บท
ตั้งค่า

บทที่ 4 ข้าเป็นคนหลงตัวเอง

บัวชมพูตัดสินใจนอนค้างที่จวนของฝูซิ่นเล่อในคืนนั้น

ก่อนจะกลับเรือนเหลียนฮวา ฝูซิ่นเล่อพาบัวชมพูไปคำนับฮูหยินผู้เฒ่าย่าของเขา ผู้อาวุโสแห่งสกุลฝูชมชอบบัวชมพูไม่น้อยเลยทีเดียว แม้จะคุยกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่คำพูดที่บัวชมพูพูดแล้วไม่มีใครเข้าใจก็สามารถทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะ และพยายามทำความเข้าใจจนได้ ทำให้หญิงสาวรู้สึกชื่นชอบฮูหยินผู้เฒ่ามากพอ ๆ กับที่อีกฝ่ายชอบนาง

การนอนค้างในเรือนเหลียนฮวาที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศไม่ได้ร้อนอย่างที่บัวชมพูคิด ยามนี้อากาศเย็นสบายกำลังดี เธอนอนห่มผ้าแพรผืนบางแล้วหลับสนิทอย่างง่ายดายโดยไม่รู้สึกแปลกที่ ทั้งยังนอนตื่นสายจนไป๋อวี้ต้องเข้ามาปลุกในเช้าอีกต่างหาก

ไป๋อวี้เข้ามาหาบัวชมพูพร้อมนำน้ำอุ่นมาให้เธอล้างหน้าล้างตา แต่หญิงสาวอยากอาบน้ำมากกว่า เพราะคุ้นเคยกับการอาบน้ำตอนเช้าทุกวัน แม้ไป๋อวี้จะแปลกใจว่าเหตุใดจึงต้องอาบน้ำในตอนเช้า แต่สาวใช้คนดีที่ฝูซิ่นเล่อยกให้เธอก็ไม่ได้ขัด เตรียมน้ำอุ่นให้บัวชมพูอาบ ทั้งยังเข้ามาช่วยปรนนิบัติดูแลจนสวมเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย

นอกจากฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว อีกคนที่เธอชอบที่สุดในจวนแม่ทัพก็คือสาวใช้ที่น่ารักผู้นี้

“แม่นางสวมชุดของฮองเฮาแล้วงามมากเลยเจ้าค่ะ” ไป๋อวี้ชื่นชมเมื่อแต่งตัวให้บัวชมพูเสร็จเรียบร้อย

“ชุดของฮองเฮา? ไหนอีตาแม่ทัพนั่นบอกว่าเป็นชุดของพี่สาวไง”

“ท่านแม่ทัพเป็นพระอนุชาของฮองเฮาเจ้าค่ะ”

บัวชมพูอ้าปากค้าง ชีวิตฝูซิ่นเล่อจะเลิศเลออะไรปานนั้น หน้าตาดี มีฐานะ มีบรรดาศักดิ์เป็นโหว มีตำแหน่งเป็นแม่ทัพ แล้วยังมีพี่สาวเป็นฮองเฮา ในแผ่นดินนี้มีใครน่าอิจฉาไปกว่าผู้ชายคนนี้อีก

“ชีวิตดีจริง ๆ” บัวชมพูพึมพำ “แล้วนี่เขาตื่นหรือยัง”

“ท่านแม่ทัพตื่นตั้งแต่ยามอิ๋น เจ้าค่ะ เพราะต้องเข้าประชุมในท้องพระโรงแต่เช้า”

บัวชมพูฟังไป๋อวี้พูดไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่เธอก็พยายามที่จะเรียนรู้ เธอฝึกพูดกับไป๋อวี้ แล้วให้นางพาตนไปพบฮูหยินผู้เฒ่า จากนั้นจึงขลุกอยู่กับนางทั้งวัน พยายามฝึกพูดจาให้เหมือนที่ฮูหยินผู้เฒ่าสอน

ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นบัวชมพูฝึกฟังฝึกพูดเหมือนเด็กเล็ก ๆ มีหรือจะไม่นึกเมตตาเอ็นดู คุยกันไปคุยกันมา นางก็ถอดสร้อยข้อมือลูกปัดหยกสลักลายดอกบัวมาสวมที่ข้อมือของบัวชมพู

“จะดีหรือเจ้าคะ” บัวชมพูถามอย่างเกรงใจ คำพูดคำจาและสำเนียงเริ่มคล้ายคนต้าจินขึ้นมาสองสามส่วน

“เหตุใดจึงจะไม่ดีเล่า” ฮูหยินผู้เฒ่าถามกลับด้วยรอยยิ้ม “ข้าถูกชะตากับเจ้ายิ่งนัก มีเจ้ามาอยู่ด้วยในวันที่ซิ่นเล่อไม่อยู่ ข้าก็ไม่รู้สึกเหงา”

“เช่นนั้นท่านย่ามองข้าเป็นลูกเป็นหลานอีกคนก็ได้เจ้าค่ะ” บัวชมพูพูดอย่างออดอ้อน

ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะเบา ๆ หลายปีก่อนเคยมีคนมาพูดคำนี้กับท่าน จากนั้นไม่นาน ชายคนนั้นก็ได้มาเป็นเขยของสกุลฝู แล้วหญิงสาวเบื้องหน้าผู้นี้เล่า จะได้มาเป็นสะใภ้สกุลฝูอีกคนหรือไม่

“เอาสิ ในเมื่อเจ้าเป็นหลานข้า ก็ต้องมาหาข้าบ่อย ๆ รู้ไหม”

“เจ้าค่ะ เหลียนเอ๋อร์สัญญาว่าจะมาหาท่านย่าบ่อย ๆ”

“เด็กคนนี้รู้จักเอาใจคนแก่” ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะชอบใจใหญ่

ฝูซิ่นเล่อที่เพิ่งกลับมาถึงจวน ได้ยินว่าบัวชมพูไปฝึกการใช้ภาษาอยู่กับย่าของตนที่เรือนเหมยฮวาจึงรีบตามไป ชายหนุ่มมาทันได้ยินเสียงหัวเราะของผู้เป็นย่าพอดี ไม่รู้ว่าบัวชมพูกำลังออดอ้อนอะไรท่านย่าของเขาอยู่

“ซิ่นเล่อ กลับมาแล้วรึ” ฮูหยินผู้เฒ่าทัก

“ขอรับท่านย่า”

“วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

“เรียบร้อยดีขอรับ” ฝูซิ่นเล่อตอบ

ฮูหยินผู้เฒ่าชวนหลานชายคุยต่ออีกสองสามประโยค จากนั้นจึงเอ่ยปากว่าตนอยากไปพักเต็มที แล้วเรียกให้สาวใช้อาวุโสมาพากลับไปยังห้องพัก ด้วยรู้ดีว่าหลานชายของตนคงอยากจะรับสตรีที่เฝ้าฝันถึงมานานถึงห้าปีกลับไปพูดคุยทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้

“วันนี้ฮองเฮาประทานผ้าไหมให้พับหนึ่ง ข้าไม่รู้จะเอาไปใช้อะไร เจ้าเอาไปก็แล้วกัน” ฝูซิ่นเล่อพูดขณะเดินออกจากเรือนเหมยฮวาพร้อมบัวชมพู

“ของที่ฮองเฮาประทานเหรอ ต้องสวยมากแน่ ๆ” บัวชมพูดูท่าทางตื่นเต้น

ผ้าที่ทอด้วยวิธีโบราณ อีกทั้งยังเป็นผ้าที่ฮองเฮาประทาน เพียงแค่จินตนาการก็รู้แน่ว่าต้องงดงามยิ่งกว่าผ้าสองพับที่เธอได้มาเมื่อวานเป็นแน่

