บท
ตั้งค่า

บทที่ 3 สาวเทื้ออัปลักษณ์

ไป๋อวี้พาบัวชมพูไปอาบน้ำ ทั้งยังคอยปรนนิบัติอยู่ข้าง ๆ ตลอดเวลา ทำเอาบัวชมพูเขินอายไม่น้อย ตั้งแต่โตมายังไม่เคยมีใครช่วยเธออาบน้ำมาก่อน แต่สาวใช้หน้าหวานก็ยืนกรานที่จะช่วยเธออาบน้ำให้ได้ จนบัวชมพูหมดปัญญาจะคัดค้าน ต้องปล่อยเลยตามเลย ได้แต่คิดว่าอย่างไรเสียก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน

ไป๋อวี้เรียกบัวชมพูว่า ‘แม่นางเหลียน’ ตามที่ได้ยินฝูซิ่นเล่อเรียก หญิงสาวรู้สึกขัดเขินอยู่บ้าง แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อไป๋อวี้เองก็ออกเสียงชื่อเธอไม่ได้เช่นเดียวกับเจ้านายของนาง

หลังอาบน้ำเสร็จ ไป๋อวี้ก็ช่วยบัวชมพูสวมชุดที่เธองุนงงว่าต้องใส่อะไรก่อนอะไรหลัง ผ้าชิ้นไหนต้องผูกอย่างไร แล้วผูกยังไงไม่ให้หลุด แต่เมื่อสวมเสื้อผ้าเสร็จ บัวชมพูก็อดไม่ได้ที่จะลูบคลำเสื้อตัวนอกที่ตัดเย็บจากผ้าเนื้อบางเบาที่ไป๋อวี้นำมาให้ เนื้อผ้าสีขาวเนียนนุ่มปักลายดอกเหมยสีชมพู ลายปักแน่นละเอียดทุกฝีเข็ม ดูงดงามมีชีวิตชีวาราวกับเป็นดอกเหมยของจริงที่ปลิวมาติดบนเสื้อผ้าชุดนี้

“ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นผู้ปักเจ้าค่ะ” ไป๋อวี้เล่า เมื่อเห็นว่าบัวชมพูสนใจลายปักบนเนื้อผ้า “สมัยก่อนยามที่ฮองเฮากับท่านแม่ทัพออกไปทำศึกด้วยกัน ฮูหยินผู้เฒ่าก็จะนั่งตัดเย็บเสื้อผ้าให้ท่านแม่ทัพกับฮองเฮา”

“ท่านแม่ทัพ? ฮองเฮา? ทำศึก?” บัวชมพูทวนคำ แม้สาวใช้ผู้นี้จะพูดจาเนิบช้า จนเธอฟังถ้อยคำที่นางพูดเข้าใจ แต่บัวชมพูก็ยังไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นถูกต้องหรือไม่

ฮองเฮาหรือหวงโฮ่วตามความเข้าใจของบัวชมพูคือจักรพรรดินีมิใช่หรือ แล้วเพราะอะไร สตรีระดับจักรพรรดินีจึงต้องออกทำศึกด้วยตัวเอง

“แม่นางเหลียนไม่ทราบหรือเจ้าคะ ว่าแต่เดิมฮองเฮาคือกุนซือแห่งทัพไป๋หู่ ผู้วางกลศึกในการทำศึกกับต้าเจา” ไป๋อวี้ถามอย่างประหลาดใจ ในแคว้นจินนี้ยังมีผู้ที่ไม่เคยได้ยินวีรกรรมยิ่งใหญ่ของฮองเฮาในการศึกระหว่างต้าจินกับต้าเจาอยู่อีกหรือ

คำอธิบายของไป๋อวี้ทำให้บัวชมพูยิ่งปวดหัวมากกว่าเดิม เกินครึ่งของประโยคที่นางได้พูดออกมานั้น เธอฟังไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย

“เอ่อ... ขอโทษด้วย ฉันเพิ่งมาจากที่อื่นน่ะ เลยฟังไม่ค่อยเข้าใจ”

“แม่นางหมายความว่า แม่นางมาจากแคว้นอื่นหรือเจ้าคะ”

“ก็... อะไรทำนองนั้นแหละ”

ไป๋อวี้ดูเหมือนจะงุนงงกับคำพูดของบัวชมพู แต่นางก็ไม่ได้เซ้าซี้ถามอะไร เพียงแค่ก้มหน้าก้มตาช่วยบัวชมพูจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เช็ดผมที่เปียกชื้นของเธออย่างเบามือ

