บทที่ 6 ปิ่นดอกบัว
บัวชมพูเพิ่งตระหนักได้ว่าเธอทำผิดพลาดครั้งใหญ่ โดยการลืมเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนกลับมาบ้าน
เพราะเหตุนี้ หญิงสาวจึงต้องลากชุดที่อุ้มน้ำจนหนักไปทั้งตัวขึ้นมาจากสระบัว ชุดสีขาวสะอาดที่เดิมทีเคยเป็นของฝูซิ่นฮวาเลอะเทอะไปหมด ร่างเล็กตะกายขึ้นจากน้ำอย่างยากลำบาก พลางครุ่นคิดว่าจะหลบเข้าบ้านอย่างไรดี โดยไม่ให้คนในบ้านเห็นว่าเธอสวมชุดอะไรอยู่ แต่ยังคิดไม่ทันออกก็มีคนมาพบเธอเข้าจนได้
“คุณหนู ลงไปทำอะไรในสระบัวคะ แล้วนั่นใส่ชุดอะไร!” รวิวรรณ แม่บ้านวัยห้าสิบปีร้องอย่างตกใจ เมื่อเดินออกมาตามบัวชมพูแล้วเห็นเธอกำลังตะกายขึ้นมาจากสระบัว
“คือ... บัวจะลงไปเก็บดอกบัวน่ะค่ะ แต่ยิ่งลงไปมันก็ยิ่งลึก บัวก็เลยไม่เอาดีกว่า”
“แล้วนั่นชุดอะไรคะ”
“ชุด...ชุดใหม่ของบัวค่ะ สั่งมาจากจีน”
“โธ่ แล้วเอามาใส่เลอะเทอะแบบนี้ เสียดายแย่”
“แหะ ๆ” บัวชมพูหัวเราะแห้ง ๆ “ป้าวรรณคะ บัวออกมาจากบ้านนานเท่าไหร่แล้วคะ”
“เพิ่งออกมานี่คะ เมื่อกี้ป้ายังเห็นคุณหนูใส่เสื้อเชิตกับกางเกงขาสั้น นี่แอบไปเปลี่ยนตอนไหน”
เพิ่งออกมา? หมายความว่าเธอกลับมาเวลาเดิมก่อนที่จะไปหาฝูซิ่นเล่องั้นเหรอ
“วันนี้วันที่เท่าไหร่คะ”
“วันที่ 31 พฤษภาไงคะ” รวิวรรณตอบ พลางมองบัวชมพูอย่างแปลกใจ
อยู่ดี ๆ คุณหนูเป็นอะไร ถึงขั้นลืมวันลืมคืน หรือว่ายังสะเทือนใจเรื่องงานแต่งงานอยู่
“อ้อ วันเดิม” บัวชมพูพึมพำ
ครั้งแรกที่เธอไปจวนสกุลฝู เธอกลับมาในช่วงเวลาเดิมกับที่จากไป ส่วนครั้งนี้เธอไปที่นั่นถึงสามวัน แต่ก็ยังคงกลับมาในช่วงเวลาเดิมอยู่ดี คราวหน้าเธอจะลองไปสักอาทิตย์หนึ่ง ถ้ายังกลับมาเวลาเดิมอีก เธอจะไปอยู่เล่นที่นั่นสักเดือนสองเดือนเลย
“เข้าบ้านเถอะค่ะ วันนี้วิ่งขึ้นวิ่งลงสระบัวสองรอบแล้ว เดี๋ยวจะไม่สบาย” รวิวรรณว่า
“ค่ะ” บัวชมพูตอบรับโดยง่าย แล้วเดินเข้าไปในบ้านเพื่อเผชิญกับสายตางุนงงของทุกคน
“อย่าบอกนะว่าเพิ่งกระโดดลงสระบัวอีกรอบ” บดินทร์ถามเมื่อเห็นสภาพของพี่สาว
“อือ”
“แล้วนึกยังไงใส่ชุดนั้นลงไป” บดินทร์พิจารณาบัวชมพูตั้งแต่หัวจดเท้า
“พอดีอินกับซีรีส์ที่ดูเมื่อคืน” ขนาดเธอตอบเอง ยังรู้สึกว่าฟังไม่ขึ้นอย่างไรชอบกล “ไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวมา”
“รีบไปเหอะ เหม็นโคลนไปทั้งบ้านแล้ว”
