บทที่ 8 หลัวซินเอ๋อร์
หลังจากที่ฝูซิ่นเล่อและไป๋อวี้ออกมาจากห้องของบัวชมพู หญิงสาวก็ลืมตาขึ้น ก่อนพลิกตัวก้มหน้าซุกหมอนแล้วดิ้นอยู่คนเดียว ใจจริงเธออยากจะส่งเสียงกรี๊ดออกมาดัง ๆ แต่ก็กลัวคนอื่นจะรู้ว่าเธอแกล้งเมา
บัวชมพูไม่ใช่ผู้หญิงคออ่อน ไม่ใกล้เคียงกับคำนั้นเลยสักนิด เธอยอมรับว่าสุราที่ดื่มไปวันนี้ทำให้เธอเมาในระดับหนึ่ง เพราะดื่มค่อนข้างมาก แต่ก็ไม่ได้เมาจนหลับไม่รู้เรื่อง แต่ที่แสร้งทำเป็นหลับก็เพราะพวกแก๊งสัปดนแนะนำมาว่า ถ้าอยากรู้นิสัยผู้ชายก็ให้ลองแกล้งเมาต่อหน้าผู้ชายคนนั้น ถ้าเขาฉวยโอกาสทำอะไรรุ่มร่ามเกินงาม หรือพาเธอไปทำ ‘อะไร’ ก็ฟาดก้านคอแล้วเขี่ยทิ้งข้างทางได้เลย แต่ถ้าไม่ ผู้ชายคนนั้นก็นับได้ว่าน่าคบหา
สิ่งที่ฝูซิ่นเล่อทำในวันนี้ เธอคิดว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษคนหนึ่ง ยามที่อุ้มเธอลงจากรถม้าแล้วพาไปส่งที่เตียง เขาไม่ได้ฉวยโอกาสล่วงเกินเธอแม้แต่น้อย สัมผัสของเขานุ่มนวลอย่างยิ่ง เมื่อเขาลูบศีรษะเธออย่างอ่อนโยน คล้ายกล่อมให้เธอหลับสนิท หญิงสาวรู้สึกอบอุ่นในใจอย่างอธิบายไม่ถูก ส่วนเรื่องที่เขาจูบแก้มเธอ...
เอาไว้จูบคืนทีหลังก็แล้วกัน
บัวชมพูพลิกตัวนอนหงาย ดึงผ้าห่มขึ้นมากัดเบา ๆ เมื่อนึกถึงคำพูดที่ฝูซิ่นเล่อกระซิบที่ข้างหูของเธอ
เขาชมว่าเธองดงามและน่าเอ็นดู ต่างจากยามปกติที่ชอบว่าเธออัปลักษณ์ ผู้ชายคนนี้ปากอย่างใจอย่าง จะให้เขายอมชื่นชมเธอต่อหน้าคงเป็นไปได้ยาก แต่ก็ช่างเถอะ แค่เธอรู้ว่าใจจริงแล้วเขาไม่ได้มองเธออัปลักษณ์อย่างที่ชอบพูด แค่นี้ก็ดีใจแล้ว
บัวชมพูลุกขึ้นมาหยิบกล่องใส่นาฬิกาข้อมือที่นำมาให้ฝูซิ่นเล่อ มันเป็นนาฬิกาข้อมือ Patek Philippe ที่วางขายอยู่ในร้านขายนาฬิกาของครอบครัวเธอ โดยใช้โควตาเลือกของได้ปีละหนึ่งชิ้นที่พ่อของเธอให้ หยิบออกมาจากร้านท่ามกลางเสียงแซวของแก๊งสัปดน ที่หาว่าเธอกลายเป็น ‘เจ้สายเปย์ผู้’ ไปแล้ว
ถ้าเปย์แล้วได้ผู้ชายอย่างท่านแม่ทัพ เดี๋ยวเธอจะไปขนมาเปย์หนัก ๆ เลย!
