บทที่ 7 แม่ทัพแห่งทัพหลาง
บัวชมพูโผล่ขึ้นมาจากสระบัวเรือนเหลียนฮวาพร้อมกับกระเป๋ากันน้ำใบใหญ่ ไป๋อวี้ที่ออกมานั่งคอยเธอรีบเข้ามาช่วยรับของ และช่วยบัวชมพูให้ขึ้นมาจากสระ
“คราวนี้ข้าหายไปกี่วัน” หญิงสาวถามทันทีที่ขึ้นมาได้
“คืนเดียวเจ้าค่ะ” ไป๋อวี้ตอบแล้วรีบนำผ้ามาห่มให้บัวชมพู
“คืนเดียวเหรอ เหมือนครั้งที่แล้วเลยแฮะ”
“ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่าเจ้าค่ะ ข้าเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้แล้ว”
“เตรียมไว้แล้วเหรอ” บัวชมพูถามอย่างประหลาดใจ
ไป๋อวี้รู้หรือว่าเธอจะกลับมาเมื่อไหร่ จึงได้เตรียมน้ำอุ่นไว้รอ
“ท่านแม่ทัพสั่งให้ข้าเตรียมน้ำอุ่นไว้ เผื่อแม่นางกลับมาน่ะเจ้าค่ะ”
ที่แท้เป็นเขานี่เอง
ความใส่ใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ของฝูซิ่นเล่อทำให้บัวชมพูอดยิ้มไม่ได้ หญิงสาวมองไปรอบ ๆ ก่อนเอ่ยถามถึงแม่ทัพหนุ่ม
“แล้ววันนี้เขาอยู่ที่จวนหรือเปล่า”
“ท่านแม่ทัพออกไปประชุมแต่เช้าเจ้าค่ะ”
“อ้อ”
“ท่านแม่ทัพบอกว่าจะกลับช้า เพราะแม่ทัพหม่าแห่งทัพหลางเพิ่งกลับมาจากชายแดน ท่านแม่ทัพจึงจะออกไปสังสรรค์กับแม่ทัพหม่าเจ้าค่ะ”
“งั้นเดี๋ยวเราออกไปเดินตลาดกันได้ไหม ข้าอยากไปเดินดูของสักหน่อย”
“ได้เจ้าค่ะ” ไป๋อวี้ตอบรับ “แต่ก่อนอื่นข้าว่าแม่นางไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า ประเดี๋ยวจะไม่สบาย”
“โอเค” บัวชมพูรับคำอย่างลืมตัว
“แม่นางว่าอะไรนะเจ้าคะ”
“อ้อ เอ่อ... ข้าจะบอกว่าได้น่ะ”
“เช่นนั้นเชิญแม่นางเจ้าค่ะ”
บัวชมพูเดินตามไป๋อวี้ไปที่ห้อง รออยู่ครู่หนึ่งเด็กสาวก็ยกน้ำร้อนเข้ามาให้ ทั้งยังช่วยดูแลปรนนิบัติเธอเป็นอย่างดีเหมือนทุกครั้ง ไม่ว่าจะอาบน้ำหรือแต่งตัว ล้วนไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่ไป๋อวี้ทำไม่สำเร็จเสียที
เกล้าผมให้เธอ
เดิมทีบัวชมพูเป็นคนชอบปล่อยผมอยู่แล้ว ยิ่งยามนี้เส้นผมยังไม่แห้งสนิทก็ยิ่งไม่อยากเกล้า ไป๋อวี้จนใจ ไม่รู้จะทำอย่างไรให้บัวชมพูยอมเกล้าผม จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย ให้หญิงสาวปล่อยผมยาวสยายเกือบถึงเอวโดยไม่สามารถคัดค้านอะไรได้
“ข้ามีของมาฝากเจ้าด้วย” บัวชมพูลงนั่งขัดสมาธิบนพื้น แล้วเปิดกระเป๋ากันน้ำที่เธอหอบมาด้วย “อันนี้เป็นออยล์ เอ่อ... น้ำมันบำรุงผิวหน้า ที่นี่อากาศหนาว ทาน้ำมันบำรุงผิวจะได้ไม่แห้งแตก”
“ขอบคุณแม่นางเจ้าค่ะ” ไป๋อวี้ขอบคุณจากใจ ขณะรับขวดน้ำมันบำรุงผิวจากฝรั่งเศสมาไว้ในมือ
“ส่วนอันนี้ผ้าอนามัย เอาไว้ใช้ตอนมีประจำเดือน”
“มีอะไรนะเจ้าคะ”
“อ่า...” บัวชมพูแทบจะหัวเราะออกมา ลืมไปเสียสนิทว่าตนไม่รู้คำศัพท์ หญิงสาวจึงใช้วิธีอธิบายเป็นคำพูดแทน เมื่อไป๋อวี้ได้ฟังก็หน้าแดง แต่ก็ยอมรับผ้าอนามัยจากบัวชมพูแต่โดยดี
“อันนี้เอามาฝากท่านแม่ทัพของเจ้า จะชอบหรือเปล่าก็ไม่รู้” มือบางหยิบของที่เตรียมมาให้ฝูซิ่นเล่อออกจากกระเป๋าแล้วพิจารณา
เลือกของให้ผู้ชายง่ายเสียเมื่อไหร่ พวกแก๊งสัปดนแต่ละคนก็พึ่งไม่ได้ คอยแต่จะแนะนำของลามกให้เธอเอามาฝากท่านแม่ทัพ
“ของที่แม่นางมอบให้ ท่านแม่ทัพต้องชอบอยู่แล้วเจ้าค่ะ” ไป๋อวี้ว่า
“เป็นอย่างนั้นจริงก็ดีน่ะสิ” บัวชมพูถอนหายใจ รู้สึกกังวลในใจอย่างอธิบายไม่ถูก กลัวว่าเขาจะไม่ชอบของที่เธอหามาให้
“ช่างเถอะ เดี๋ยวเขามาก็รู้เองแหละ พวกเราออกไปตลาดกันดีกว่า”
“เจ้าค่ะ”
บัวชมพูเดินนำไป๋อวี้ออกมาจากเรือนเหลียนฮวา แล้วก็ต้องแปลกใจ เมื่อพบว่ามีชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดทหารยืนรออยู่ เขาส่งยิ้มเป็นมิตรให้เธอก่อนค้อมศีรษะ
“แม่นางเหลียน ข้าน้อยเฉินจือหาน องครักษ์ของท่านแม่ทัพขอรับ” เขาแนะนำตัว
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ” บัวชมพูยิ้มตอบ
“ข้าน้อยรับคำสั่งท่านแม่ทัพให้มาคอยดูแลแม่นาง เผื่อว่าแม่นางอยากออกไปเดินตลาดหาซื้อของใช้ส่วนตัว”
“แค่ไปตลาดเอง จำเป็นต้องมีองครักษ์ด้วยเหรอ” บัวชมพูถาม
“จำเป็นเจ้าค่ะ” ไป๋อวี้เป็นผู้ตอบ “คุณหนูตระกูลใหญ่หรือผู้มีฐานะ ไปไหนมาไหนย่อมต้องมีผู้ติดตามเพื่อความปลอดภัย ยิ่งแม่นางงดงามเพียงนี้ ก็ยิ่งต้องมีองครักษ์ติดตามเจ้าค่ะ”
บัวชมพูทำสีหน้าปลาบปลื้มอย่างไม่เก็บอาการ ส่งเสียงในลำคอเบา ๆ ด้วยความดีใจ
มีคนชมว่าหนูสวยค่ะแม่!