“สีผมของแม่นางแปลกตายิ่งนัก ข้ามิเคยเห็นมาก่อน” ไป๋อวี้พูดขณะใช้ผ้าผืนนุ่มเช็ดผมให้บัวชมพู “ที่บ้านเมืองของแม่นาง ผู้คนมีผมสีน้ำตาลเช่นนี้หรือเจ้าคะ”

“ไม่ใช่หรอก” บัวชมพูหัวเราะ “ผมของฉันก็สีดำเหมือนเธอนั่นแหละ เพียงแค่ฉันทำให้มันเป็นสีน้ำตาลน่ะ”

“เรื่องเช่นนั้นทำได้ด้วยหรือเจ้าคะ”

“ที่บ้านฉันทำได้นะ”

“ที่แท้เป็นเช่นนี้” ไป๋อวี้พยักหน้ารับ

“ออกไปข้างนอกกันดีกว่า”

“แต่แม่นางยังไม่ได้เกล้าผม”

“ไม่ต้องเกล้าหรอก ผมยังไม่แห้งนี่”

“แต่...”

“มาเถอะ” บัวชมพูตัดบทแล้วคว้าข้อมือไป๋อวี้เดินออกจากห้อง เธออยากจะออกไปเดินดูรอบ ๆ จะแย่แล้ว อยู่ดี ๆ ก็ข้ามมิติมาสถานที่แปลกใหม่ ใครบ้างจะไม่อยากรู้อยากเห็นว่าสถานที่ที่ตนมานั้นเป็นเช่นไร

“แม่นางเจ้าคะ ไปพบท่านแม่ทัพก่อนดีหรือไม่”

“ท่านแม่ทัพ? หมายถึงฝูซิ่นเล่อน่ะเหรอ”

“เจ้าค่ะ”

“ไปก็ได้ ว่าแต่เขาอยู่ไหนล่ะ”

“น่าจะอยู่ที่ห้องหนังสือเรือนวายุเจ้าค่ะ”

“งั้นไปกัน”

บัวชมพูสังเกตเห็นสีหน้างุนงงของไป๋อวี้ยามคุยกับตนอยู่หลายครั้ง ดูท่าว่าเด็กสาวคนนี้จะไม่ใช่คนที่ชอบซักไซ้อะไร แม้งุนงงสงสัยก็ไม่ซักถามให้มากความ ทั้งยังตั้งใจทำหน้าที่ที่ตนได้รับมอบหมายเป็นอย่างดี

ไป๋อวี้พาบัวชมพูเดินเข้ามาในเรือนที่อยู่ทิศตรงข้ามกับเรือนเหลียนฮวาหรือเรือนที่มีสระบัว หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองป้ายที่อยู่หน้าประตูแล้วยิ้มเจื่อน ตัวอักษรบนป้ายนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นตัวอักษรจีน แต่กลับไม่ใช่ตัวอักษรในแบบที่เธอเคยเรียนมา

มันเป็นอักษรจีนตัวเต็มที่เธออ่านไม่ออกสักคำ

ไป๋อวี้เดินนำบัวชมพูเข้าไปข้างในเรือนที่มีทหารองครักษ์ยืนเฝ้าอยู่ แต่ละคนมองมาที่หญิงสาวอย่างประหลาดใจ พวกเขาต่างไม่เคยเห็นสตรีใดที่ปล่อยผมเผ้าเปียกชื้นเดินออกมาปรากฏกายต่อหน้าผู้อื่นมาก่อน อีกทั้งยามนี้สตรีนางนั้นยังเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องหนังสือของผู้เป็นนายของพวกเขาอีก

“ท่านแม่ทัพเจ้าคะ แม่นางเหลียนมาพบเจ้าค่ะ” ไป๋อวี้พูดอยู่ที่หน้าประตูห้อง

“เข้ามา” น้ำเสียงดุ ๆ จากในห้องตอบกลับมา

ไป๋อวี้เปิดประตูให้บัวชมพูเดินเข้าไปข้างใน ฝูซิ่นเล่อกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ โดยมีหนังสือเล่มสีน้ำเงินอยู่ในมือ เขาเงยหน้าขึ้นมองบัวชมพูที่เพิ่งเปลี่ยนจากลูกสุนัขตกน้ำมาอยู่ในชุดสง่างามของพี่สาวเขา

สาวใช้ผู้รู้หน้าที่ปิดประตูห้องอย่างเรียบร้อยทันทีที่บัวชมพูก้าวเข้าไปในห้องหนังสือ ร่างบอบบางในชุดสีขาวจึงเดินเข้าไปหาฝูซิ่นเล่อที่หัวคิ้วขมวดเข้าหากันน้อยๆ ขณะมองมาที่เธอ

“ไป๋อวี้ปล่อยให้เจ้ามีสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร” ฝูซิ่นเล่อถามเสียงเข้ม