บัวชมพูหยิบนาฬิกาออกมาจากกล่องแล้วประทับริมฝีปากลงไปแผ่วเบา ก่อนจะเก็บใส่กล่องตามเดิม
อยากให้ถึงพรุ่งนี้ไว ๆ จัง
เช้าวันต่อมา บัวชมพูตื่นแต่เช้าโดยไม่ต้องรอให้ไป๋อวี้เข้ามาปลุก แต่เช้าแค่ไหนก็ยังช้ากว่าฝูซิ่นเล่อที่ออกจากจวนไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เพราะต้องเข้าประชุมในท้องพระโรง บัวชมพูจึงไปป่วนในห้องครัวแทน เพื่อดูว่าท่านแม่ทัพของเธอชอบกินอะไรเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ได้ความอะไร เพราะฝูซิ่นเล่อไม่เคยเอ่ยปากและไม่เคยแสดงออกว่าชอบกินอะไรเป็นพิเศษ
เป็นคนแบบไหนกันเนี่ย
ทางห้องครัวไม่ได้จัดเตรียมอาหารกลางวันให้ฝูซิ่นเล่ออย่างที่บัวชมพูคิด เพราะเขาบอกไว้ว่าวันนี้จะเข้าไปที่ค่ายทหารในเมืองหลวง ซึ่งปกติเขามักกินอยู่กับเหล่าพลทหารทั้งมื้อกลางวันและมื้อเย็น แต่เพราะบัวชมพูอยากกินข้าวกับเขา เธอจึงให้พ่อครัวเตรียมอาหารใส่กล่องให้สามสี่อย่าง แล้วชวนไป๋อวี้กับเฉินจือหานไปหาฝูซิ่นเล่อที่ค่ายทหารด้วยกัน
“จะดีหรือเจ้าคะ แต่ไหนแต่ไรกองทัพทหารเป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับสตรี” ไป๋อวี้ว่า
“แค่ไปกินข้าวก็ไม่ได้เหรอ” บัวชมพูถามเสียงเศร้า
“ที่จริงก็ใช่ว่าจะไม่ได้เสียทีเดียว” เฉินจือหานตอบ “สมัยที่ฮองเฮายังเป็นกุนซือทัพไป๋หู่ นางเองก็กินอยู่ในกองทัพ แม่นางเหลียนเป็นญาติของท่านแม่ทัพ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะขอรับ”
บัวชมพูตาเป็นประกายทันที “งั้นไปกัน!”
“ขอรับ” เฉินจือหานรับคำ แล้วไปเตรียมรถม้าให้บัวชมพู
ไม่นานนัก หญิงสาวก็มาถึงค่ายทหารของฝูซิ่นเล่อ บรรดาทหารต่างมองมาที่เธออย่างแปลกใจ แต่เมื่อได้ยินเฉินจือหานแนะนำว่าเธอคือญาติของฝูซิ่นเล่อ ทุกคนต่างก็รีบหลีกทางให้ แต่ก็ยังไม่วายมองไปที่บัวชมพูที่มีรูปร่างหน้าตาผิดแปลกไปจากชาวต้าจิน
ช่วงนี้ท่านแม่ทัพของพวกเขาช่างมีชะตาดอกท้อเสียจริง มีหญิงงามมาหาถึงค่ายทหารถึงสองคนในวันเดียวกัน
เฉินจือหานเดินนำบัวชมพูไปยังกระโจมที่ฝูซิ่นเล่อใช้ประชุมกับเหล่าทหาร บรรดานายทหารทยอยกันเดินออกมาจากกระโจม บัวชมพูคำนับทุกคนตามเฉินจือหาน แต่ละคนมองมาที่หญิงสาวสลับกับมองไปทางกระโจม ราวกับมีอะไรอยู่ในนั้น จนหญิงสาวอดสงสัยไม่ได้ เมื่อทุกคนเดินผ่านไปแล้ว เธอจึงไม่รอช้า รีบเปิดผ้าม่านเข้าไปในกระโจมทันที
“ท่านโหว ท่านแม่ทัพ!” บัวชมพูเรียกเสียงใส แต่ก็ต้องหยุดชะงักอยู่หน้ากระโจม เมื่อพบว่าฝูซิ่นเล่อไม่ได้อยู่ข้างในคนเดียว
หญิงสาวหน้าตางดงามราวรูปสลักกำลังมองมาที่บัวชมพู นางมีรูปโฉมไร้ที่ติเสียจนบัวชมพูที่เป็นผู้หญิงด้วยกันยังเผลอจ้องมองใบหน้านั้นอย่างลืมตัว
นางเป็นใคร แล้วเป็นอะไรกับฝูซิ่นเล่อ?