ไป๋อวี้กับเฉินจือหานมองหน้ากัน หากเป็นสตรีอื่นคงฝืนเก็บความรู้สึกหรือไม่ก็แสดงท่าทีเอียงอาย แต่แม่นางเหลียนผู้นี้กลับแสดงท่าทีปลื้มอกปลื้มใจชัดเจน
“งั้นไปกันเถอะ คนงามอยากไปเที่ยวแล้ว”
พูดจบก็เดินนำสาวใช้กับองครักษ์ไปอย่างอารมณ์ดี คนติดตามได้แต่งุนงงกับท่าทางนั้น แล้วเดินตามร่างบางระหงไปอย่างเงียบ ๆ
เมื่อมาถึงตลาด บัวชมพูก็ตกเป็นเป้าสนใจของผู้คน หนก่อนเธอคิดว่าคนอื่นมองฝูซิ่นเล่อ แต่วันนี้เขาไม่ได้มาด้วย เธอก็ยังถูกมองอยู่ดี
อย่างว่าแหละ สวย! คนถึงได้มอง
หญิงสาวโปรยยิ้มให้ผู้คนไปทั่ว ไม่เกี่ยงว่าจะเป็นคนแก่ เด็กเล็ก ผู้หญิงหรือผู้ชาย ขอแค่เป็นคนเธอก็ยิ้มให้หมด ไม่ทันได้คิดว่าในวัฒนธรรมประเพณีเช่นนี้ การกระทำของตนอาจเรียกได้ว่าเป็นการ ‘เล่นหูเล่นตา’ ทำให้สตรีส่วนใหญ่ที่มองมาไม่พอใจเท่าไรนัก
ใช่ว่าบัวชมพูไม่รู้ตัวว่าสายตาบางคู่ที่มองมานั้นไม่เป็นมิตร แต่หญิงสาวก็คร้านจะสนใจ เพราะสิ่งที่ดึงดูความสนใจของเธอมากที่สุดในยามนี้ คงหนีไม่พ้นของกินแปลกใหม่และเสื้อผ้างดงามของผู้คนในเมือง เห็นอะไรก็อยากใส่ไปหมด โดยเฉพาะเสื้อผ้าของพวกคุณหนูตระกูลใหญ่ทั้งหลายที่เธอเจอในร้านขายเครื่องประดับ แต่ละคนสวมชุดหรูหราปักลวดลายงดงามอย่างน่าอิจฉา
กระทั่งถึงยามเย็น ทั้งบัวชมพู ไป๋อวี้ และเฉินจือหานต่างก็หอบข้าวของพะรุงพะรังเต็มไม้เต็มมือ นี่ยังไม่นับรวมกับของที่สั่งให้ไปส่งที่จวนอีก แต่ทั้งที่ซื้อของไปเยอะขนาดนี้แล้ว เงินที่ฝูซิ่นเล่อทิ้งไว้กับไป๋อวี้กลับหมดไปไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ
ในระหว่างที่ทั้งสามคนกำลังจะกลับจวน บัวชมพูก็เหลือบไปเห็นตึกหลังหนึ่งที่ประดับโคมไฟงดงาม ทางเข้ามีการรักษาความปลอดภัยเข้มงวด บุรุษท่าทางมีฐานะทยอยกันเดินเข้าไปไม่ขาดสาย
ถ้าให้เธอเดา ที่นี่ต้องเป็นหอคณิกาอย่างแน่นอน
“นั่นใช่หอคณิกาหรือเปล่า” บัวชมพูถามไป๋อวี้
“เจ้าค่ะ นั่นคือเรือนชมจันทร์ หอคณิกาชื่อดังของเมืองหลวง แขกที่มาเยือนล้วนเป็นผู้มีฐานะทั้งสิ้น”
“แล้วท่านแม่ทัพล่ะ ชอบมาที่นี่หรือเปล่า”
“ข้าหาใช่คนมักมากในกามตัณหา” เสียงเข้มดังขึ้นจากด้านหลัง
เมื่อบัวชมพูหันไปมองก็พบกับฝูซิ่นเล่อ วันนี้เขาสวมชุดขุนนางขั้นหนึ่ง ท่าทางองอาจกล้าหาญ งามสง่าสมเป็นบุรุษชั้นสูง แต่สีหน้าบึ้งตึงและดวงตาที่ฉายแววไม่พอใจนั้น ทำให้บัวชมพูหมดอารมณ์จะชื่นชมความหล่อเหลาของเขาในยามนี้
“นี่คือเพิ่งออกมาหรือกำลังจะเข้าไป” หญิงสาวแกล้งถามยียวน
“ไม่ได้เพิ่งออกมาและไม่ได้จะเข้าไป”
“งั้นมาทำอะไร”
“ข้ากับสหายบังเอิญผ่านมา เห็นเจ้าวิ่งเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ จึงได้เดินมาดู”
เมื่อได้ยินคำว่าสหาย บัวชมพูก็มองไปทางด้านหลังฝูซิ่นเล่อ พบว่ามีบุรุษร่างสูงพอ ๆ กับเขายืนอยู่ด้วย ชายหนุ่มผู้นั้นก้าวขึ้นมายืนข้างท่านแม่ทัพของเธอ ก่อนเอ่ยเข้าข้างสหายของตน
“ซิ่นเล่อหาได้คิดจะเข้าไปในเรือนชมจันทร์ หากแม่นางไม่เชื่อ ข้าหม่าเซียวหลานช่วยเป็นพยานให้ได้”
ฝูซิ่นเล่อกระแอมเบา ๆ ก่อนเอ่ยแนะนำ
“นี่คือแม่ทัพหม่าเซียวหลาน แม่ทัพใหญ่แห่งทัพหลาง กองทัพทิศประจิมแห่งต้าจิน” ฝูซิ่นเล่อพูดเสียงเรียบ “ส่วนนี่หวังเหลียนเอ๋อร์ ญาติข้าที่มาจากต่างเมือง”
บัวชมพูเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เธอใช้แซ่หวังตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
ไปอวี้อมยิ้ม เนื่องด้วยแซ่หวังเป็นแซ่ของมารดาฝูซิ่นเล่อ การเอ่ยแนะนำว่าบัวชมพูเป็นญาติฝั่งมารดาที่มาอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน อาจทำให้คนฟังคาดเดาความสัมพันธ์ของทั้งสองไปมากกว่าการเป็น ‘ญาติ’ กันก็เป็นได้
“ยินดีที่ได้รู้จักแม่นางหวัง” หม่าเซียวหลานกล่าว
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันเจ้าค่ะ” หญิงสาวฉีกยิ้มกว้าง
หม่าเซียวหลานเผยรอยยิ้มใจดีออกมา ก่อนหันไปพูดกับฝูซิ่นเล่อที่มีสีหน้าเรียบเฉย
“คบหาเป็นสหายกันมานาน ไม่เห็นเจ้าเคยเล่าให้ข้าฟังว่ามีญาติที่เป็นหญิงงามสะคราญโฉมเช่นนี้”
“ตาท่านมีปัญหาหรือไร หญิงอัปลักษณ์เช่นนี้กลับบอกว่าเป็นหญิงงามสะคราญโฉม”
“ตาท่านสิมีปัญหา” บัวชมพูแย้งขึ้น “หรือไม่ก็รสนิยมในการมองความงามของผู้หญิงคงพังไปแล้ว”
“ข้าฟังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ที่พอจับใจความได้ คล้ายกับว่าเจ้าจะเถียงซิ่นเล่อที่ว่าเจ้าไม่งามหรือ” หม่าเซียวหลานถามอย่างขบขัน
“ก็เขาชอบว่าข้าอัปลักษณ์”
“แล้วไม่จริงตรงไหน” ฝูซิ่นเล่อถาม
“ถ้าข้าไม่งาม โลกนี้ก็ไม่มีหญิงใดงามอีกแล้วละ”
สิ้นสุดคำพูดของบัวชมพู หม่าเซียวหลานก็หัวเราะพรืดออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เกิดมายี่สิบหกปี เพิ่งเคยได้ยินสตรีเอ่ยวาจาชื่นชมตนเองด้วยความมั่นอกมั่นใจโดยไม่มีท่าทีเหนียมอายเช่นนี้ ทั้งไป๋อวี้และเฉินจือหานต่างพากันก้มหน้า พยายามอย่างมากที่จะไม่หัวเราะออกมา
“แต่ละคำที่พูดออกมา เจ้ารู้จักอายบ้างไหม” แม้แต่ฝูซิ่นเล่อเองก็ต้องใช้ความพยายามไม่น้อยในการตีสีหน้าเย็นชา
“ไม่” บัวชมพูส่ายหน้า ยิ้มให้กับความ ‘มั่นหน้า’ ของตัวเอง “แล้วนี่จะกลับหรือยัง” หญิงสาวถาม เมื่อเห็นว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว
“ข้ากำลังจะไปที่จวนแม่ทัพหม่า เจ้ากลับไปก่อนเถิด”
“อุตส่าห์ได้มาเจอกัน ไยไม่ชวนนางไปร่วมกินข้าวพูดคุยกับเราด้วยล่ะ” หม่าเซียวหลานถาม “แม่นางหวัง หากข้าจะขอเชิญแม่นางไปร่วมรับประทานมื้อเย็นที่จวนข้า จะว่าอย่างไร”
“ได้เจ้าค่ะ” บัวชมพูตอบรับ เพราะเห็นว่าอย่างไรเสียฝูซิ่นเล่อก็ไปด้วย แต่ที่เธอไม่ทันได้สังเกตก็คือนัยน์ตาที่เยือกเย็นลงของเขา แม้เขาจะไม่ได้กล่าวอะไรและไม่ได้มีทีท่าไม่พอใจ แต่ทั้งไป๋อวี้และเฉินจือหานต่างก็รู้สึกได้ถึงไอสังหารที่แผ่ออกมาจากกายของผู้เป็นนาย
นี่เรียกว่าอาการหึงหวงหรือไม่?
หม่าเซียวหลานหัวเราะออกมาเบา ๆ กับคำตอบรับอันแสนจะง่ายดายของบัวชมพู จากนั้นทั้งหมดจึงตรงไปยังจวนแม่ทัพหม่าตามคำชวนของเจ้าของจวน
เดิมทีฝูซิ่นเล่อคิดว่าเขากับสหายที่ไม่ได้พบปะกันมานาน คงมีเรื่องให้พูดคุยสังสรรค์กันมากมาย ทว่าเมื่อมีบัวชมพูติดตามมาด้วย เรื่องที่อยากคุยในคราแรกก็กลายเป็นไม่อยากคุย สุราชั้นดีที่เคยชื่นชอบก็ไม่รู้สึกอยากดื่ม กระทั่งอาหารเลิศรสตรงหน้าก็กินไปเพียงเล็กน้อย ราวกับไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก
ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ฝูซิ่นเล่อก็กล่าวลาหม่าเซียวหลานกลับจวน ทั้งที่แทบไม่ได้สนทนากันตามที่วางแผนไว้ เหตุเพราะบัวชมพูเริ่มพูดจาไม่รู้เรื่องด้วยฤทธิ์ของสุราที่หม่าเซียวหลานคอยเติมให้ไม่ขาด แต่ไหนแต่ไรมา หญิงสาวก็ดื่มเหล้ากับเพื่อนเป็นเรื่องปกติ ยามนี้ได้มาเจอยอดสุราที่หมักบ่มด้วยกรรมวิธีโบราณ จึงเผลอดื่มเข้าไปในปริมาณมากจนใบหน้าเริ่มแดงก่ำ นัยน์ตาฉ่ำหวาน กระทั่งน้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็ฟังดูออดอ้อนกว่าปกติ แน่นอนว่าฝูซิ่นเล่อไม่ปรารถนาจะให้นางแสดงท่าทางเช่นนี้ต่อหน้าบุรุษอื่น เขาจึงสลัดหัวข้อสนทนาต่าง ๆ ในหัวทิ้ง แล้วหาทางพานางกลับจวนให้เร็วที่สุด
เมื่อกลับมาถึงจวนสกุลฝู ฝูซิ่นเล่อก็กระโดดลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็ว แล้วรีบเดินตรงไปยังรถม้าที่บัวชมพูนั่งอยู่
“ท่านแม่ทัพเจ้าคะ แม่นางเหลียนหลับไปแล้วเจ้าค่ะ” ไป๋อวี้เปิดผ้าม่านออกมารายงานผู้เป็นนายด้วยสีหน้าหนักใจ “ข้าพยายามปลุกนางแล้ว แต่...”
“ช่างเถอะ” ฝูซิ่นเล่อตัดบท ก่อนก้าวขึ้นรถม้าเพื่ออุ้มบัวชมพูลงมา
หลังจากที่อุ้มบัวชมพูลงมาจากรถม้าแล้ว ฝูซิ่นเล่อก็ก้าวไปยังเรือนเหลียนฮวาอย่างรวดเร็ว เพราะไม่อยากให้คนในอ้อมแขนต้องตากน้ำค้างนาน เพียงระยะเวลาสั้น ๆ เขาก็มาถึงห้องนอนของเธอจนได้ สองแขนแข็งแรงค่อย ๆ บรรจงวางร่างเล็กลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล
แม่ทัพหนุ่มนั่งอยู่บนเตียง มองบัวชมพูที่หลับไม่รู้เรื่องแล้วระบายรอยยิ้มออกมา จากนั้นจึงยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็กแผ่วเบา สัมผัสนั้นทำให้บัวชมพูส่งเสียงครางออกมาอย่างพอใจ คล้ายลูกแมวน้อยที่ชอบให้เจ้าของลูบหัว รอยยิ้มของฝูซิ่นเล่อเด่นชัดขึ้นกว่าเก่า บรรจงลูบศีรษะคนที่กำลังหลับอยู่เป็นนาน
“ยามหลับก็ดูไม่อัปลักษณ์เท่าไหร่” ฝูซิ่นเล่อพึมพำ
“ข้าไม่ได้อัปลักษณ์!” คนถูกว่าเถียงออกมาทั้งที่ยังหลับ
แม่ทัพหนุ่มหัวเราะออกมาเบา ๆ แม้ในยามที่ไม่รู้สึกตัวเช่นนี้ นางก็ยังเถียงเขาว่าตนไม่ได้อัปลักษณ์ ริมฝีปากเล็กเชิดรั้นขึ้น หัวคิ้วก็ขมวดเข้าหากันคล้ายเด็กน้อยที่กำลังไม่พอใจ
น่าเอ็นดูยิ่งนัก
ฝูซิ่นเล่อเบือนหน้าหนีแล้วตัดสินใจลุกขึ้นยืน เพราะหากเขายังขืนนั่งหยอกเย้านางเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจะพลั้งเผลอล่วงเกินนางได้
“ดูแลนางให้ดี” แม่ทัพหนุ่มหันมาสั่งสาวใช้
“เจ้าค่ะ” ไป๋อวี้รับคำ
ฝูซิ่นเล่อไม่ได้พูดอะไรอีก เขาคิดจะเดินออกจากห้องบัวชมพู แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเท้า ก็ได้ยินเสียงคนบนเตียงร้องเรียก
“ซิ่นเล่อ”
“หืม?” ชายหนุ่มหันกลับไปมอง บัวชมพูยังหลับสนิท เสียงที่เปล่งออกมานั้นคาดว่าเจ้าตัวคงละเมอ
นี่นางฝันถึงเขาหรือ?
“ฝูซิ่นเล่อ” บัวชมพูเรียกซ้ำ ฝูซิ่นเล่อจึงโน้มตัวลงไปหานาง
“มีอะไร” เสียงนุ่มเอ่ยถาม
“ข้าไม่ได้อัปลักษณ์นะ”
ชายหนุ่มถึงกับหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ดูท่าว่านางจะไม่ยอมรับจริง ๆ ที่ต้องถูกเขาเรียกว่าหญิงอัปลักษณ์ แต่จะให้เขากล่าวชมนางซึ่ง ๆ หน้า ก็เกรงว่าจะทำให้นางได้ใจ ขนาดเขาไม่เคยชม นางยังกล่าวชมตัวเองอยู่ได้ทุกวัน หากเขาพลั้งปากเอ่ยชมนางออกไปสักครั้ง คงไม่ต้องสงสัยว่านางจะยิ่งชื่นชมกับความงามของตนมากเพียงใด
คงจะมีเพียงยามหลับเท่านั้นกระมัง ที่เขาจะสามารถพูดให้นางยินดีได้
“ใช่ เจ้าไม่ได้อัปลักษณ์” ฝูซิ่นเล่อก้มลงกระซิบที่ข้างหูของหญิงสาว “ในสายตาข้า หามีผู้ใดงดงามและน่าเอ็นดูเกินไปกว่าเจ้าอีกแล้ว”
พูดจบชายหนุ่มก็ประทับจุมพิตลงบนผิวแก้มเนียนนุ่ม คนถูกจูบยิ้มออกมาอย่างพอใจ เดาไม่ออกว่าพอใจที่เขาเอ่ยชมหรือพอใจที่ถูกจูบแก้มกันแน่
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ยามนี้นางก็กำลังยิ้มให้เขาอยู่