“เอ่อ... พูดช้าลงหน่อยได้ไหม”

“ข้าถามว่าไป๋อวี้ปล่อยให้เจ้ามีสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร”

“สภาพเช่นนี้? เช่นไหนเหรอ” บัวชมพูถามกลับ

“ผมเผ้ายังไม่แห้ง ทั้งยังปล่อยรุงรัง ไม่เกล้าให้เรียบร้อย”

“ถ้าจะรอผมแห้งสนิทคงต้องใช้เวลาสองชั่วยามเลยมั้ง กว่าจะออกจากห้องได้ ส่วนเรื่องเกล้าผม ไม่ต้องเกล้าก็ได้ ปล่อยแบบนี้ก็สบายดีออก”

ฝูซิ่นเล่อฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ก็คร้านจะถาม เพราะจากที่คุยกันครั้งแรก เขาก็พอจะเดาได้ว่าหญิงสาวตรงหน้าอาจจะพูดคนละภาษากับตน

“นั่งสิ” ฝูซิ่นเล่อชี้ไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับที่เขานั่งอยู่

บัวชมพูเดินตามมานั่งอย่างว่าง่าย แล้วส่งยิ้มให้คนที่ทำหน้าเย็นชา

“เจ้าเป็นภูตผีปีศาจหรือเป็นใครมาจากไหน เหตุใดจึงขึ้นมาจากสระบัวได้”

“ไม่ได้เป็นผี เป็นคนธรรมดานี่แหละ ที่บ้านฉันก็มีสระบัวเหมือนกัน พอฉันกระโดดลงสระบัวที่บ้าน ก็มาโผล่ที่นี่ บางทีสระบัวน่าจะเป็นประตูมิติที่เชื่อมระหว่างบ้านของพวกเราละมั้ง”

ฝูซิ่นเล่อพยายามจับใจความจากถ้อยคำของบัวชมพูเท่าที่จะทำได้ เขาไม่รู้ว่านางกำลังพูดภาษาจีนหรือภาษาอะไรกันแน่ แต่เมื่อคิดได้ว่าในแต่ละแคว้นก็มีสำเนียงและภาษาท้องถิ่นที่แตกต่างกันไป บางทีสตรีผู้นี้อาจจะเป็นหนึ่งในผู้ที่พูดด้วยภาษาท้องถิ่นที่แตกต่างจากตนก็เป็นได้

“เมื่อครู่เจ้าพูดว่า ‘ประตูมิติ’ คำนี้หมายความว่าอย่างไร”

“ก็...” บัวชมพูพยายามคิดหาคำอธิบาย “เป็นอะไรสักอย่างที่ทำหน้าที่เหมือนประตู แต่สามารถพาเราไปสู่อีกสถานที่หนึ่งได้ อะไรประมาณนี้ พอเข้าใจไหม”

ฝูซิ่นเล่อคิดว่าเขาเข้าใจสิ่งที่นางพูดประมาณแปดส่วน จึงพยักหน้ารับ

“แล้วเหตุใดเจ้าจึงมาที่จวนข้า” ชายหนุ่มถามต่อ

“ไม่รู้สิ พอขึ้นมาจากสระบัวก็มาอยู่ที่นี่แล้ว” หญิงสาวตอบ “เป็นลิขิตสวรรค์ละมั้ง”

พูดจบบัวชมพูก็หัวเราะให้กับความคิดของตน ทว่าฝูซิ่นเล่อกลับคิดว่ามีความเป็นไปได้หลายส่วนทีเดียว ที่บัวชมพูจะมาที่จวนของเขาด้วยลิขิตสวรรค์ ไม่เช่นนั้น ผู้ใดกันที่จะสามารถเดินลงสระบัวบ้านตัวเองแล้วมาโผล่ที่สระบัวบ้านคนอื่นได้

ที่สำคัญ ก่อนหน้านี้เขาเคยฝันเห็นนางอยู่บ่อย ๆ

ฝูซิ่นเล่อฝันถึงบัวชมพูครั้งแรกตอนเขาอายุสิบเจ็ดปี ทุกครั้งจะฝันเห็นนางอยู่แถวสระบัวกลางสวน ทำให้เขาตั้งชื่อเรียกให้นางว่าเหลียนเอ๋อร์ ภาพฝันที่เกี่ยวกับนางในแต่ละครั้งล้วนสมจริง จนเขาเชื่อว่านางมีตัวตน แต่ไม่ว่าจะค้นหาอย่างไรก็ไม่เคยพบ และจากการฝันซ้ำ ๆ เป็นระยะเวลาถึงห้าปี ในที่สุดสตรีผู้นั้นก็ก้าวออกมาจากความฝัน และมาปรากฏกายอยู่ตรงหน้าเขา สามารถฟังเสียงนางพูด และสัมผัสร่างกายของนางเพื่อตอกย้ำว่านางมีตัวตนอยู่จริง

“เห็นไป๋อวี้เรียกท่านว่า ‘ท่านแม่ทัพ’ ท่านเป็นแม่ทัพเหรอ”

“ข้าคือจิ้นอิ๋งโหว แม่ทัพแห่งทัพไป๋หู่”

“เท่อะ!” บัวชมพูอยากจะกรี๊ดออกมาดัง ๆ จากที่เคยอ่านแค่ในหนังสือ เคยได้ยินแค่ในซีรีส์ ยามนี้เธอได้มาเห็นบุรุษที่เป็นทั้งโหวและแม่ทัพด้วยสองตาของตัวเองแล้ว แล้วท่านแม่ทัพผู้นี้ก็ยังหล่อมาก ๆ อีกด้วย

ปลื้มปริ่มจนน้ำตาจะไหลอยู่แล้ว

“เท่? นั่นเจ้าหมายความว่าอย่างไร”

“ก็แบบ...ดูดี อะไรทำนองนี้”

“อ้อ” ฝูซิ่นเล่อเพียงพยักหน้ารับ “แล้วเจ้าคิดจะมาอยู่ที่จวนข้านานเท่าใด”

“อยู่เหรอ?” บัวชมพูทวนคำ “ไม่ได้จะมาอยู่ เดี๋ยวก็กลับแล้ว แค่มาพิสูจน์ว่าก่อนหน้าที่มาที่นี่ไม่ได้ฝันไปก็เท่านั้น”

ฝูซิ่นเล่อจับใจความได้เพียงแค่ ‘ไม่ได้จะมาอยู่ เดี๋ยวก็กลับแล้ว’ ทำให้เกิดความรู้สึกผิดหวังในใจขึ้นมา เขาตามหานางมานานถึงห้าปี แต่นางกลับคิดจะมาแค่ประเดี๋ยวเดียวแล้วกลับไปอย่างนั้นหรือ

“แต่คิดไปคิดมา ถ้าเวลาที่นี่กับที่บ้านฉันเดินไม่ตรงกัน ก็น่าอยู่เที่ยวนาน ๆ เหมือนกันนะ” บัวชมพูครุ่นคิด

เดิมทีเธอคิดจะไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียว เพื่อรักษาความผิดหวังที่เกิดจากวรกานต์อยู่แล้ว แต่พอมีเรื่องการเดินทางผ่านประตูมิติมาได้แบบนี้ ก็ดูน่าสนุกกว่าการไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียวเป็นไหน ๆ

“ถ้าฉันขออยู่ที่นี่หลายวันหน่อยจะได้ไหม” หญิงสาวถาม น้ำเสียงออดอ้อนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“จะอยู่ก็อยู่” น้ำเสียงที่ตอบกลับมานั้นยังคงราบเรียบเช่นเดิม ไม่ได้มีทีท่าดีอกดีใจแต่อย่างใด “หากใครถามก็บอกว่าเจ้าเป็นญาติห่าง ๆ ของข้าที่มาจากต่างเมือง”

“ได้” บัวชมพูรีบรับคำทันทีด้วยความดีใจ จนไม่ทันได้สังเกตว่าชายตรงหน้ายินยอมตอบรับอย่างง่ายดาย ราวกับเธอไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเขา

“จริงสิ” ฝูซิ่นเล่อดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “เมื่อวานข้าเห็นเจ้าสวมชุดเจ้าสาว เจ้าแต่งงานแล้วหรือ?”

“เกือบแต่ง แต่ยังไม่ได้แต่ง” คนตอบดูหงุดหงิดขึ้นมาทันที

“เหตุใดเล่า”

น้ำเสียงของบัวชมพูทั้งแข็งและดังขึ้น “เพราะเจ้าบ่าวมันสารเลว ไปทำผู้หญิงอื่นท้องสามคน ฉันก็เลยยกเลิกงานแต่ง เกลียดมัน!”

ฝูซิ่นเล่อฟังแล้วครุ่นคิดตาม “ที่แท้เจ้าก็ไม่ชอบผู้ชายที่มีหลายภรรยา”

“ไม่มีผู้หญิงที่ไหนชอบให้ผู้ชายที่ตัวเองรักมีคนอื่นหรอก”

“แล้วเจ้าไม่กลัวเสียชื่อหรือ ที่ต้องยกเลิกการแต่งงาน”

“กลัวทำไม คนที่ต้องกลัวเสียชื่อควรเป็นเจ้าบ่าวเฮงซวยนั่นไหม มันเป็นคนผิดนะ ไม่ใช่ฉัน!”

แม่ทัพหนุ่มรู้สึกว่าความคิดของบัวชมพูแปลกประหลาด ไม่เหมือนสตรีใดที่เขาเคยรู้จัก หากเป็นผู้อื่นคงอับอาย ร้องห่มร้องไห้ที่ต้องยกเลิกการแต่งงาน แต่หญิงสาวตรงหน้ากลับไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจ มีเพียงความโกรธเคืองเท่านั้นที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้า

แล้วฝูซิ่นเล่อก็ได้ค้นพบว่าเขารู้สึกโล่งใจไม่น้อยเลยทีเดียว ที่นางยังไม่ได้ตบแต่งกับผู้ใด

“ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว” เขาถาม

“ยี่สิบสอง”

“ยี่สิบสอง!” ฝูซิ่นเล่อร้องออกมาอย่างตกใจ “ที่แท้เจ้าก็เป็นสาวเทื้อนี่เอง”

บัวชมพูถลึงตาใส่เขา

อะไรคือคำว่าสาวเทื้อ!

“หมายความว่ายังไง”

แม้จะถามสั้น ๆ แต่น้ำเสียงคนถามกลับดูเหมือนพร้อมจะคว้าอะไรมาฟาดลงบนศีรษะของฝูซิ่นเล่อได้ทุกเมื่อ แม่ทัพหนุ่มกลั้นหัวเราะแล้วแสร้งทำสีหน้าเย็นชาตามเดิม

“อายุปูนนี้แล้ว แต่ยังไม่ได้ออกเรือน หากไม่เรียกว่าสาวเทื้อแล้วจะให้เรียกว่าอะไร”

“แต่งตอนนี้ยังถือว่าเร็วไปด้วยซ้ำ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเรียนเร็วจนจบปริญญาตรีตั้งแต่อายุยี่สิบ แม่ก็ยังไม่ให้แต่งงานหรอกนะ” บัวชมพูเถียง “แล้วท่านล่ะ อายุเท่าไหร่”

“ยี่สิบสอง”

“ก็เท่ากันนี่ แต่งงานหรือยัง”

“ยัง”

“แบบนี้เรียก ‘ชายเทื้อ’ ด้วยหรือเปล่า”

“บุรุษไม่มีคำเรียกเช่นนั้นหรอก”

“ไม่ยุติธรรมเลย น่าทำเรื่องเรียกร้องสิทธิสตรีให้ผู้หญิงที่นี่จริง ๆ”

“พูดอะไรของเจ้าน่ะ” ฝูซิ่นเล่อไม่เข้าใจที่บัวชมพูพูด

“เฮ้อ” หญิงสาวถอนหายใจ ทำไมถึงได้คุยกันยากแบบนี้นะ เหนื่อยยิ่งกว่าตอนหัดพูดภาษาจีนสมัยเด็กเสียอีก

“หิวหรือยัง” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยถามเพื่อเปลี่ยนเรื่อง ตอนแรกบัวชมพูก็ยังไม่หิว แต่พอถูกถาม ท้องก็ร้องแทนคำตอบขึ้นมาทันที

“น่าจะได้คำตอบแล้วเนอะ” บัวชมพูหัวเราะแห้ง ๆ

ฝูซิ่นเล่อกลั้นหัวเราะ ก่อนลุกขึ้นยืน

“เช่นนั้นก็ไปกินข้าวกัน”

อาหารสามสี่อย่างถูกจัดเรียงลงบนโต๊ะทรงกลม บ่าวไพร่ในจวนแม่ทัพต่างพากันตั้งคำถามว่าหญิงสาวที่ผู้เป็นนายพามานั้นเป็นใคร แต่ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากถาม กระทั่งไป๋อวี้ก็ยังไม่รู้ว่าบัวชมพูเป็นใคร หรือมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

“อร่อยทุกอย่างเลย” บัวชมพูเอ่ยชมขณะรับประทานอาหาร “ถ้าอยู่ที่นี่ไปนาน ๆ ต้องอ้วนแน่”

“เช่นนั้นหรือ”

“อื้ม”

“แล้วคิดจะอยู่กี่วัน”

“ยังไม่รู้เลย เพราะไม่รู้ว่าเวลาของที่นี่กับที่บ้านแตกต่างกันเท่าไหร่”

“หากกลับไปแล้ว จะมาอีกหรือไม่”

“อยากให้มาเหรอ” บัวชมพูถามพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้

ฝูซิ่นเล่อถอนหายใจด้วยท่าทางคล้ายเอือมระอา

“โห ถ้าจะถอนหายใจขนาดนี้ ด่าก็ได้นะ” บัวชมพูหัวเราะ “ถ้าจะขอมาอีก จะอนุญาตให้มาหรือเปล่า”

“อืม” ฝูซิ่นเล่อตอบรับในลำคอ คล้ายไม่ใส่ใจว่านางจะมาหรือไม่มา หากแต่ในใจกลับรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เมื่อคิดว่านางจะกลับมาที่จวนของเขาบ่อย ๆ

“ต้องหาเสื้อผ้าแบบนี้ไว้ใส่มาซะแล้ว” บัวชมพูจับเสื้อที่กำลังสวมใส่อยู่

“ชุดที่สวมอยู่ไม่พอดีหรือ” ฝูซิ่นเล่อถาม

“คับไปหน่อย ถ้าหลวมกว่านี้สักนิดก็น่าจะดี”

แม่ทัพหนุ่มพยักหน้ารับ พี่สาวของเขารูปร่างผอมบางกว่าบัวชมพู หากให้นางสวมชุดพี่สาวของเขาต่อไปคงไม่สบายตัวเท่าไรนัก

“กินข้าวเสร็จแล้ว ข้าจะพาไปซื้อผ้ามาตัดเสื้อ”

“จริงเหรอ!” บัวชมพูร้องอย่างดีใจ “ทำไมใจดีขนาดนี้ คิดอะไรกับเขาหรือเปล่าเนี่ย”

“ข้าแค่ไม่อยากเห็นเจ้าสวมชุดอัปลักษณ์ที่เจ้าเคยสวม”

“อัปลักษณ์?”

“ลำพังใบหน้าเจ้าก็อัปลักษณ์พอแล้ว อย่าได้แต่งตัวอัปลักษณ์อีกเลย”

“อีแม่ทัพปากสุนัข!”

ฝูซิ่นเล่อพาบัวชมพูออกมาเดินตลาด สร้างความแปลกใจให้แก่ผู้พบเห็นยิ่งนัก

ทุกคนรู้จักจิ้นอิ๋งโหวหรือแม่ทัพฝู แม่ทัพใหญ่แห่งทัพไป๋หู่เป็นอย่างดี แต่ไม่เคยมีใครเห็นเขาออกมาเดินตลาดมาก่อน ทั้งยังมากับสตรีที่รูปร่างหน้าตาไม่เหมือนคนต้าจิน หญิงสาวผู้นั้นมิได้เกล้าผมเพื่อบ่งบอกว่าเป็นสตรีที่ออกเรือนแล้วหรือไม่ แต่กลับปล่อยเส้นผมสีน้ำตาลหยักศกปลิวสยายไปตามลม สองมือยกขึ้นกอดอกเบือนหน้าหนีไปคนละทางกับท่านแม่ทัพ คล้ายกำลังแง่งอน ในขณะที่ท่านแม่ทัพยิ้มจาง ๆ ที่มุมปาก ราวกับกำลังสนุกที่ได้เห็นนางทำท่าทางเช่นนั้น

“ร้านนี้เจ้าค่ะท่านแม่ทัพ ท่านภูต เอ่อ... แม่นาง” ไป๋อวี้ที่เป็นผู้นำทางหันมาบอก

ฝูซิ่นเล่อไม่ค่อยรู้เรื่องข้าวของของสตรี และไม่รู้ว่าต้องหาซื้อสิ่งใดที่ร้านไหน จึงได้พาไป๋อวี้มาด้วย นอกจากนี้เขายังมอบหมายหน้าที่ให้นางคอยดูแลบัวชมพู พร้อมเล่าความลับเรื่องการเดินทางไปกลับระหว่างจวนจิ้นอิ๋งโหวกับบ้านของเธอให้ฟัง ทำให้ไป๋อวี้เข้าใจว่าบัวชมพูจะต้องเป็นภูตดอกบัว และการได้ดูแลท่านภูตก็นับเป็นวาสนาของนางยิ่งนัก

“ต้องเลือกผ้าแบบไหนเหรอ” บัวชมพูถามไป๋อวี้

“แบบใดก็ได้ เลือกที่เจ้าชอบ” ฝูซิ่นเล่อเป็นผู้ตอบ

บัวชมพูเบะปากเล็กน้อย เธอยังเคืองไม่หายที่ฝูซิ่นเล่อว่าเธออัปลักษณ์ ขนาดเพื่อนแก๊งสัปดนที่ชอบว่าเธอไม่สวย ก็ยังไม่เคยมีใครว่าเธออัปลักษณ์มาก่อน

หญิงสาวเชิดหน้าใส่แม่ทัพหนุ่มแล้วเดินตรงไปเลือกผ้าสีที่ตนชอบ เธอชอบสีเขียวกับสีชมพู เพราะเป็นสีของใบบัวกับดอกบัว จึงได้สนใจผ้าสองสีนี้เป็นพิเศษ

“ผ้าพับนี้สวยอะ” บัวชมพูพูดขณะจับบนผ้าไหมเนื้อนุ่มลื่น เพียงแค่สัมผัสก็รับรู้ได้ทันทีว่าเป็นผ้าเนื้อดีมีราคา

เถ้าแก่เจ้าของร้านเห็นบัวชมพูสนใจผ้าผืนงามก็รีบเข้ามาแนะนำ

“แม่นางผู้นี้ตาถึงยิ่งนัก ผ้าพับนี้เป็นผ้าหายาก ทั่วทั้งเมืองหลวงมีร้านข้าเพียงร้านเดียวที่มี”

“ราคาเท่าไหร่หรือเถ้าแก่” ไปอวี้ถามแทนบัวชมพูที่ฟังเจ้าของร้านพูดไม่ทัน

“สามร้อยห้าสิบตำลึงขอรับ”

“สามร้อยห้าสิบตำลึง!” ไป๋อวี้ร้องอย่างตกใจ “ไม่แพงไปหน่อยหรือ”

“แม่นาง ผ้าพับนี้ใช้เวลาทอเป็นปี อีกทั้งยังเสียค่าขนส่งข้ามน้ำข้ามทะเลมาอีก ราคาเท่านี้ไม่ถือว่าแพงหรอกขอรับ”

บัวชมพูฟังออกแค่คำว่า ‘สามร้อยห้าสิบตำลึง’ แต่เห็นสีหน้าท่าทางของไป๋อวี้ก็คิดว่าน่าจะเป็นราคาที่ค่อนข้างสูง

“สามร้อยห้าสิบตำลึงนี่แพงมากเลยเหรอ” บัวชมพูกระซิบถาม

“ปกติห้าสิบตำลึงก็ซื้อผ้าดี ๆ ได้แล้วเจ้าค่ะ”

“งั้นก็แพงมากเลยน่ะสิ”

“เจ้าค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นเอาพับอื่นก็ได้” บัวชมพูชะเง้อหาผ้าพับใหม่ที่มีสีใกล้เคียงกัน

“ถ้าชอบพับนี้ก็เอาพับนี้ จะมองหาพับอื่นทำไม” ฝูซิ่นเล่อว่า “เถ้าแก่ ข้าเอาผ้าพับนี้ แล้วก็เอาอีกพับที่เป็นผ้าแบบเดียวกัน สีเขียวนั่นด้วย”

ชายหนุ่มชี้ไปยังผ้าสีเขียวบงกชอีกพับที่เห็นบัวชมพูเลือกดูเมื่อครู่

“ขอรับนายท่าน ข้าจะรีบห่อให้เดี๋ยวนี้” เถ้าแก่รับคำอย่างดีใจ รีบนำผ้าทั้งสองพับไปห่อให้ทันที

“มีสีอื่นที่อยากได้อีกหรือไม่”

“ป๋าซะด้วย” บัวชมพูพึมพำเป็นภาษาไทย

“เจ้าว่าอะไรนะ”

“เปล๊า!” หญิงสาวปฏิเสธเสียงสูง “เอาแค่นี้แหละ”

ฝูซิ่นเล่อไม่ได้ถามอะไรเธออีก เขาให้เถ้าแก่นำผ้าไปส่งยังร้านรับตัดเสื้อผ้าที่ไป๋อวี้แนะนำ แล้วเดินนำออกจากร้านไป หญิงสาวหลายคนในร้านมองตามร่างสูงสง่าของชายหนุ่มไปด้วยสายตาปลาบปลื้มและชื่นชม จนบัวชมพูแอบเบะปากใส่อยู่หลายครั้ง แต่ก็น่าปลื้มอยู่หรอก ในเมื่อเขาดูดีทั้งรูปร่างหน้าตา กิริยา องอาจ ท่วงท่าสง่างามสมเป็นบุรุษสูงส่ง แต่ถ้าสาวๆ พวกนี้รู้ว่าอีตาแม่ทัพนี่ปากสุนัขขนาดไหน จะยังปลื้มกันอยู่หรือเปล่า

เสร็จจากร้านผ้า ไป๋อวี้ก็นำทางฝูซิ่นเล่อและบัวชมพูไปร้านตัดเสื้อที่โด่งดังที่สุดในเมืองหลวง ร้านแห่งนี้มีลูกค้าเยอะยิ่งกว่าร้านใด ผ้าที่ส่งมาตัดวันนี้ต้องรอนานสามเดือนจึงจะมารับได้ แต่เมื่อเจ้าของร้านเห็นว่าคนที่เข้ามาคือฝูซิ่นเล่อ ผู้ซึ่งเป็นทั้งแม่ทัพและอนุชาของฮองเฮา ก็รีบกระวีกระวาดออกมาต้อนรับ ทั้งยังบอกอีกว่าชุดของบัวชมพูที่นำมาตัดในวันนี้ จะตัดเสร็จเรียบร้อยภายในระยะเวลาสองสัปดาห์

“ดูเหมือนทางร้านจะเห็นใจในความอัปลักษณ์ของเจ้า จึงได้เร่งตัดชุดให้” ฝูซิ่นเล่อเอ่ยเย้าคนที่ใบหน้าบึ้งตึงแล้วเดินจากไปอย่างอารมณ์ดี บัวชมพูได้ยินคำว่าอัปลักษณ์หลุดออกมาจากปากของชายหนุ่ม จึงตะโกนตอบกลับไปเป็นภาษาไทย

“คิดตัวเองหล่อนักหรือไง ไอ้เบื๊อก!”

ฝูซิ่นเล่อไม่ทราบว่า คำว่า ‘ไอ้เบื๊อก’ ที่ได้ยินตอนอยู่ที่ตลาดนั้นมีความหมายว่าอย่างไร แต่จากน้ำเสียงที่เปล่งออกมาจากปากคนพูด ก็แน่ใจได้เลยว่าต้องเป็นคำด่าอย่างแน่นอน เขาไม่เพียงไม่โกรธ แต่ยังนึกขำอยู่ในใจ เขาไม่เคยเห็นหญิงใดโมโหแล้วน่าเอ็นดูราวกับเด็กน้อยขี้งอนเช่นนี้มาก่อน การได้แหย่ได้แกล้งนางในระยะเวลาสั้น ๆ สร้างความรื่นเริงให้เขาได้ดียิ่งกว่าไปนั่งชมงิ้ว ชมละครเสียอีก

“ระหว่างนี้เจ้าเอาเสื้อของพี่ข้าไปแก้ไว้ให้นางใส่ก็แล้วกัน” แม่ทัพหนุ่มสั่งการเมื่อกลับมาถึงจวน

“เจ้าค่ะท่านแม่ทัพ” ไป๋อวี้รับคำ

“แล้วก็เตรียมห้องให้นางที่เรือนเหลียนฮวา เวลานางขึ้นลงสระบัวจะได้ไม่มีใครสังเกต ให้คนอื่น ๆ ออกไปจากเรือนให้หมด ยกเว้นเจ้า ข้ามอบหมายให้เจ้าคอยดูแลเรือนเหลียนฮวากับเหลียนเอ๋อร์ งานอื่นนอกเหนือจากนี้ถือว่าไม่เกี่ยวกับเจ้าอีกต่อไป”

“เจ้าค่ะ”

“เหลียนเอ๋อร์” ฝูซิ่นเล่อหันมาเรียกบัวชมพู “ต่อไปนี้ไป๋อวี้คือสาวใช้ของเจ้า มีอะไรก็เรียกใช้นางได้”

“อือ” บัวชมพูส่งเสียงตอบรับในลำคอ ด้วยยังไม่หายโกรธที่ถูกว่าว่าอัปลักษณ์

“อย่าทำหน้าบึ้งเช่นนั้น ยิ่งทำก็ยิ่งอัปลักษณ์”

“ท่านสิอัปลักษณ์!” หญิงสาวเถียงกลับเสียงดัง

“อ้อ เช่นนั้นหรือ” ฝูซิ่นเล่อยิ้มยั่ว

“เออ!”

แม่ทัพหนุ่มถึงกับหัวเราะในลำคอเมื่อได้เห็นท่าทางกระเง้ากระงอดนั้น แม้แต่ไป๋อวี้ก็ยังก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม นางอยู่รับใช้ในจวนโหวมาตั้งแต่อายุหกปี ไม่เคยเห็นท่านแม่ทัพเอ่ยวาจาต่อปากต่อคำหยอกเย้าผู้ใดมาก่อน เห็นทีคราวนี้จวนโหวคงจะได้มีนายหญิงแล้วกระมัง

“ยังจะหัวเราะอีก!” บัวชมพูขัดใจนัก ความปลาบปลื้มในใบหน้าหล่อเหลาที่ได้เห็นก่อนหน้านี้เลือนหายไปจนหมดสิ้น

“ใบหน้าเจ้าอัปลักษณ์เช่นนี้ ข้าเห็นแล้วรู้สึกขันยิ่งนัก”

บัวชมพูหรี่ตาลงพร้อมเผยรอยยิ้มเย็นออกมา ขณะก้าวไปหาฝูซิ่นเล่อ

“แล้วอย่ามาหลงรักคนอัปลักษณ์ทีหลังก็แล้วกัน!”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel