งผ้าเช็ดตัวให้เพื่อนใช้คลุมตัวเอาไว้
"ขอบใจนะ" นันรวีรับผ้ามาคลุมกายที่เปียกโชกแต่ก็ยังชะเง้อมองดูคนที่เพิ่งช่วยชีวิตจากน้ำ
"นัน ทีหลังห้ามว่ายน้ำไปแบบนั้นอีกนะ รู้ไหมว่ามันอันตราย คลื่นก็แรงถ้าโดนคลื่นซัดไปจะทำยังไง" นายชัยเอ็ดลูกสาวที่ทำไปโดยไม่คิดให้รอบคอบ แม้ทุกคนในหมู่บ้านจะว่ายน้ำคล่องแคล่วแค่ไหน แต่คลื่นลมทะเลเอาแน่เอานอนไม่ได้ บางครั้งเคราะห์ร้ายเกิดเป็นตะคริวขึ้นมาจะทำอย่างไร
"ขอโทษจ้ะ หนูแค่อยากช่วยเขา"
"เฮ้อ! แล้วถ้าเอ็งเป็นอะไรไปพ่อจะอยู่ยังไง" นายชัยรั้งตัวลูกสาวเข้ามากอดไว้แน่น ถึงจะไม่ใช่พ่อลูกแท้ๆ แต่เขาก็รักนันรวีมาก
"นายชัย หนูนันกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ เดี๋ยวจะป่วยกันทั้งคู่นะ ตอนนี้คุณลุงคนนั้นปลอดภัยแล้วเพราะได้พวกเธอช่วยไว้เลยนะ เก่งมากที่จำวิธี CPR ที่หมอสอนไปได้" คุณหมอเอ่ยชมสองพ่อลูกที่สามารถช่วยชีวิตคนจมน้ำให้รอดมาได้
"ถ้าเขาฟื้นแล้วให้คนไปตามผมด้วยนะครับหมอ"
"แน่นอนสิ แต่ตอนนี้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยทั้งสองคน" คุณหมอไล่สองพ่อลูกกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะพากันป่วย
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมานายชัยและนันรวีก็ได้รับข่าวดีว่าชายแปลกหน้าคนนั้นฟื้นแล้ว และเขาถามหาคนที่ช่วยตัวเองเอาไว้เพราะต้องการจะขอบคุณ
"นี่คือนายชัยกับลูกสาว คนที่ช่วยชีวิตคุณเอาไว้ค่ะ" คุณหมอแนะนำสองพ่อลูกที่ยืนตัวเกร็งให้ชายตรงหน้าได้รู้จักแล้วเดินออกไปเพื่อให้ทั้งสามคนได้พูดคุยกัน
"ขอบคุณมากนะที่ทำให้ฉันรอดตายมาได้ ขอบคุณมากจริงๆ" ชายดูมีอายุแต่ยังคงความภูมิฐานก้มหัวขอบคุณคนอายุน้อยกว่า ถ้าไม่ได้สองพ่อลูกคู่นี้ตนคงจะตายกลางทะเลไม่ได้บอกลาลูกหลานเสียแล้ว
"ฉันไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณครั้งนี้ยังไงดี" เพราะตอนนี้เขามีเพียงนาฬิกาและเสื้อผ้าราคาแพงที่เปียกชุ่มไปหมดเท่านั้น ไม่ได้พกเงินทองหรือของมีค่าติดตัวมาด้วย
"ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องตอบแทนหรอก" นายชัยรีบโบกไม้โบกมือ เขาไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทนทั้งนั้น
"แล้วทำไมคุณตาถึงได้ไปลอยอยู่กลางทะเลล่ะคะ" นันรวีเรียกคนตรงหน้าว่าคุณตาเพราะเห็นเส้นผมขาวบนศีรษะจึงคาดว่าท่านต้องอายุมากกว่าพ่อของตนเป็นแน่
"ตาก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน นั่งเรือมาอยู่ดีๆ รู้ตัวอีกทีก็มาโผล่ที่นี่แล้ว" ชายมีอายุนึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าไปทำท่าไหนถึงได้ตกทะเลมาได้
"คุณจะนั่งเรือไปไหนเหรอครับ ดูไม่น่าจะใช่คนละแวกนี้ด้วย" นายชัยมองเสื้อผ้าเปียกชุ่มของคนตรงหน้าที่ถูกถอดผึ่งแดดเอาไว้ใกล้ๆ เสื้อผ้าดูมีราคาเหมือนคนในเมืองมากกว่าจะเป็นคนอาศัยตามเกาะเล็กๆ อย่างพวกเขา
"ฉันมานั่งเรือเล่นกับพวกเพื่อนๆ น่ะ"
"นั่งเรือเล่นช่วงนี้เนี่ยนะครับ? ไม่ได้ดูข่าวเหรอครับว่าช่วงนี้เขางดออกเรือเพราะพายุจะเข้า"
"งั้นเหรอ ฉันก็ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องพวกนี้เสียด้วยสิ" ชายตรงหน้าเกาหัวแกรกๆ เขาไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน แต่ก็อดเอะใจไม่ได้ว่าทำไมคนที่ตนเองไว้ใจถึงได้คะยั้นคะยอให้มานั่งเรือชมเกาะในช่วงนี้
"แล้วคุณจะทำยังไงต่อครับ ช่วงนี้ไม่มีเรือลำไหนออกทะเลหรอกนะครับ ต้องรอสักสี่หรือห้าวันให้พายุพ้นไปก่อนถึงจะมีเรือมารับกลับฝั่งได้"
"ในเมื่อทำอะไรไม่ได้งั้นก็คงต้องรออยู่ที่นี่แหละนะ นายพอจะมีโทรศัพท์ไหมล่ะ ฉันจะโทรบอกลูกชายฉัน"
"ผมไม่มีหรอกครับ แต่ถ้าคุณจะใช้ต้องไปที่ร้านขายของ เดี๋ยวผมพาไปครับ ว่าแต่..คุณยังไม่บอกขื่อพวกเราเลย"
"ชื่อของฉันเหรอ ประทีป เรียกว่าทีปเฉยๆ ก็ได้" ชายวัยเกษียณแนะนำชื่อตัวเอง พร้อมรอยยิ้มจางๆ
"งั้นผมเรียกลุงล่ะกัน"
"ได้สิ จะได้เป็นกันเอง"
"ถ้าลุงไม่มีที่พักไปอยู่บ้านผมก็ได้ ผมอยู่กับลูกสองคนมีห้องว่างเหลืออยู่" นายชัยชักชวนแขกให้มาพักที่บ้านของตนในระหว่างที่รอเรือมารับหลังหมดพายุลูกใหญ่
"ขอบใจมากนะ"
"เดี๋ยวหนูจะสอนคุณตาเก็บเปลือกหอยไปขายเองค่ะ คุณตาจะได้มีเงินไงคะ" คำพูดของเด็กหญิงที่คาดว่าอายุน้อยกว่าหลานชายของตนทำให้ประทีปหรืออีกชื่อที่หลายคนรู้จักคือเจ้าสัวประทีป รู้สึกเอ็นดูในความน่ารักของเด็กหญิงตัวเล็กคนนี้
"ฮ่าๆ" เจ้าสัวประทีปหัวเราะร่าออกมา เขามีเงินเป็นพันล้านแต่กลับต้องมานั่งเก็บเปลือกหอยขายแลกเศษเงิน ที่นี่ช่างแตกต่างจากที่ของเขามากไม่มีอะไรเหมือนกันสักอย่าง