“ก็คงงามกระมัง” ฝูซิ่นเล่อตอบเสียงเรียบ

“พรุ่งนี้ข้าจะเอาไปให้ที่ร้านเดิมตัดชุดเพิ่มให้” บัวชมพูพูดเสียงใส “มีชุดสวย ๆ ให้ใส่แบบนี้ อยากอยู่ที่นี่ทุกวันเลย”

คนพูดก็พูดไปเรื่อยเปื่อย ทว่าคนฟังกลับคิดจริงจัง หากนางชมชอบชุดเสื้อผ้าสวยงาม เหตุใดเขาจะหามาให้นางไม่ได้เล่า

“หากเจ้าจะอยู่ที่นี่ทุกวันก็คงต้องตัดชุดเพิ่ม” ฝูซิ่นเล่อยังคงพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าท่าทางนิ่งเฉยตามเดิม “ข้าจะหาช่างมาตัดชุดให้เจ้าเพิ่มอีกสักยี่สิบชุดดีหรือไม่”

“ยี่สิบ!” บัวชมพูร้องเสียงหลง

“น้อยไปหรือ?”

“มากไปต่างหาก!”

“มีมากย่อมดีกว่ามีน้อย”

“แต่นี่ก็มากไป อย่างกับจะมาอยู่เป็นเดือนเป็นปี”

“หากเจ้าจะอยู่เป็นเดือนเป็นปีก็อยู่ไป แค่เลี้ยงคนเพิ่มขึ้นมาอีกคน จวนข้าไม่เดือดร้อนหรอก”

บัวชมพูถึงกับกลอกตา

“จ้ะ รวยจ้ะ” หญิงสาวพึมพำด้วยความหมั่นไส้ “ดูเหมือนท่านจะอยากให้ข้าอยู่ที่นี่เหลือเกินนะ”

“ท่านย่าชอบเจ้า หากเจ้าอยู่ที่นี่ ท่านย่าจะได้ไม่เหงา”

“ทำเป็นเอาท่านย่ามาอ้าง จริง ๆ แล้วเป็นท่านที่ชอบข้าใช่ไหมล่ะ” หญิงสาวยิ้มล้อเลียน

“อัปลักษณ์เช่นเจ้าน่ะหรือที่ข้าจะชอบ” ฝูซิ่นตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“ใครว่าข้าอัปลักษณ์” บัวชมพูเถียง “นี่เลือกเก็บส่วนที่ดีที่สุดจากทุกเชื้อชาติ ทั้งไทย จีน ฝรั่งเศส มาเลยนะ สวยกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว พูดเลย!”

แม่ทัพหนุ่มฟังนางพูดไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่เท่าที่จับใจความได้ ดูเหมือนว่าสตรีผู้นี้จะกำลังกล่าววาจาชื่นชมตนเองอย่างไม่ถ่อมตัว และไม่มีความเขินอายแม้แต่น้อย

“ผู้ใดบอกเจ้าเช่นนั้น” ฝูซิ่นเล่อกลั้นยิ้ม

บัวชมพูนิ่งไปเล็กน้อย จะบอกว่าอดีตว่าที่สามีเคยชมก็รู้สึกกระดากปาก พวกแก๊งสัปดนก็ไม่เคยมีใครชมเธอสักคน

ถ้าอย่างนั้น เธอชมตัวเองก็ได้!

“ก็ข้านี่ไงที่บอก” บัวชมพูพูดออกมาด้วยความมั่นใจ

ความมั่นหน้านี้ หามีผู้ใดเทียบเท่าอีกแล้วเจ้าค่า!

