บทที่ 5 น้าเหลียน
คำตอบของฝูซิ่นเล่อทำให้ทุกสิ่งรอบกายเงียบสงัดไปทันที บัวชมพูถึงกับนิ่งอึ้ง ด้วยคิดไม่ถึงว่าคำตอบที่ได้รับจะเป็นเช่นนี้
เขา... กำลังจะบอกว่าชอบเธองั้นเหรอ!?
“แล้วหากข้าตอบว่าไม่ชอบ เจ้าจะว่าอย่างไร”
อ้าว...
ยังช็อกกับคำตอบแรกไม่หาย อยู่ดี ๆ คำตอบที่สองก็ตามมาหักมุมซะงั้น
“หึ ๆ”
หักมุมไม่พอ ยังหัวเราะอีก!
“ขะ...ขำอะไร!” บัวชมพูถามเสียงดัง
“หน้าเจ้าแดงหมดแล้ว”
“ไม่แดงสักหน่อย!” หญิงสาวปฏิเสธพลางเอามือปิดแก้มตัวเอง แม้จะรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวก็ตาม
“เด็กน้อย” ฝูซิ่นเล่อเอามือวางบนศีรษะบัวชมพู “หากคิดจะแกล้งข้า เจ้าต้องเตรียมตั้งรับให้ได้ หากว่าจะต้องโดนข้าแกล้งกลับ”
“เด็กน้อยอะไร” บัวชมพูปัดมือฝูซิ่นเล่อออก “ข้าไม่ใช่เด็ก ข้าอายุเท่าท่าน!”
“นั่นสินะ” ฝูซิ่นเล่อพยักหน้า “อายุปูนนี้แล้ว ยังไม่ได้ออกเรือน น่าสงสารอะไรเช่นนี้”
“ฝูซิ่นเล่อ!”
“อย่าโกรธไปเลย ยิ่งโกรธก็ยิ่งอัปลักษณ์ ถ้าอัปลักษณ์มาก ๆ ระวังจะไม่ได้ออกเรือนไปตลอดชีวิต”
บัวชมพูกัดฟันกรอด ว่ากันขนาดนี้ คอยดูเถอะ สักวันเธอจะต้องจับอีตาแม่ทัพปากเสียนี่ทำสามีให้ได้!
“ฮึ่ย!” บัวชมพูขี้เกียจต่อปากต่อคำ จึงสะบัดหน้าเดินกลับเข้าไปในเรือน กระแทกเท้าปึงปังไปตลอดทาง
ฝูซิ่นเล่อที่ยืนมองอยู่ได้แต่หัวเราะในลำคออยู่คนเดียว ก่อนจะเดินกลับเรือนของตน ท่ามกลางสายตางุนงงของเหล่าทหารองครักษ์ที่แฝงกายอยู่ตามจุดต่าง ๆ
ท่านแม่ทัพที่ดุดันของพวกเขากลายเป็นบุรุษช่างต่อปากต่อคำไปตั้งแต่เมื่อไหร่?
เช้าวันต่อมา จวนสกุลฝูก็วุ่นวายกันแต่เช้า เนื่องด้วยมีหนังสือแจ้งมาจากในวังหลวงว่า ฮ่องเต้ ฮองเฮา และองค์ชายรองก็จะเสด็จมาด้วย หาได้มีเพียงองค์ชายใหญ่ดังเช่นที่ได้รับแจ้งเมื่อวาน
บัวชมพูตื่นเต้นจนไม่รู้ว่าควรจะช่วยใครทำอะไรดี เธอเพิ่งมาที่นี่ได้ไม่กี่วัน แต่กำลังจะได้พบกับฮ่องเต้ ฮองเฮา และองค์ชายอีกสองพระองค์ คนที่นี่ยิ่งฟังเธอพูดไม่ค่อยจะรู้เรื่องอยู่ด้วย หากเธอพูดอะไรผิด ๆ ถูก ๆ ออกไป มีหวังคงไม่ได้กลับบ้านเดิมของตนแน่
“ทำตัวตามสบายเถิด ทั้งฮ่องเต้และฮองเฮาต่างก็ไม่ใช่คนมากพิธี” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าว แต่ก็ไม่ลืมที่จะสอนให้เธอออกเสียงพูดในหลาย ๆ ถ้อยคำให้ถูกต้อง
เมื่อยามบ่ายมาเยือน ทุกสิ่งรอบจวนสกุลฝูกลับยังสงบเงียบ ไม่มีขบวนเสด็จยิ่งใหญ่และทหารองครักษ์นับร้อยปรากฏกายให้เห็นอย่างที่บัวชมพูเคยดูในซีรีส์ มีเพียงรถม้าคันใหญ่ที่เคลื่อนมาจอดหน้าจวน เด็กรับใช้คนหนึ่งนำเก้าอี้ไปวางให้คนบนรถม้าก้าวลงจากรถม้าได้อย่างสะดวก
ชายหนุ่มในชุดสามัญชนท่าทางภูมิฐาน สง่างามทั้งกิริยาและรูปโฉมก้าวลงมาจากรถม้า ตามด้วยเด็กชายวัยประมาณสามปีคนหนึ่ง จากนั้นชายหนุ่มจึงหันไปรับเด็กน้อยวัยประมาณหนึ่งปีจากสตรีรูปร่างบอบบางในชุดขาว ฝูซิ่นเล่อเดินเข้าไปส่งมือให้นางใช้ยึดเหนี่ยวเพื่อก้าวลงจากรถม้า
ฮ่องเต้ ฮองเฮา และองค์ชายทั้งสองเสด็จมาถึงแล้ว
การมาครั้งนี้มองผิวเผินดูเหมือนเรียบง่าย หากแท้จริงแล้ว ฝูซิ่นเล่อต้องจัดกำลังรักษาพระองค์กระจายอยู่ตามจุดต่าง ๆ ถึงเจ็ดร้อยนาย ยังไม่นับรวมบรรดาองครักษ์เงาที่คอยติดตามถวายอารักขาอย่างลับ ๆ แม้ประชาชนทั่วไปจะไม่รู้ว่าฮ่องเต้เสด็จมายังจวนสกุลฝู แต่ทุกคนในจวนตั้งแต่ผู้เป็นนายไปจนถึงบ่าวไพร่ต่างรับรู้ทั้งสิ้น
“คารวะนายท่าน ฮูหยิน คุณชายใหญ่ และคุณชายน้อย” ทุกคนที่ออกมารอต้อนรับต่างถวายคำนับผู้มาเยือนอย่างพร้อมเพรียง
“ให้ท่านย่าต้องคอยนาน หลานอกตัญญูต้องขออภัย” ฮ่องเต้หย่งเล่อหรือจินเกาหยางประสานมือคำนับฮูหยินผู้เฒ่า
“พวกท่านอุตส่าห์ให้เกียรติมาเยี่ยมคนแก่อย่างข้าถึงบ้าน จะกล่าวว่าอกตัญญูได้เช่นไร” ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มละมุน
“ท่านทวด” องค์ชายใหญ่จินหย่งไท่วิ่งเข้ามากอดฮูหยินผู้เฒ่าอย่างประจบเอาใจ
“หย่งไท่ อย่ากระโจนใส่ท่านทวดเช่นนั้น” ฮองเฮาฝูอันหรือฝูซิ่นฮวาดุลูกน้อยที่กระโดดเข้าใส่ฮูหยินผู้เฒ่าที่อายุมากแล้ว
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” ฮูหยินผู้เฒ่าก้มลงกอดเหลนตัวน้อย
จินหย่งไท่ที่ถูกฮูหยินผู้เฒ่ากอดเบนสายตามามองบัวชมพู ที่ก่อนหน้านี้ประคองท่านทวดของเขาอยู่
“พี่สาวผู้นี้เป็นใคร” เด็กน้อยถามอย่างสนใจ “อ้อ ข้ารู้แล้ว! พี่สาวต้องเป็นท่านเซียนที่ลงมาคอยคุ้มครองท่านย่าใช่หรือไม่”
คำพูดของจินหย่งไท่ทำให้จินเกาหยางและฝูซิ่นฮวาหันมามองสตรีผู้ซึ่งพวกเขาไม่เคยพบหน้ามาก่อน
“คุณชายน้อยเข้าใจผิดแล้วเจ้าค่ะ ข้าน้อยเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่งเท่านั้น” บัวชมพูอธิบาย พยายามพูดให้ช้าและชัดเจนที่สุด แต่กระนั้นสำเนียงการพูดก็ยังไม่เหมือนคนต้าจินนัก
“หากพี่สาวไม่ใช่ท่านเซียน เหตุใดจึงงดงามเช่นนี้”
คำถามไร้เดียงสาทำให้บัวชมพูแทบน้ำตาไหล หลังถูกเรียกว่าเป็นสาวเทื้ออัปลักษณ์อยู่เป็นนาน ในที่สุดก็มีคนชมเธอสักที!
“เจ้าคือเหลียนเอ๋อร์ใช่หรือไม่” ฝูซิ่นฮวาที่อุ้มองค์ชายรองจินหย่งจื้อเอ่ยถาม
“เจ้าค่ะฮูหยิน ข้าน้อยคือเหลียนเอ๋อร์”
“เหตุใดเจ้าจึงรู้ว่าเป็นนาง” ฮูหยินผู้เฒ่าถาม
“สตรีที่ซิ่นเล่อยอมให้เข้ามาอยู่ในจวน ทั้งยังยอมให้สวมเสื้อผ้าของข้า น่าจะมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นเจ้าค่ะ” ฝูซิ่นฮวายิ้มอย่างรู้ทัน ขณะมองน้องชายที่ยืนทำหน้าตาเย็นชา
“เข้าไปคุยกันข้างในเถิด” ฝูซิ่นเล่อกล่าวเสียงเรียบ ทั้งหมดจึงเดินเข้าไปในเรือนด้วยกัน โดยที่จินเกาหยางเป็นผู้ประคองฮูหยินผู้เฒ่าด้วยตัวเอง
“พี่สาว” จินหย่งไท่เดินมาจูงมือบัวชมพู
“ลูกแม่ เจ้าต้องเรียกนางว่า ‘ท่านน้า’ ถึงจะถูก” ฝูซิ่นฮวาพูดด้วยรอยยิ้ม
เรื่องสตรีในฝันของน้องชาย นางเป็นพี่มีหรือจะไม่รู้เรื่อง หากหญิงผู้นี้คือเหลียนเอ๋อร์ที่ฝูซิ่นเล่อเฝ้าตามหามาตลอดหลายปี อีกไม่นานก็คงจะได้มาเป็นสะใภ้สกุลฝู ให้จินหย่งไท่เรียกท่านน้าตั้งแต่ตอนนี้เลยไม่ดีกว่าหรือ
“จริงหรือไม่ เหลียนเอ๋อร์” ฝูซิ่นฮวาถาม
“เอ่อ... เจ้าค่ะฮูหยิน”
“เหลียน...เหลียน” จินหย่งจื้อในอ้อมกอดของมารดาร้องเรียกบัวชมพูพลางยื่นมือไปหา
“ดูเหมือนว่าลูกข้าจะชอบเจ้า” ฝูซิ่นฮวาส่งลูกน้อยให้ ‘ว่าที่น้องสะใภ้’ “ลองอุ้มเขาดูสิ”
“เจ้าค่ะ” บัวชมพูเอื้อมมือไปรับเด็กน้อยที่ตะกายมาหาตน
“เหลียน” เด็กน้อยขดตัวซุกซบที่อกของบัวชมพูอย่างออดอ้อน จนเป็นก้อนกลมเหมือนก้อนแป้ง
“ต้องเรียกว่าน้าเหลียนต่างหาก” จินหย่งไท่สอนน้อง
“เหลียน”
“น้าเหลียน”
“น้า...”
“น้าเหลียน”
“น้าเหลียน!” จินหย่งจื้อพูดได้ในที่สุด
“โอ้โห คุณชายน้อยเก่งจัง” บัวชมพูชื่นชมจากใจ ที่เด็กตัวเท่านี้สามารถเรียกเธอว่าน้าเหลียนได้จากการสอนเพียงไม่กี่ครั้ง แต่กลับทำให้คนอื่นหยุดยืนมองเธอด้วยความงุนงง
“เจ้าพูดภาษาอะไรน่ะ” จินเกาหยางถามอย่างประหลาดใจ ทั้งที่บัวชมพูก็พูดภาษาจีนตามที่ได้ร่ำเรียนมา
“พี่เขย นางมาจากที่อื่นน่ะขอรับ บางครั้งอาจมีคำพูดแปลกประหลาด ฟังไม่เข้าใจบ้าง หรือบางครั้งนางก็ฟังที่เราพูดไม่ค่อยเข้าใจ ขอพี่เขยอย่าได้ถือสา” ฝูซิ่นเล่ออธิบาย
แน่นอนว่าในคำอธิบายนั้น บัวชมพูก็ฟังออกเพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ แต่ก็นับว่าโชคยังดีที่สำนวนภาษาของต้าจินไม่ได้เข้าใจยาก ถึงขั้นคุยกันไม่รู้เรื่อง
“ที่แท้เป็นเช่นนี้” จินเกาหยางพยักหน้ารับ
“เอาเถิด อยู่กันไปนาน ๆ อีกหน่อยก็คงพูดคล่องไปเอง” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าว
“ให้นางมาฝึกพูดกับหย่งไท่ หย่งจื้อ ดีไหม” จินเกาหยางถามอย่างนึกสนุก
“เกรงว่านางจะพาเด็ก ๆ พูดไม่รู้เรื่องน่ะสิขอรับ” ฝูซิ่นเล่อว่า
ทุกคนพากันหัวเราะออกมา จากนั้นจึงเดินไปที่เรือนรับรอง จินเกาหยางกับฝูซิ่นฮวานั่งข้างกัน ฮูหยินผู้เฒ่านั่งกับฝูซิ่นเล่อ ส่วนบัวชมพูนั่งกับเด็ก ๆ ที่ดูเหมือนจะให้ความสนใจเธอเป็นพิเศษ
เค้าโครงหน้าที่ได้รับการผสมผสานเชื้อสายจากชาติตะวันตก ทำให้หญิงสาวดูแตกต่างจากคนอื่นในแผ่นดินต้าจิน องค์ชายใหญ่เห็นนางกำนัลรูปร่างหน้าตางดงามในวังมามาก แต่ไม่เคยเห็นผู้ใดมีลักษณะเหมือนน้าเหลียนมาก่อน เด็กน้อยจึงสนใจใคร่รู้จักนาง
“น้าเหลียนมาจากที่ไหน”
“ทำไมน้าเหลียนถึงมาอยู่กับท่านน้าของข้าได้”
“ทำไมน้าเหลียนถึงตาโต”
“ทำไมผมของน้าเหลียนเป็นสีน้ำตาล”
“ทำไมผมของน้าเหลียนถึงไม่ตรงเหมือนผมของท่านแม่”
ยังมีคำถามอีกมากมายที่จินหย่งไท่ถามบัวชมพู แม้แต่บิดามารดาของเขายังแปลกใจ ปกติเด็กคนนี้ไม่ใช่คนช่างพูด ทั้งยังมีแววตาที่สามารถกดดันผู้ถูกมองได้อย่างประหลาด ทว่าวันนี้แววตานั้นกลับหายไป กลายเป็นแววตาสดใสไร้เดียงสา ทั้งยังพูดจ้อไม่หยุด และด้วยความที่ยังเป็นเด็ก บางคำเขาเองก็ยังพูดได้ไม่ชัดนัก ทำให้บัวชมพูที่ฟังอะไรรู้เรื่องแค่ครึ่งๆ กลางๆ ยิ่งฟังไม่รู้เรื่องเข้าไปกันใหญ่ จนกลายเป็นว่าคนหนึ่งถามอย่าง อีกคนตอบอีกอย่าง คนถามก็งง คนตอบก็ยิ่งงง ส่วนคนฟังก็ได้แต่พากันหัวเราะ
“ข้าว่าวันนี้คุยกันทั้งวันก็คงไม่รู้เรื่อง” จินเกาหยางพูดอย่างขบขัน “ข้าเห็นด้วยกับเจ้าแล้วซิ่นเล่อ หากให้นางกับเด็ก ๆ ฝึกพูดด้วยกัน เห็นทีจะพากันพูดไม่รู้เรื่องไปกันใหญ่”
พูดจบชายหนุ่มก็หัวเราะ ราวกับไม่ได้พบเจอเรื่องสนุกเช่นนี้มานานแล้ว
หลังจากสนทนากันไปได้ครู่หนึ่ง สาวใช้ก็ยกขนมเข้ามา บัวชมพูท่าทางตื่นเต้นไม่แพ้เด็ก ๆ ขนมรูปร่างแปลกตา ส่งกลิ่นหอมหวานพวกนี้ เธอเคยกินเสียที่ไหน แค่ชื่อก็ยังไม่รู้จักด้วยซ้ำ พอได้ลองชิมเข้าก็ติดใจ หากไม่ใช่เพราะยังมีสามัญสำนึกอยู่บ้างละก็ เธอคงได้แย่งจินหย่งไท่กินขนมในจานของเขาแล้ว
ราวกับอ่านความคิดของบัวชมพูออก ฝูซิ่นเล่อจึงหันไปสั่งให้สาวใช้นำขนมเข้ามาเพิ่ม จนหญิงสาวกับหลานตัวน้อยพากันแสดงท่าทางดีใจราวกับอยู่ในวัยเดียวกัน
“น่าเอ็นดูยิ่งนัก” ฝูซิ่นฮวาเอ่ยชม ขณะมองบัวชมพูที่กำลังกินขนมและเล่นอยู่กับโอรสทั้งสองของตน “ใบหน้างดงามแปลกตาอย่างที่ไม่เคยพบเห็นที่ใด ยามอยู่เฉย ๆ ดูหยิ่งทะนงดุจราชนิกูล แต่พอได้เริ่มพูด กลับดูซุกซนเหมือนดรุณีน้อยที่ยังไม่ถึงวัยปักปิ่น”
คนถูกพูดถึงไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด เพราะมัวแต่กินขนมที่องค์ชายทั้งสองช่วยกันป้อนใส่ปากเธอ
“สตรีในฝันก้าวออกมาสู่ความเป็นจริงแล้ว อย่าปล่อยให้นางหลุดมือไปได้ล่ะ” ผู้เป็นพี่กำชับ
ฝูซิ่นเล่อไม่ตอบอะไร อีกทั้งสีหน้ายังเรียบเฉย เขาควบคุมอารมณ์ได้เป็นอย่างดี แต่ฝูซิ่นฮวาอยู่กับน้องชายมาทั้งชีวิต มีหรือจะไม่รู้ว่าน้องชายของตนกำลังแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ
พูดคุยกันจนเย็น ในที่สุดทั้งฮ่องเต้ ฮองเฮา และองค์ชายทั้งสองก็ต้องกลับวัง สององค์ชายดูอาลัยอาวรณ์น้าเหลียนของพวกเขายิ่งนัก จินหย่งไท่ถึงกับถามบิดาว่าเขาสามารถพาน้าเหลียนกลับวังด้วยได้หรือไม่
“ขืนพ่อพาน้าเหลียนของเจ้ากลับไปด้วย ท่านน้าซิ่นเล่อคงได้ตามไปเล่นงานพ่อเป็นแน่” จินเกาหยางตอบขณะอุ้มโอรสของตนไว้ในอ้อมแขน
“เหตุใดท่านน้าจึงต้องตามไปเล่นงานท่านพ่อ” จินหย่งไท่ถาม “หรือว่าท่านน้าหวงน้าเหลียน”
ดวงตาของฝูซิ่นเล่อกระตุกเล็กน้อย แต่ยังรักษาท่าทีสงบนิ่งเอาไว้ได้ ฝูซิ่นฮวาและฮูหยินผู้เฒ่าต่างพากันอมยิ้ม
“ใช่ ท่านน้าของเจ้าหวงน้าเหลียนยิ่งกว่าสิ่งใด” จินเกาหยางเติมน้ำมันใส่ลงในกองไฟด้วยคำตอบนั้น
บัวชมพูฟังที่สองพ่อลูกพูดคุยกันเข้าใจทุกคำเป็นครั้งแรก หญิงสาวหันไปมองแม่ทัพที่ยืนนิ่ง สีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้แสดงทีท่าใด ๆ ต่อคำพูดของพี่เขยและหลานชาย เธอรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เมื่อพบว่าตัวเองกำลังคาดหวังให้เขามีปฏิกิริยาต่อคำพูดนั้นบ้าง
“เช่นนั้นข้ามาหาน้าเหลียนบ่อย ๆ ได้หรือไม่ ข้าชอบน้าเหลียน โตขึ้นข้าจะแต่งงานกับน้าเหลียน” จินหย่งไท่พูดพร้อมกับหันมามองฝูซิ่นเล่อ “ท่านน้าอนุญาตให้ข้าแต่งงานกับน้าเหลียนหรือไม่”
บรรดาผู้ใหญ่ต่างพากันหัวเราะ ยกเว้นฝูซิ่นเล่อ
“หลานชาย เจ้าจะแต่งกับสาวเทื้อที่อายุเกือบเท่ามารดาของเจ้าได้อย่างไร”
ปากเหรอนั่น!
“ข้าจะโตไว ๆ” องค์ชายใหญ่พูดอย่างจริงจัง
“กว่าเจ้าจะโต นางก็คงแก่จนเป็นท่านยายของเจ้าได้แล้วกระมัง”
“ท่านน้าหวงน้าเหลียนจริง ๆ ด้วย” จินหย่งไท่ร้อง “ท่านน้าต้องรักน้าเหลียนมากแน่ ๆ เลย”
คราวนี้บัวชมพูยิ้มอย่างเป็นต่อพร้อมทั้งหันไปมองฝูซิ่นเล่อ แม่ทัพหนุ่มหาได้มองตอบเธอ เขาเพียงยิ้มให้หลานชายของตนก่อนจะกล่าว
“ข้าเพียงไม่อยากให้หลานข้าต้องแต่งสาวเทื้อเป็นภรรยาก็เท่านั้น”
หลังจากที่ฮ่องเต้ ฮองเฮา และองค์ชายทั้งสองเสด็จกลับไปแล้ว ฝูซิ่นเล่อกับบัวชมพูก็ส่งฮูหยินผู้เฒ่ากลับเรือนเหมยฮวา คนถูกเรียกว่าเป็นสาวเทื้อไม่ได้หงุดหงิดกับคำเรียกนั้นเช่นที่ผ่านมา สองสามวันมานี้เธอค่อนข้างชินกับการที่ถูกฝูซิ่นเล่อเรียกว่าสาวเทื้อหรือหญิงอัปลักษณ์ จนสามารถลอยหน้าลอยตาโต้ตอบเขาได้ทุกคำ
มั่นหน้าเสียอย่าง ใครจะว่าอะไรได้
“นี่ท่านโหว ท่านแม่ทัพ” บัวชมพูเรียก “วันนี้สาวเทื้อคงต้องขอกลับบ้านก่อนละนะ”
ฝูซิ่นเล่อหันกลับมามองเธอทันที
“แล้วจะมาอีกเมื่อไหร่”
“ไม่รู้สิ เวลามันไม่ตรงกันนี่ ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าจะมาอีกตอนไหน” หญิงสาวตอบ “กลับไปก็คงต้องไปสืบให้ได้ก่อนว่า จากสระบัวที่ไทยวาร์ปมาจีนได้ไง แถมยังเป็นคนละยุคสมัยอีกต่างหาก”
แน่นอนว่าฝูซิ่นเล่อฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก บัวชมพูเองก็คร้านจะอธิบาย เพราะเธอคิดคำพูดที่จะอธิบายให้เขาฟังไม่ออก
“แต่ว่าจะพยายามกลับมาให้เร็วที่สุดละกัน เผื่อว่าคนแถวนี้จะคิดถึง” เรื่องหยอกเย้าฝูซิ่นเล่อ เมื่อมีโอกาสเธอย่อมไม่พลาด
“กลับมาแล้วก็ไปหาข้าที่เรือนวายุ” ชายหนุ่มไม่ได้มีปฏิกิริยาใดต่อคำพูดของบัวชมพู
“คิดถึงเหรอ”
“เผื่อเจ้าคิดถึงข้าต่างหาก”
“หา!”
บัวชมพูถึงกับพูดอะไรไม่ออก จริงอย่างที่ฝูซิ่นเล่อเคยพูดไว้ หากเธอคิดจะแกล้งเขา คงต้องเตรียมพร้อมให้มากกว่านี้ เผื่อว่าเขาจะแกล้งกลับ
“หึ ๆ” ฝูซิ่นเล่อหัวเราะในลำคออย่างที่ชอบทำ เมื่อตนเป็นผู้ชนะ
“ฮึ่ย!” บัวชมพูส่งเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ ตั้งปณิธานแน่วแน่เอาไว้ว่า กลับบ้านไปหนนี้เธอจะให้แก๊งสัปดนติววิชากวนประสาท เกี้ยวพานบุรุษจนเป็นหนึ่งในยุทธภพ แล้วกลับมาต่อปากต่อคำกับฝูซิ่นเล่อจนชนะให้ได้
“จริงสิ” บัวชมพูร้องขึ้นคล้ายกับเพิ่งนึกอะไรได้ “ได้ยินนายท่านเรียกฮูหยินว่า ‘เหมยเหมย’ ฮูหยินมีชื่อเล่นว่าเหมยเหมยเหรอ?”
“ใช่ นามรองของพี่ข้าคือเหมยเหมย”
“แล้วท่านล่ะ ชื่อเล่นว่าอะไร”
“...”
“ทำไมเงียบ?”
“ข้าชื่อซิ่นเล่อ” เขาตอบโดยไม่สบตาเธอ จนบัวชมพูต้องหรี่ตามอง
“ท่านมีชื่อเล่นที่บอกข้าไม่ได้?”
“ไม่มี”
“มีชัวร์!” บัวชมพูร้องออกมาด้วยท่าทางลิงโลด
ชื่อนี้ต้องสืบให้ได้!
ฝูซิ่นเล่อหายใจฮึดฮัด ท่าทางคล้ายหงุดหงิดขึ้นมา ดูท่าว่าเขาคงไม่ค่อยชอบนามรองของตนเท่าไรนัก แต่นั่นแหละที่ทำให้บัวชมพูยิ่งสนใจใคร่รู้
“กลับก่อนนะ เดี๋ยวมาใหม่ คราวหน้าข้าต้องรู้ให้ได้ว่าท่านชื่อเล่นว่าอะไร” หญิงสาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม ขณะวิ่งตรงไปยังสระบัว
“ถ้าอยากรู้ก็รีบกลับมา”
“อื้อ แล้วจะหาของเล่นมาฝาก”
พูดจบบัวชมพูก็เดินลงสระบัวแล้วหายไปใต้ผืนน้ำ ดอกบัวสีชมพูดอกใหญ่ที่สุดที่อยู่กลางสระสั่นไหวตามวงคลื่นของน้ำ ก่อนสลัดกลีบดอกกลีบหนึ่งร่วงหลุดจากดอก
ฝูซิ่นเล่อมองตามกลีบบัวนั้น ในใจคาดคะเนสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้ในการไปกลับระหว่างบ้านของบัวชมพูกับจวนของตน