“เจ้ามาได้อย่างไร” ฝูซิ่นเล่อถามอย่างแปลกใจ
“เอ่อ... นั่งรถม้ามาไง” บัวชมพูยิ้มเจื่อน
“แล้วมาทำอะไร”
“มาหา”
“มาหา? มาหาข้าหรือ?”
คิดว่าเธอจะมาหาใครได้ล่ะ!
“เห็นคนที่จวนบอกว่าวันนี้ท่านจะกลับช้า ข้าก็เลยเอาข้าวมาให้” บัวชมพูเล่า “แต่ไม่รู้ว่าท่านมีแขก ถ้าอย่างนั้นข้ากลับก่อน...”
“เพิ่งมาถึง ไยต้องรีบกลับ” ฝูซิ่นเล่อลุกจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ เดินมาหาบัวชมพู “เจ้าเอาข้าวมาให้ข้ามิใช่หรือ อยู่ไหนล่ะ”
บัวชมพูหันไปรับกล่องข้าวจากไป๋อวี้ แต่ก็ยังไม่วายเหลือบตามองหญิงงามที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม นางมองบัวชมพูพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเป็นรอยยิ้มที่ชวนให้รู้สึกเศร้าอย่างที่บัวชมพูเองก็ไม่เข้าใจ
ฝูซิ่นเล่อเห็นบัวชมพูมองไปยัง ‘สหายเก่า’ ของตน จึงคิดว่าควรแนะนำให้นางได้รู้จัก
“เหลียนเอ๋อร์ นี่คือแม่นางหลัวซินเอ๋อร์ หลานสาวของหนิงอันอ๋องที่เดินทางมาจากต้าเจา” เขาแนะนำ “ซินเอ๋อร์ นี่คือเหลียนเอ๋อร์ญาติข้า”
“ยินดีที่ได้รู้จักแม่นางเหลียนเอ๋อร์” หลัวซินเอ๋อร์ลุกขึ้นแล้วยอบกายให้บัวชมพู
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันเจ้าค่ะ” บัวชมพูยอบกายตอบหลัวซินเอ๋อร์อย่างเก้ๆ กัง ๆ “ข้านำกับข้าวมาสามสี่อย่าง แม่นางอยู่กินด้วยกันนะเจ้าคะ”
“ขอบคุณแม่นางที่มีน้ำใจ แต่วันนี้คงต้องเสียมารยาทแล้ว ข้าคงต้องไปกินข้าวกับท่านตาของข้า” หลัวซินเอ๋อร์พูดพร้อมรอยยิ้มที่ทำให้บัวชมพูเกือบจะตะลึงไป
รอยยิ้มของผู้หญิงคนนี้สามารถฆ่าผู้ชายได้แน่!
หลัวซินเอ๋อร์เดินมาหาบัวชมพูและฝูซิ่นเล่อ ทุกท่วงท่างามสง่าราวราชนิกูลผู้สูงส่ง จนบัวชมพูอดชื่นชมอยู่ในใจไม่ได้ สตรีผู้นี้ไม่ได้งดงามเพียงใบหน้า แต่งดงามในทุก ๆ อิริยาบถ เรียกได้ว่าแค่ขยับตัวก็เปล่งความงามได้อย่างไม่ต้องพยายาม เธอไม่แปลกใจเลยสักนิด หากจะมีผู้ชายฆ่ากันตายเพราะผู้หญิงคนนี้
“ข้าลาเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพ” หลัวซินเอ๋อร์ค้อมศีรษะคำนับฝูซิ่นเล่อ “ลาแล้วเจ้าค่ะ แม่นางเหลียนเอ๋อร์”
“เดินทางปลอดภัย” ฝูซิ่นเล่อกล่าว ก่อนสั่งให้ทหารไปส่งหลัวซินเอ๋อร์ขึ้นรถม้า
“สวยมากเวอร์!” บัวชมพูร้องอย่างตื่นเต้นทันทีที่หลัวซินเอ๋อร์เดินออกไปพ้นกระโจม “แฟนเหรอ”
“พูดจาอะไรให้มันรู้เรื่องรู้ความหน่อย”
“ข้าบอกว่าแม่นางผู้นั้นงามมาก” บัวชมพูอธิบาย “นางเป็นคนรักของท่านเหรอ”
คำถามหลัง น้ำเสียงบัวชมพูแผ่วลงเล็กน้อย เพียงแค่คิดว่าฝูซิ่นเล่อมีคนรักอยู่แล้ว เธอก็รู้สึกคล้ายกับผิดหวังขึ้นมา
“นางเป็นสหายข้า หาใช่คนรัก” คำตอบจากน้ำเสียงเรียบ ๆ ทำให้จิตใจของบัวชมพูเบิกบานขึ้นอย่างประหลาด
“เห็นท่านบอกว่านางมาจากต้าเจา ที่นั่นอยู่ไกลไหม”
“ไกล”
“แล้วนางมาทำอะไร หรือว่ามาหาท่าน”
“ท่านตาของนางมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อถวายรายงานเรื่องในต้าเจา ส่วนนางติดตามมารายงานเรื่องทหารทัพไป๋หู่ที่ข้าส่งไปช่วยเหลือผู้คนในเมืองของนาง” ฝูซิ่นเล่อตอบ “นางรับหน้าที่คอยดูแลเรื่องความเป็นอยู่ของทหารที่ข้าส่งไปน่ะ”
“อ้อ” บัวชมพูพยักหน้ารับ หลัวซินเอ๋อร์ผู้นี้ไม่ใช่แค่สวย แต่ยังเก่งอีกด้วย
“เจ้ากินอะไรมาหรือยัง” ฝูซิ่นเล่อถาม
“ยัง ข้าตั้งใจจะมากินพร้อมท่าน”
“เช่นนั้นก็มาเถอะ” ฝูซิ่นเล่อเดินนำกลับไปที่โต๊ะ คลี่ผ้าที่ห่อกล่องไม้ออก จากนั้นจึงนำกล่องไม้แต่ละชั้นออกมาวางเรียงโดยบัวชมพูคอยช่วย
“ปกติท่านชอบกินอะไรเป็นพิเศษ” บัวชมพูถามขณะที่ทั้งสองนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกัน
“ข้ากินอะไรก็ได้”
“มันต้องมีอะไรที่ชอบมากกว่าอย่างอื่นบ้างสิ”
“อยู่ในกองทัพ มีอะไรให้กินก็ต้องกิน จะมัวมาเลือกกินอยู่ไม่ได้”
“แต่เวลาอยู่ที่จวนก็เลือกได้นี่”
“ข้าเคยชินกับการกินอะไรก็ได้ พ่อครัวทำอะไรมา ข้าก็กินได้ทั้งนั้น”
บัวชมพูย่นจมูกอย่างขัดใจ
“มีอะไรไม่พอใจอีกล่ะ” แม่ทัพหนุ่มถาม
“ท่านนี่นะ กินอยู่ง่ายเกินไปแล้ว”
“แล้วไม่ดีหรือ”
“ข้าแค่อยากให้ท่านมีของที่ชอบกินบ้าง” บัวชมพูตอบ “ไม่มีอะไรที่ชอบแบบนี้ คนอื่นก็เอาใจลำบากสิ”
ฝูซิ่นเล่อยิ้มมุมปาก “เจ้าอยากจะเอาใจข้าหรือ”
“อือ... เอ๊ย! ไม่ใช่ ข้าไม่ได้อยากจะเอาใจท่านสักหน่อย” บัวชมพูรีบร้อนแก้ต่าง เมื่อเผลอตอบรับอย่างลืมตัว
“อย่างนั้นหรือ”
“ก็ต้องอย่างนั้นสิ”
“หึ ๆ” ฝูซิ่นเล่อหัวเราะเบา ๆ “ข้าว่าปลาราดน้ำแดงก็อร่อยดี”
“หืม?” บัวชมพูส่งเสียงในลำคอเป็นเชิงถาม แต่ไม่นานนักก็เข้าใจว่าที่แท้ผู้ชายคนนี้กำลังบอกความชอบของตนให้เธอรับรู้ ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มออกมาก่อนจะถามต่อ
“แล้วขนมล่ะ”
“ข้าไม่ค่อยได้กินขนม เจ้าลองหามาให้ข้าชิมสักสองสามอย่างสิ ข้าจะได้บอกได้ว่าชอบอะไร”
“ได้ แล้วจะลองหามาให้” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงขึ้น
“แล้วเจ้าล่ะ ชอบกินอะไร”
“ขนมเหอฮวาซู” บัวชมพูตอบ “เป็นขนมของเมืองหังโจว ทำจากแป้งที่นำมาซ้อนกันหลายชั้น ไส้ข้างในเป็นมะพร้าว พอเอาไปทอด แป้งที่ซ้อนกันอยู่จะคลี่ออกจากกันกลายเป็นรูปดอกบัว”
“ลองทำให้ข้าชิมหน่อยได้หรือไม่”
“ก็อยากจะทำอยู่หรอกนะ แต่ทำไม่เป็นนี่สิ” บัวชมพูหัวเราะ “เดี๋ยวกลับไปบ้านจะลองฝึกทำ แล้วจะกลับมาทำให้นะ”
“ข้าจะรอ”
ไม่รู้ทำไม คำว่า ‘ข้าจะรอ’ ที่ฝูซิ่นเล่อพูดออกมาเรียบ ๆ จึงทำให้บัวชมพูใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา เธอเงยหน้าขึ้นมองท่านแม่ทัพ พบว่าเขายังก้มหน้าก้มตากินข้าวโดยไม่ได้แสดงท่าทีอะไร เธอจึงคิดจะกินข้าวต่อบ้าง หากไม่ใช่เพราะสายตาสะดุดกับกล่องไม้สลักลายบุปผาอย่างวิจิตรบรรจงที่วางอยู่ใกล้ๆ กันบนโต๊ะ
“นั่นกล่องอะไร สวยจัง” บัวชมพูถาม
“นี่น่ะหรือ” ฝูซิ่นเล่อหยิบกล่องไม้ขึ้นมาแล้วส่งให้บัวชมพู “ซินเอ๋อร์ให้ข้ามาน่ะ ข้าก็ยังไม่ได้เปิดดูเหมือนกัน เจ้าเปิดดูสิ”
“แม่นางท่านนั้นให้ท่าน ท่านก็เปิดเองเถอะ คงไม่เหมาะถ้าจะให้ข้าเปิด”
“ก็ข้าอนุญาตให้เจ้าเปิด ไยจะเปิดไม่ได้”
“เอางั้นเหรอ”
“อืม”
บัวชมพูผ่อนลมหายใจแล้วค่อย ๆ เปิดกล่องไม้นั้นออก กลิ่นหอมลอยออกมาเป็นอย่างแรก บัวชมพูพบว่าภายในกล่องมีถุงหอมปักลายดอกฝูหรงกับตัวอักษรคำว่า ‘ฝู’ เอาไว้หนึ่งชิ้น นอกจากนี้ยังมีผ้าเช็ดหน้าปักลายงดงามอีกหลายผืน แต่ละผืนส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ชวนให้รู้สึกผ่อนคลายยิ่งนัก
“ของพวกนี้ ซินเอ๋อร์เป็นผู้ทำเหรอ?” บัวชมพูเงยหน้าขึ้นมาถาม
“คงอย่างนั้น” ฝูซิ่นเล่อตอบ “ได้ยินว่านางชื่นชอบงานเย็บปักถักร้อย”
“อ้อ”
บัวชมพูก้มลงมองของที่อยู่ในกล่องไม้อีกครั้ง พลันนึกไปถึงนาฬิกาข้อมือที่เธอนำมาให้ฝูซิ่นเล่อ แม้มันจะเป็นของมีราคา แต่เมื่อเทียบกับของที่หลัวซินเอ๋อร์เป็นผู้ทำด้วยตัวเองแล้ว นาฬิกาของเธอก็เทียบไม่ติดเลยสักนิด มูลค่าของมันมิอาจเทียบกับความตั้งใจจากการปักทุกฝีเข็มลงบนผ้าที่หลัวซินเอ๋อร์ทำให้ฝูซิ่นเล่อได้
“นี่ท่านโหว ท่านแม่ทัพ” บัวชมพูเรียก “ท่านว่าซินเอ๋อร์งามหรือไม่”
“หืม?” ฝูซิ่นเล่อส่งเสียงในลำคอเป็นเชิงถาม “ทำไมหรือ”
“ก็... ข้าว่านางงามมาก เลยอยากรู้ว่าคนอื่นคิดเหมือนข้าหรือเปล่า”
“ผู้ใดที่มีตาย่อมต้องบอกว่านางงดงามทั้งนั้นละ” ฝูซิ่นเล่อตอบ “นางเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของต้าเจา ทุกคนต่างกล่าวกันว่านางงามเป็นหนึ่งไม่มีสอง บุรุษทั่วไปต่างหมายปองนาง แต่นางก็ยังไม่ยอมตอบรับคำสู่ขอของใคร”
บัวชมพูนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนคลี่ยิ้มจาง ๆ ทว่าเป็นรอยยิ้มที่ดูเศร้าจนน่าสงสาร
“นาน ๆ ทีจะได้ยินท่านเอ่ยชมใครเช่นนี้” หญิงสาวว่า “ท่านคงชอบนางไม่น้อย”
“ชอบหรือ?” ฝูซิ่นเล่อทวนคำ
“หากข้าเป็นท่านก็คงชอบนางเหมือนกันนั่นแหละ ทั้งสวย ทั้งเก่ง ชาติตระกูลก็ดี ไม่ชอบนี่สิแปลก”
ฝูซิ่นเล่อรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลในน้ำเสียงและสีหน้าท่าทางของบัวชมพู ทั้งที่นางกำลังยิ้มอยู่ แต่เขากลับรู้สึกปวดใจกับรอยยิ้มนั้นอย่างไรชอบกล
“เหลียนเอ๋อร์...”
“ข้ากลับดีกว่า จะได้ไม่รบกวนท่านทำงาน” บัวชมพูลุกขึ้นยืน
“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า” ฝูซิ่นเล่อลุกขึ้นยืนตาม
“เปล่านี่” หญิงสาวแสร้งฉีกยิ้มกว้างให้ “ข้าจะเป็นอะไร”
ฝูซิ่นเล่อถอนหายใจออกมาเบา ๆ
“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็น แต่เอาเถิด มีอะไรค่อยกลับไปคุยกันที่จวน”
“...”
“แล้วข้าจะรีบกลับ”
บัวชมพูเพียงพยักหน้ารับ แล้วเดินออกไปขึ้นรถม้าโดยฝูซิ่นเล่อตามออกมาส่ง ชายหนุ่มไม่เข้าใจว่าเหตุใดบัวชมพูที่ดูร่าเริงในคราแรก จึงได้มีท่าทางเศร้าหมองเช่นนี้
หรือจะเป็นเพราะเรื่องของหลัวซินเอ๋อร์
“เพราะซินเอ๋อร์ใช่หรือไม่ ที่ทำให้เจ้าไม่สบายใจ” ฝูซิ่นเล่อกระซิบถามก่อนที่บัวชมพูจะก้าวขึ้นรถม้า หญิงสาวชะงักฝีเท้าแล้วนิ่งไป แต่ก็ไม่ได้หันกลับมามองคนถาม
“แล้วข้าจะกลับไปเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับนางให้เจ้าฟัง”
บัวชมพูไม่ได้ตอบอะไร เธอก้าวขึ้นรถม้าโดยมีฝูซิ่นเล่อช่วยประคอง ความรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่นไม่เคยปรากฏในความคิดของเธอมาก่อน แต่ยามนี้มันกำลังเล่นงานจิตใจของเธอจนแทบอยากจะร้องไห้
ทำไมกันนะ ทำไมจึงเป็นแบบนี้...