บัวชมพูรีบไปอาบน้ำอาบท่าเสียใหม่ ได้แต่ขอโทษแม่บ้านอยู่ในใจที่ต้องมาเช็ดถูคราบโคลนที่เธอทำเลอะเป็นครั้งที่สองของวัน ทั้งยังขอโทษไปล่วงหน้าว่า จากนี้ไปเธอคงทำให้บ้านเลอะอยู่บ่อย ๆ อย่างแน่นอน
ครึ่งชั่วโมงต่อมา บัวชมพูก็เดินลงบันไดมา พ่อ แม่ และน้องชายของเธอกำลังพูดคุยกันเรื่องวรกานต์ ดูเหมือนแก๊งสัปดนที่กลับไปแล้วเพิ่งจะโทรศัพท์มานัดแนะกับบดินทร์ให้ออกไปเล่นงานอดีตคนรักของเธอด้วยกัน
“ไม่ต้องไปหรอก เสียมือเปล่า ๆ” บัวชมพูว่า “เดี๋ยวฉันโทร. ไปบอกพวกแก๊งสัปดนเอง”
“ไม่ก็ไม่” บดินทร์เอนหลังพิงโซฟา “แล้วนี่จะไปกระโดดลงสระบัวอีกไหม”
“ไม่ละ เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยลงใหม่” บัวชมพูตอบทีเล่นทีจริง
“ดูเหมือนเราไม่ค่อยจะเสียใจเรื่องว่าน” บวรณ์เอ่ยถามบุตรสาวที่ดูไม่ได้ทุกข์ร้อนกับเรื่องวุ่นวายที่เพิ่งผ่านไป
“ไม่รู้สิคะ ก็เหมือนจะเสียใจ แต่ก็เหมือนไม่ได้เสียใจ” เธอตอบผู้เป็นพ่อ คล้ายกำลังงุนงงในความรู้สึกของตัวเธอเองเช่นกัน
บัวชมพูกับวรกานต์คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียน เธอเรียนด้านอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ ในขณะที่วรกานต์เรียนนิเทศศาสตร์ ทั้งสองไม่น่ามีโอกาสมารู้จักกันได้ หากไม่ใช่เพราะเธอเมา แล้วเดินเข้าไปจีบเขาที่บังเอิญเจอกันใน Funky Villa ตามคำท้าของเพื่อน หลังจากทราบว่าเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน เขาก็เริ่มตามมาหาเธอที่คณะ จากที่เธอเข้าไปจีบเขาเพราะเมา ก็กลายเป็นเขาจีบเธอเพราะชอบขึ้นมาจริง ๆ
วรกานต์เป็นหนึ่งในผู้ชายเพียงไม่กี่คนที่กล้าฝ่าด่านแก๊งสัปดนเข้ามาจีบบัวชมพู และทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับนิสัยทะลึ่งทะเล้นของเธอ เขาทำให้เธอรู้สึกชอบเขาได้สำเร็จ จากนั้นไม่นานทั้งสองก็ตกลงคบกัน และเมื่อเรียนจบก็ตัดสินใจแต่งงานกัน แต่ใครจะรู้ว่าตลอดระยะเวลาที่คบกับบัวชมพู วรกานต์ที่มองผิวเผินเหมือนผู้ชายแสนดีจะลอบมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่นจนตั้งครรภ์ถึงสามคน
คิดจะมั่วแต่ไม่รู้จักป้องกัน ดีว่าเธอยังไม่เคยนอนกับเขา ไม่อย่างนั้นป่านนี้คงต้องมานั่งระแวงว่าตัวเองจะติดโรคจากผู้ชายคนนี้บ้างหรือเปล่า
“ถ้าเป็นอย่างที่พูดก็ดี” บวรณ์พยักหน้ารับ เพราะเท่าที่เขาพิจารณา ลูกสาวของเขาก็ดูเหมือนจะไม่ได้เสียใจสักเท่าไหร่
บางทีเด็กคนนี้อาจจะยังไม่รู้จักกับความรักที่แท้จริงก็ได้
“จริงสิคะ บัวมีเรื่องจะถาม”
“อะไร”
“สระบัวบ้านเรามีมานานหรือยังคะ”
“ตั้งแต่บัวเกิด” บัวบุษยาเป็นผู้ตอบ “คุณยายของบัวบอกให้พ่อกับแม่ทำสระบัวเป็นของขวัญให้บัวน่ะ”
“คุณยายเหรอคะ” บัวชมพูครุ่นคิดตาม
คุณยายของเธอเป็นชาวจีนที่ได้แต่งงานเข้ามาอยู่ในเมืองไทย ท่านเพิ่งเสียชีวิตตามคุณตาได้ไม่นานนัก บัวชมพูยังจำได้ว่าหลายปีก่อนที่ท่านจะเสีย ท่านป่วยเป็นอัลไซเมอร์และลืมภาษาไทย พูดแต่ภาษาจีนเท่านั้น ทำให้เธอกับคนในบ้านใช้ภาษาจีนได้ดีในระดับหนึ่ง เพราะต้องคอยดูแลคุณยาย
“แล้ว... สระบัวนั่นมีเรื่องอะไรแปลก ๆ บ้างไหมคะ”
“อะไรที่ว่าแปลก”
เธอควรบอกพ่อกับแม่หรือไม่นะ ว่าสระบัวนั่นพาเธอไปโผล่ที่อื่นมาแล้ว
“จะว่าไปก็มีเรื่องหนึ่งที่พ่อกับแม่ก็ยังไม่เข้าใจจนถึงทุกวันนี้” บัวบุษยาพูดขณะหันไปหาสามี “คุณจำเรื่องปิ่นดอกบัวได้ไหมคะ”
“ปิ่นที่คุณแม่คุณโยนลงไปในสระบัวน่ะเหรอ จำได้สิ” บวรณ์ตอบ “ตอนนั้นคุณร้องไห้เลยนี่”
“ปิ่นอะไรเหรอคะ” บัวชมพูถามอย่างสนใจ
“เป็นปิ่นเงินดอกบัว ของตกทอดของตระกูลคุณยาย” บัวบุษยาตอบ “เชื่อไหมว่ากลีบดอกบัวที่อยู่บนปิ่นละเอียดประณีตเหมือนดอกบัวจริง ๆ อย่างกับเอาดอกบัวมาย่อส่วนลงไปบนปิ่น ทั้งยังเป็นของเก่าแก่อายุหลายร้อยปี แต่ไม่รู้ว่าทำไม อยู่ดี ๆ คุณยายของบัวถึงได้ทิ้งมันลงไปในสระบัว ตอนนั้นแม่เสียดายมากจนร้องไห้ออกมา คุณยายหัวเราะแล้วบอกว่ารอให้บัวโตก่อน เดี๋ยวบัวก็ลงไปเก็บมาเองนั่นแหละ”
“ป่านนี้ปลาแรดในสระไม่แทะไปหมดแล้วเหรอคะ” บัวชมพูหัวเราะ
“ก็นั่นน่ะสิ แม่เคยแอบให้คนลงไปงม แต่ก็ไม่มีใครหาเจอ”
“เคยมีคนลงไปในสระบัวด้วยเหรอคะ แล้วยังไงต่อ”
“จะเป็นยังไง ก็ไม่เจออะไรน่ะสิ”
อ้าว ไม่มีใครวาร์ปไปจวนสกุลฝูแบบเธอเหรอ
จะว่าไป ทั้งวรกานต์ที่ถูกเธอถีบลงไปในสระกับชานนท์ที่ลงไปช่วยเธอขึ้นมา รวมไปถึงพวกปลาแรด ก็ไม่เห็นมีใครวาร์ปไปหาฝูซิ่นเล่อได้เหมือนเธอสักคน
หรือว่าสวรรค์จะเป็นใจให้เธอไปที่นั่นจริง ๆ
“เดี๋ยวพรุ่งนี้บัวจะลงไปงมใหม่” ในที่สุดบัวชมพูก็หาข้ออ้างให้กับการวิ่งลงสระบัวของตนได้ “บัวจะงมหาปิ่นดอกบัวของคุณยายทุกวันจนกว่าจะเจอ”
สีหน้าของบัวชมพูมุ่งมั่นยิ่งกว่าวันที่เดินเข้ามาบอกพ่อกับแม่ว่าตนจะแต่งงานเสียอีก บวรณ์กับบัวบุษยาได้แต่มองหน้ากัน แล้วหันไปมองลูกสาวที่นิ่งยิ้มร่า โดยไม่รู้เลยว่าลูกของตนวางแผนหนีเที่ยวข้ามกาลเวลาอยู่คนเดียว
คราวนี้เธอได้ไปหาฝูซิ่นเล่อทุกวันแน่!
หลังจากที่ทราบว่าแก๊งสัปดนวางแผนไปดักเล่นงานวรกานต์ บัวชมพูก็โทรศัพท์เรียกเพื่อน ๆ ของเธอออกมาดื่ม เพื่อปรามไม่ให้พวกเขาไปเล่นงานวรกานต์ให้เสียมือ จากนั้นจึงถือโอกาสเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเธอวิ่งลงไปในสระบัวให้ฟัง แต่ดูจากสีหน้าเพื่อน ๆ แต่ละคนของเธอแล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไม่มีใครอยากเชื่อเรื่องที่เธอพูดสักคน
เพื่อนในแก๊งสัปดนของบัวชมพูประกอบด้วยวิวัฒน์ ธัญกรณ์ ชานนท์ ณดล พีรพัฒน์ สธน และดำริห์ แต่ละคนล้วนเป็นเพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย สนิทสนมกันเหมือนพี่น้อง บัวชมพูคันปากอยากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ใครก็ได้ช่วยมารับรู้เรื่องนี้กับเธอ จึงเลือกที่จะเล่าให้เพื่อนสนิททั้งเจ็ดฟัง
“แกแน่ใจนะว่าไม่ได้มโนไปเอง” พีรพัฒน์ถามหลังจากที่บัวชมพูเล่าจบ
“ชุดที่ฉันเอามาให้พวกแกดูนี่ยังเป็นหลักฐานไม่ได้เหรอว่าฉันไม่ได้มโน” บัวชมพูเลื่อนชุดของฝูซิ่นฮวาที่เธอสวมกลับมาบ้านไปที่กลางโต๊ะ
“แกไม่ได้หลอกพวกเราเล่นใช่ไหม” ชานนท์ถามซ้ำเพื่อความแน่ใจ
“ฉันสาบานเลย เอ้า!”
“คือ... เรื่องมันออกจะแฟนตาซีไปนิด” ณดลพูดขณะหยิบชุดของฝูซิ่นฮวาขึ้นมาดู
“ไม่นิดละ” วิวัฒน์ส่ายหน้า “อย่างกับทวิภพ”
“นางเอกทวิภพยังดีกว่าฉัน ได้วิ่งเข้าวิ่งออกกระจกสวย ๆ แต่ฉันนี่! ต้องวิ่งขึ้นวิ่งลงสระบัว ตัวเปียกไม่พอ เลอะโคลนอีกต่างหาก” บัวชมพูเอนหลังพิงเก้าอี้ “แกว่าคุณยายฉันจะรู้เรื่องนี้ไหม”
“ก็ไม่แน่นะ ท่านเป็นคนสั่งให้ขุดสระบัวนี่” สธนออกความเห็น “เรื่องปิ่นดอกบัวนั่นก็น่าสงสัย อยู่ดี ๆ จะโยนของเก่าแก่ลงน้ำทำไม คุณยายของแกต้องมีเหตุผลสิ”
“ฉันก็ว่างั้น”
“แล้วนี่คิดจะกลับไปที่จวนสกุลฝูอะไรนั่นอีกหรือเปล่า” ดำริห์ถาม
“ไปดิ ไม่พลาดหรอก” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงซุกซน “ไม่แน่นะ บางทีสักวันฉันอาจจะรู้ก็ได้ว่าทำไมจากสระบัวบ้านฉันถึงไปโผล่ที่นั่นได้”
“แล้วถ้าเกิดครั้งนี้ไปโผล่ที่อื่นล่ะ”
“ฉันว่าไม่นะ เพราะฉันก็ไปที่นั่นมาตั้งสองครั้งแล้ว”
“งั้นก็ตามใจ ทำอะไรก็ระวังตัวหน่อยแล้วกัน”
“อือ” บัวชมพูส่งเสียงตอบรับในลำคอ “ฉันว่าจะหาของเล่นกลับไปฝากท่านแม่ทัพสักหน่อย พวกแกว่าเอาอะไรไปดี”
“ของฝากสำหรับผู้ชายยุคโบราณเหรอ” แก๊งสัปดนมองหน้ากันก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“หัวเราะชั่วมาก ถ้าให้ฉันเดา ของที่พวกแกคิดน่าจะเป็น...”
“จิ๋มกระป๋อง!” แก๊งสัปดนประสานเสียง
สัปดนสมชื่อจริง ๆ!
“ไอ้พวกเลว!” บัวชมพูด่า ผิดไปจากที่เธอคิดเสียเมื่อไหร่
“รับรองว่าท่านแม่ทัพของแกได้ระทึกแน่”
“คนระดับอีตานั่นไม่ต้องใช้ของพรรค์นั้นหรอกย่ะ แกต้องเห็นตอนเขาพาฉันออกไปซื้อของ ผู้หญิงนี่มองตามทั้งถนน”
พอคิดมาถึงตรงนี้บัวชมพูก็นิ่งไป เธอรู้แค่ว่ามีผู้หญิงสนใจฝูซิ่นเล่อไม่น้อย แต่เรื่องที่ว่าฝูซิ่นเล่อมีคนที่ชอบอยู่หรือเปล่านั้น เธอเองก็ยังไม่รู้เลย
“ถ้าจะไปอีกก็เอากล้องไปด้วยสิ จะได้ถ่ายรูปที่นั่นมาให้พวกเราดู” ชานนท์ว่า
“ก็ดีนะ เดี๋ยวถ่ายรูปให้อีตาแม่ทัพนั่นตกใจเล่นดีกว่า”
“แล้วคิดจะกลับไปอีกเมื่อไหร่” ชานนท์ถาม
“พรุ่งนี้” บัวชมพูตอบ
“ไอ้ที่คิดจะกลับไปอีกเนี่ย คงไม่ใช่เพราะหลงเสน่ห์แม่ทัพยุคโบราณเข้าให้หรอกนะ”
“บ้าสิ” บัวชมพูปฏิเสธ “ไปเพราะสนุกเฉย ๆ ย่ะ”
“ให้มันแน่” ณดลทำเสียงล้อ “ถ้าเกิดพบรักกับท่านแม่ทัพที่โน่น พวกเราก็เตรียมตัวลุยน้ำไปงานแต่งไอ้บัวกันได้เลย”
“เฮอะ! อีตานั่นไม่เอาฉันหรอก ว่าฉันอัปลักษณ์อยู่ทุกวัน” บัวชมพูย่นจมูก “อีกอย่าง ฉันยังเข็ดเรื่องแต่งงานไม่หายเลย”
“ก็น่าอยู่หรอก คราวหน้าจะแต่งกับใครก็ดูให้มันดี ๆ” สธนว่า “ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ขอด่าสักยกเถอะ ระหว่างแกกับไอ้พี่ว่านเนี่ย ถึงคบกันมานานแต่แทบไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงกันเลยเพราะระยะห่าง เดือนนึงเจอกันไม่กี่วัน เอาแต่โทรศัพท์คุยกันเป็นส่วนใหญ่ มันเลยไม่รู้จักกันจริง ๆ ปัญหาถึงได้ตามมา”
“ระยะเวลาที่คบกันการันตีความดีของคนคนหนึ่งไม่ได้หรอกเว้ย” ดำริห์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ที่ผ่านมา แกคิดแค่ว่าแกกับพี่ว่านเข้ากันได้ดี แทบไม่เคยทะเลาะกันเลย แต่นั่นเป็นเพราะแกไม่ได้อยู่กับเขาทุกวันไง งานการทำคนละที่ ตกเย็นแยกกันกลับบ้านแล้วค่อยโทร. หากัน มันก็มีแต่เรื่องดี ๆ มาพูดมาคุยกัน เรื่องชั่ว ๆ ไม่มีโอกาสได้เห็น”
“ทำไมก่อนฉันจะแต่งงาน พวกแกไม่เตือนฉันแบบนี้”
“ก็เคยนะ” พีรพัฒน์พูดขึ้น “แต่ตอนนั้นแกโลกสวยสีชมพูสดใสมาก เชื่อว่าไอ้พี่ว่านดีไปหมด แล้วเป็นไงล่ะ คนดีของแกน่ะ”
“อย่าไปซ้ำเติมมันมาก เดี๋ยวมันร้องไห้ ยิ่งขี้เกียจปลอบอยู่” วิวัฒน์ปรามเพื่อนคนอื่น
“ไม่ร้องหรอก” บัวชมพูพูดเสียงเรียบ “มันผิดหวังเกินกว่าจะเสียใจอะ”
“...”
“ถ้าพี่ว่านตายจากไป หรือเป็นเรื่องอะไรอย่างอื่น ฉันก็คงเสียใจนั่นแหละ แต่พอเป็นเรื่องที่เขาหักหลังฉัน ฉันก็เลยไม่อยากจะเสียใจให้กับคนเลว ๆ แบบนั้น แต่ก็ยอมรับแหละว่าผิดหวัง แอบเจ็บลึก ๆ ด้วย”
“แล้วโอเคเปล่า”
“โอเคนะ หนีเที่ยวยุคอดีตก็ช่วยให้ลืมเรื่องพี่ว่านไปได้เยอะ”
“เดี๋ยว ๆ” ณดลหรี่ตามองบัวชมพู “ที่ลืมเรื่องพี่ว่านได้เนี่ย เพราะได้ไปเที่ยวยุคอดีตหรือเพราะผู้ชายจากยุคอดีตกันแน่คร้าบ”
แก๊งสัปดนพากันส่งเสียงเฮออกมาทันที
“ฉันไม่ได้ชะ...” บัวชมพูไม่ทันได้ปฏิเสธจนจบประโยค คนอื่น ๆ ก็พูดแทรกขึ้น
“เปลี่ยนใจแล้วว่ะ ไม่ต้องเอาจิ๋มกระป๋องไปฝากท่านแม่ทัพแล้ว เอาชุดนอนไม่ได้นอนไปใส่ยั่วดีกว่า เร้าใจกว่ากันเยอะ”
“หรือไม่ก็ชุดทหาร แม่ทัพกับทหารสาว เข้ากันออก”
“เอาเหล้าไปด้วยไหม เผื่อจะมอมท่านแม่ทัพ”
“อย่างไอ้บัวแค่เหล้าจะอยู่เหรอวะ ต้องยาปลุกแล้วมั้ง”
“หรือไม่ก็ไม้เบสบอล เอาไปฟาดหัวท่านแม่ทัพให้สลบแล้วลากเข้าห้อง”
“เอากุญแจมือไปด้วย ต้องล็อคท่านแม่ทัพติดเตียง เดี๋ยวเกิดรู้สึกตัวแล้วหนี ไอ้บัวก็อดดิ”
“อย่าลืมตั้งกล้องเลือกมุมสวย ๆ ด้วยนะเว้ย เผื่อท่านแม่ทัพไม่รับผิดชอบ”
“ให้ฉันหาพยานไปเป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์ด้วยเลยไหม!” เสียงสุดท้ายเป็นเสียงของบัวชมพูที่แหวขึ้นประชดเพื่อน ท่ามกลางเสียงหัวเราะเฮฮาของแก๊งสัปดน
“ขอแสดงความยินดีกับว่าที่ ‘แม่บ้านแม่ทัพ’ ล่วงหน้าเลยแล้วกัน ชน!”
“แม่บ้านแม่ทัพกับผีน่ะสิ!”
บัวชมพูส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ในขณะที่แก๊งสัปดนส่งเสียงเฮฮาชอบใจ ราวกับอยากจะให้เธอได้ลงเอยกับฝูซิ่นเล่อตามที่เอ่ยล้อกัน
ใบหน้าของฝูซิ่นเล่อผุดขึ้นในความคิดของบัวชมพู ทำให้เธออดคิดในใจลึก ๆ ไม่ได้ว่าจะเป็นอย่างไร หากเธอกับเขาเกิดรักกันขึ้นมาจริง ๆ เขาจะเหมือนกับวรกานต์หรือไม่นะ
บัวชมพูถอนหายใจก่อนยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม ในใจได้แต่ภาวนาว่า ขอให้วรกานต์เป็นผู้ชายเลว ๆ คนสุดท้ายในชีวิตที่เธอต้องพบเจอ