“นอกจากจะอัปลักษณ์แล้วยังหลงตัวเองอีก” ชายหนุ่มต้องพยายามอย่างมากที่จะไม่หัวเราะออกมา

“ใช่ ข้ามันคนหลงตัวเอง รู้ไว้เลย” หญิงสาวยิ้ม “ถึงท่านไม่ชมข้า ข้าก็ส่องกระจกชมตัวเองได้”

“อย่างนั้นรึ”

“อย่างนั้นแหละ”

“หึ ๆ” ฝูซิ่นเล่อหัวเราะในลำคอ พลางเบือนหน้าไปยิ้มทางอื่น

ไป๋อวี้ถึงกับตาค้าง นางอยู่รับใช้ที่จวนสกุลฝูมาแต่เล็กแต่น้อย เห็นท่านแม่ทัพยิ้มแทบจะนับครั้งได้ ท่านภูตเหลียนเอ๋อร์เพิ่งมาอยู่ได้เพียงไม่นาน กลับเรียกรอยยิ้มของท่านแม่ทัพได้อย่างง่ายดาย ความสำคัญของท่านภูตในใจผู้เป็นนายของนางย่อมต้องไม่ธรรมดาแน่

“พรุ่งนี้องค์ชายใหญ่หลานข้าจะมาเยี่ยมท่านย่า” ฝูซิ่นเล่อเปลี่ยนเรื่องคุย “หากเจ้ายังไม่กลับไป ก็อยู่เล่นเป็นเพื่อนเขาหน่อย”

หญิงสาวยกมือขึ้นชี้ตัวเอง “หน้าตาข้าดูเหมือนคนรักเด็กเหรอ”

“ช่วงบ่าย เขาจะออกจากวังมาพร้อมข้า” แม่ทัพหนุ่มไม่สนใจท่าทางคัดค้านของบัวชมพู “เตรียมขนมไว้ให้เขาด้วย”

“คิดว่าคนอย่างข้าทำขนมเป็น?” บัวชมพูอยากจะหัวเราะ เธอเรียนจบด้านอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ ให้ผ่าศพยังถนัดมากกว่าให้ทำอาหาร

“ข้าไม่ได้ให้เจ้าทำ แต่ให้เจ้าช่วยเตรียม”

“แต่...”

“อย่าให้มีข้อผิดพลาดล่ะ เพราะหลานข้าเป็นถึงองค์ชายใหญ่ หากทำไม่ดี เจ้าอาจจะหัวขาดได้” ฝูซิ่นเล่อแกล้งขู่

“งั้นหนีกลับบ้านตอนนี้เลยดีกว่า” บัวชมพูเตรียมจะวิ่งไปยังสระบัวในเรือนเหลียนฮวา แต่กลับถูกมือแข็งแกร่งรั้งไว้

“ข้ายังไม่อนุญาตให้กลับ”

“แล้วท่านถือสิทธิ์อะไรมาห้าม ถ้าข้าจะกลับซะอย่าง ต่อให้ท่านเอาเชือกมัดไว้ ข้าก็หาทางกลับไปได้อยู่ดี”

ฝูซิ่นเล่อยิ้มให้กับใบหน้าไม่พอใจนั้น

“หากดื้อรั้น คืนนี้ข้าจะมานอนเฝ้าเจ้าที่เรือนเหลียนฮวาให้รู้แล้วรู้รอดไป”

“ทำไมเอาแต่ใจแบบนี้!” บัวชมพูร้องออกมาอย่างขัดใจ

ไป๋อวี้ก้มหน้าลงซ่อนรอยยิ้ม แม้ท่านภูตมองไม่ออก แต่นางมองออก ท่านแม่ทัพไม่เคยเหนี่ยวรั้งสตรีใดมาก่อน กระทั่งฮองเฮาผู้เป็นพี่สาวที่เขารักดุจมารดาก็ยังไม่เคย แต่ครั้งนี้ท่านแม่ทัพกลับรั้งท่านภูตไว้ มือที่แทบไม่เคยสัมผัสสตรีใด ยามนี้กำแน่นอยู่บนข้อมือเรียวเล็กของท่านภูต ไหนจะยังคำพูดที่แสดงเจตนาชัดเจนว่าปรารถนาจะให้นางอยู่นั่นอีก

บัวชมพูไม่ได้โตมาในจวนสกุลฝูอย่างไป๋อวี้ จึงไม่เข้าใจฝูซิ่นเล่อเหมือนสาวใช้คนงาม หญิงสาวไม่เข้าใจนิสัยของคนเป็นแม่ทัพ คำพูดที่ออกมาจากปากเขาแต่ละคำฟังดูคล้ายเป็นคำสั่ง เพราะเขาต้องคอยสั่งการคนนับแสนตั้งแต่อายุยังน้อย หากแท้จริงแล้ว ภายใต้คำสั่งการนั้น ชายหนุ่มกำลังกล่าวถ้อยคำขอร้องต่อหญิงสาวตรงหน้าให้นางอยู่ที่จวนเขาต่อไป

จู่ ๆ บัวชมพูก็ดึงมือกลับแล้วตบที่แก้มของตน

“เจ้าทำอะไร!” ฝูซิ่นเล่อตกใจ รีบประคองใบหน้านางขึ้น ครั้นเห็นรอยเลือดจุดเล็กๆ ที่ข้างแก้มก็เข้าใจได้ในทันที

“ตบยุง” หญิงสาวตอบหน้าตาย ก่อนเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มล้อเลียน “ทำไม เป็นห่วงเหรอ”

“ข้านึกว่าเจ้าเสียสติไปแล้ว จึงได้ตบหน้าตัวเอง”

“อ๋อเหรอ” บัวชมพูลอยหน้าลอยตาถาม พลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้ฝูซิ่นเล่อคล้ายจะล้อเลียน จนไป๋อวี้ต้องก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิม “ไม่ได้เป็นห่วงจริง ๆ เหรอ”

ฝ่ายฝูซิ่นเล่อรู้ตัวว่ากำลังถูกท้าทายแกมล้อเลียน แทนที่จะรู้สึกเสียหน้า มุมปากกลับยกยิ้ม ยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้านางแผ่วเบาเพื่อเช็ดคราบเลือดยุง จนคนที่เพิ่งยื่นหน้าเข้ามาหาเขาชะงักค้าง พวงแก้มสีชมพูระเรื่อบัดนี้เป็นสีแดงจัดอย่างเห็นได้ชัด

บัวชมพูก้าวถอยหลังหนี มือไม้เกะกะไม่รู้จะวางไว้ที่ไหน ไม่รู้แม้กระทั่งว่าจะทำหน้าเช่นไร ยิ่งได้เห็นอีกฝ่ายยิ้มอย่างผู้มีชัยก็ยิ่งปั้นหน้าล้อเลียนเขาต่อไม่ไหว

“ข้า...ข้าไปนอนดีกว่า” บัวชมพูพูดพร้อมกับยกมือขึ้นถูแก้มที่รู้สึกอุ่น ๆ

“ยังคิดจะหนีกลับบ้านอยู่หรือไม่”

“ถ้าคิดแล้วจะทำไม จะมานอนเฝ้าเหรอ”

“ข้าพูดอะไรออกมาก็ย่อมต้องทำเช่นนั้น”

“ถ้าอยากมานอนเฝ้าให้ยุงกัดตายก็ตามใจเถอะ”

“ข้าไม่โดนยุงกัดหรอก” รอยยิ้มของฝูซิ่นเล่อเจ้าเล่ห์ร้ายกาจขึ้น “เฝ้าอยู่นอกห้องจะมีประโยชน์อะไร ข้าเข้าไปเฝ้าเจ้าในห้องไม่ดีกว่าหรือ”

“ใครอนุญาตให้ท่านเข้าห้องข้า!” บัวชมพูแทบจะแผดเสียงใส่

“ที่นี่จวนข้า เรือนเหลียนฮวาทั้งเรือนเป็นของข้า ข้าจะเข้าจะออกหรือจะนอนห้องไหน ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาอนุญาต”

“งั้นข้ากลับบ้าน!”

“ข้ายังไม่อนุญาตให้กลับ”

“ข้าก็ไม่ได้ขออนุญาตสักหน่อย” หญิงสาวเถียงอย่างไม่ยอมแพ้ “ข้าอยากกลับก็จะกลับ ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตใคร”

“นี่เจ้าอยากให้ข้ามานอนด้วยถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ฝูซิ่นเล่อยิ้มยั่ว “บอกดี ๆ ข้าก็ยอมมานอนเป็นเพื่อนแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้แผนหนีกลับบ้านมาหลอกล่อข้าหรอก”

“หา!” บัวชมพูแทบจะยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเอง

คนอะไร ว่าแต่คนอื่นหลงตัวเอง ทั้งที่ตัวเขานั่นแหละที่หลงตัวเองที่สุด!

“ไหนลองพูดดี ๆ สิ หากน่าเอ็นดูพอ ข้าจะมานอนเป็นเพื่อน”

บัวชมพูอยากจะกรี๊ดใส่หน้าแม่ทัพบ้านี่นัก ทีแรกเป็นเธอที่กวนประสาทเขาอยู่ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเขากำลังกวนประสาทเธอไปได้เล่า

คนหนึ่งยั่วเย้าถึงเพียงนี้ อีกคนมีหรือจะยอมแพ้ บัวชมพูฉีกยิ้มกว้างอย่างไม่จริงใจที่สุดไปให้ฝูซิ่นเล่อ ก่อนจะกล่าว

“ท่านแม่ทัพคนดีของข้า คืนนี้มานอนเป็นเพื่อนเหลียนเอ๋อร์ได้หรือไม่เจ้าคะ” พูดจบก็กะพริบตาให้เขาด้วยท่าทางกวนประสาท

เท่าที่เธอพอจะเคยอ่านในหนังสือมาบ้าง ผู้ชายในยุคสมัยนี้ไม่ชมชอบสตรีกิริยามารยาทอย่างที่เธอทำอยู่ อีกทั้งตัวฝูซิ่นเล่อเองก็ดูไม่ใช่พวกชอบฉวยโอกาสหรือเจ้าชู้มักมากในกาม อยากจะรู้เหมือนกันว่าเธอพูดออกไปแบบนี้ เขาจะทำหน้าอย่างไร

ทว่าฝูซิ่นเล่อกลับยิ้ม

เหตุใดเขาจะไม่รู้ว่าตนกำลังถูกสตรีผู้นี้ท้าทาย ชายหนุ่มก้าวเข้าไปหาบัวชมพูก้าวหนึ่งพร้อมรอยยิ้มร้ายกาจ

“ถึงจะไม่น่าเอ็นดูเท่าไหร่ แต่ก็นับว่าพอใช้ได้”

“หมายความว่า...”

“คืนนี้ข้าจะมานอนกับเจ้า”

เวรกรรม! เวรกรรม! เวรกรรม!

บัวชมพูเดินไปมาอยู่ในห้องด้วยความกระวนกระวาย อีตาแม่ทัพบ้านั่นบอกว่าคืนนี้จะมานอนกับเธอ ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดของใครที่ไหน แต่เป็นตัวเธอเองที่แกล้งไปท้าทายเขา คิดไปได้ยังไงว่าผู้ชายหน้านิ่ง มาดขรึม ท่าทางเย็นชาคนนั้น จะเป็นหนุ่มน้อยอ่อนต่อโลกและมีความเขินอายต่อสตรี

ให้ตายเถอะ! ผู้ชายนี่มองแต่ภายนอกไม่ได้จริง ๆ

บัวชมพูย่องไปที่หน้าต่าง แล้วค่อย ๆ เปิดออกอย่างเงียบกริบ ถลกชุดกระโปรงตัวยาวขึ้น ก่อนตัดสินใจกระโดดข้ามหน้าต่างออกไป

“อยากมานอนนักก็นอนให้พอใจ หึ ๆ” บัวชมพูหัวเราะในลำคอ ขณะเดินตรงไปยังสระบัว

“ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่ายังไม่อนุญาตให้กลับ” เสียงของฝูซิ่นเล่อดังขึ้น ทว่ามือของเขากลับว่องไวยิ่งกว่าคำพูดของตนเสียอีก ยังพูดไม่ทันจบประโยค ร่างเล็กตรงหน้าก็ลอยมาปะทะเข้ากับแผงอกกำยำ

“เจ็บนะ!” บัวชมพูโวยวายขณะยกมือขึ้นลูบจมูกที่ถูกกระแทก “นี่ถ้าทำจมูกมา ป่านนี้ต้องไปรื้อทำใหม่แล้ว!”

“พูดจาภาษาอะไรของเจ้าอีก” แม่ทัพหนุ่มฟังไม่เข้าใจ

“ภาษาต่างดาว ข้ามาจากดาวยูเรนัสโน่น!”

“พูดจาไม่รู้เรื่องรู้ความ เห็นทีข้าคงต้องส่งเจ้าไปเข้าเรียนที่สำนักศึกษากับพวกเด็ก ๆ เสียแล้ว เผื่อเจ้าจะพูดให้คนอื่นฟังเข้าใจได้บ้าง”

คำพูดของฝูซิ่นเล่อทำเอาบัวชมพูแทบจะแรปคำด่าใส่หน้าเขา ในเมื่อหาว่าเธอพูดไม่รู้เรื่อง งั้นก็พูดให้มันไม่รู้เรื่องสุด ๆ ไปเลยดีไหม

“ว่าแต่คนอื่นเขาพูดไม่รู้เรื่อง ตัวเองพูดรู้เรื่องตายละ” หญิงสาวเบะปาก “ในเมื่อพูดกันไม่รู้เรื่องก็ปล่อยข้ากลับบ้านสิ ข้าจะได้ไปพูดกับคนที่ฟังข้ารู้เรื่อง!”

“เหตุใดต้องพูดราวกับน้อยเนื้อต่ำใจถึงเพียงนั้น”

“อะไรน้อย ๆ เนื้อ ๆ นะ?” บัวชมพูฟังไม่ทัน

“เจ้าน้อยใจหรือ” ฝูซิ่นเล่อถามซ้ำ

“ใครน้อยใจ โน้วววววว จะบ้าเหรอ!”

ฝูซิ่นเล่อฟังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไร เกรงว่านางจะน้อยอกน้อยใจดังเช่นที่พูดจาตัดพ้อเมื่อครู่

“กลับเข้าไปนอนเถิด ข้าไม่แกล้งแล้ว” แม่ทัพหนุ่มยอมถอยให้

“หืม? ทำไมอยู่ดี ๆ ก็ใจดีเฉย?” บัวชมพูเลิกคิ้ว

หรือเพราะเขาคิดว่าเธอน้อยใจจึงยอมลงให้?

เมื่อคิดได้ดังนั้น หญิงสาวก็อมยิ้ม พลางมองใบหน้าเรียบเฉยที่ฉายแววห่วงใยของบุรุษตรงหน้า ที่แท้ผู้ชายคนนี้ก็มีมุมน่ารักอยู่เหมือนกัน

เอาเถอะ เห็นแก่ความน่ารักครั้งนี้หรอกนะ

บัวชมพูถอนหายใจออกมา แล้วเดินกลับไปทางหน้าต่างห้อง ทำท่าจะปีนกลับเข้าไป ทว่าฝูซิ่นเล่อตามมาดึงแขนเธอไว้

“อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดจะปีนกลับเข้าไป”

“อื้อ” บัวชมพูพยักหน้ารับ “ก็จะกลับเข้าไปนอนไง”

ฝูซิ่นเล่อมองบัวชมพูด้วยใบหน้าเรียบเฉย หากความจริงแล้ว เขาไม่รู้ว่าตนควรต้องทำหน้าเช่นไร องครักษ์ของเขามีอยู่มากมายเต็มจวน แม้มองไม่เห็นก็ใช่ว่าจะไม่มี จะให้นางปีนเข้าปีนออกหน้าต่างเช่นนี้ได้อย่างไร

“หรือว่าท่านจะอุ้มข้าเข้าไปล่ะ” บัวชมพูแกล้งถามพร้อมรอยยิ้มล้อเลียน

เห็นนางยิ้มได้เช่นนี้ ฝูซิ่นเล่อก็เบาใจไปหลายส่วนทีเดียว ทว่ารอยยิ้มท้าทายเช่นนั้นก็เชิญชวนให้เขาอยากจะทำตามคำยั่วยุของนางเสียจริง

แต่ก็ทำได้เพียงแค่คิด

“ไปเข้าทางประตูหน้า” แม่ทัพหนุ่มคว้ามือเรียวบางของบัวชมพูแล้วเดินตรงไปที่ประตูทางเข้าเรือน ก่อนเรียกไป๋อวี้ให้มาเปิดประตู สาวใช้คนงามแปลกใจไม่น้อยที่ท่านภูตออกไปอยู่นอกเรือนโดยที่นางไม่รู้ ทั้งยังอยู่กับท่านแม่ทัพอีกต่างหาก

บัวชมพูยิ้มกรุ้มกริ่มขณะมองฝูซิ่นเล่อ ทีแรกเขายังไม่รู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ กระทั่งบัวชมพูที่กำลังยิ้มมองหน้าเขาสลับกับมือที่ถูกเขาเกาะกุม ชายหนุ่มจึงรีบปล่อยมือจากเธอทันที

“ขอโทษ” เขาเอ่ยเสียงเรียบ ไม่ได้มีทีท่าว่าขัดเขิน แต่บัวชมพูไม่ใช่สาวน้อยไร้เดียงสาที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เธอมาจากโลกยุคศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดซึ่งผู้หญิงเป็นฝ่ายเดินหน้าจีบผู้ชายแล้ว อีกทั้งเธอยังมีเพื่อนผู้ชายอีกเป็นโขยง มีหรือจะดูไม่ออกว่าใครบางคนกำลังพยายามเก็บซ่อนอาการเขินอายไว้

ทำไมถึงน่ารักอย่างนี้!

อยากแกล้ง! อยากล้อ! อยากแกล้ง! อยากล้อ!

“จับแน่นขนาดนี้ คิดอะไรกับข้าหรือเปล่า” บัวชมพูถามยิ้ม ๆ

ไป๋อวี้รู้ตัวว่าไม่ควรอยู่ตรงนี้ จึงค่อย ๆ ถอยออกไปอย่างแนบเนียน

“เจ้าพูดเรื่องอะไร” ฝูซิ่นเล่อคล้ายฟังเข้าใจ แต่ก็คล้ายไม่เข้าใจในภาษาพูดและสำเนียงของนาง

“ท่าน... ชอบข้าหรือ” หญิงสาวถามออกไปตามตรง รอยยิ้มฉายชัดเต็มใบหน้า ไม่ว่าจะมองอย่างไร ฝูซิ่นเล่อก็มองออกว่านางกำลังหาเรื่องแกล้งเขา ชายหนุ่มจึงแสร้งถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

“เคยมีใครบอกเจ้าหรือไม่ ว่าเจ้าเป็นคนหลงตัวเองยิ่งนัก”

“เคย” บัวชมพูตอบเสียงใส “ท่านไง”

คราวนี้ฝูซิ่นเล่อถอนหายใจออกมาโดยไม่ต้องเสแสร้ง ทว่าบัวชมพูกลับหัวเราะร่วน

“ข้าก็เป็นคนหลงตัวเองเช่นนี้ แล้วท่านชอบข้าหรือไม่เล่า”

“หากข้าตอบว่าชอบ เจ้าจะทำเช่นไร”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel