บทที่ 2 เคราะห์ซ้ำกรรมซัด 1
คืนนี้นักรบแต่งกายด้วยชุดสีดำทั้งหมดเพื่อให้ตัวเองสามารถพรางตัวในความมืดได้อย่างแนบเนียน คนที่ทำหน้าที่สารถีในเวลานี้คือสิงห์ อีกฝ่ายลอบมองเขาบ่อยเสียจนนึกอยากถามออกไปว่ามีอะไรติดอยู่บนใบหน้าหรือเปล่า
แต่รู้ดีว่าการต่อปากจะนำมาซึ่งการใช้กำลังกันเหมือนทุกที นักรบจึงเสมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง พยายามบอกตัวเองให้สนใจทัศนียภาพยามค่ำคืนเสียยังดีกว่า
รถยนต์กลางเก่ากลางใหม่แล่นเข้ามาจอดบนถนนที่อยู่ตรงข้ามกับหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งกลางตัวเมืองเชียงใหม่ สิงห์อาสาว่าจะเป็นคนจัดการกับชายวัยกลางคนที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้เอง ก่อนจะยื่นกระดาษใบหนึ่งที่ระบุเลขที่บ้านของเป้าหมายส่งให้กับนักรบ
“ยืนยันเป้าหมายด้วย” เขาถามซ้ำเพราะสังหรณ์ใจอย่างประหลาดกับท่าทางอิ่มเอมใจของสิงห์
“ไม่จำเป็น กูมืออาชีพพอ ไม่ใช่พวกที่เพิ่งเคยลงสังเวียนฆ่าครั้งแรกอย่างมึง”
“บางทีคืนนี้อาจไม่ได้มีแค่พ่อเลี้ยงคำมั่นก็ได้ที่ต้องตาย” นักรบเอ่ยเสียงราบเรียบ ต่างจากดวงตาแข็งกร้าวที่มองสิงห์
“ไอ้...”
“เลิกเห่า แล้วลงไปทำงานแบบมืออาชีพได้แล้ว กูจะมาเจอมึงที่นี่ภายในหนึ่งชั่วโมง”
แล้วชายหนุ่มก็เปิดประตูลงจากรถทันที ทิ้งให้สิงห์นั่งทุบพวงมาลัยระบายความโกรธอยู่ตามลำพังครู่หนึ่ง ก่อนจะตามลงมา แล้วลัดเลาะผ่านความมืดตรงไปยังป้อมยาม
ไม่นานเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็หายตัวไปอย่างเงียบกริบ บ่งบอกว่าทางสะดวกพอแล้วสำหรับการลงมือของนักฆ่า
นักรบสูดลมหายใจลึก บนไหล่ทั้งสองข้างรู้สึกได้ถึงแรงกดมหาศาล ราวกับต้องการฉุดรั้งตัวเขาไว้ไม่ให้ก้าวไปสู่หนทางอันเลวร้าย แต่ป่วยการที่จะคิดอีกต่อไป ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงคำสั่งของผู้เป็นนายได้
คำว่าบุญคุณถูกยกขึ้นมาตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำอีก หากภารกิจนี้จบสิ้นลง หวังว่าหนี้ชีวิตที่ติดค้างกันไว้ก็คงลดน้อยลงไปด้วยเช่นกัน
นักรบดึงปืนบาเร็ตต้าออกมามือไว้ในมือ กำมันไว้แน่นจนปลายนิ้วขาวซีดไปหมด เขายืดตัวตรงและเริ่มเดินผ่านป้อมยามเข้าไปภายในหมู่บ้าน คืนนี้บรรยากาศช่างเป็นใจให้แก่มัจจุราชเสียเหลือเกิน มันทั้งเงียบสงัดและหนาวจับใจ
ชายหนุ่มยัดกระดาษที่สิงห์ส่งให้ลงในกระเป๋ากางเกง จำได้ขึ้นใจแล้วว่าเป้าหมายกำลังนอนหลับอยู่ที่บ้านหลังไหน
‘จัดการลูกสาวมันก่อนเป็นคนแรก ก่อนจะฆ่าไอ้พ่อเลี้ยงคำมั่น แกต้องแสดงให้รู้ก่อนว่ามันนั่นแหละที่เป็นสาเหตุให้ลูกสาวกับเมียของมันเดือดร้อน ท่านนายพลฝากย้ำเตือนมา’
ถ้อยคำของสิงห์ยังดังก้องอยู่ในหัว นักรบขบกรามแน่นเมื่อมองเห็นบ้านหลังนั้นอยู่ในกรอบสายตา เท้าทั้งสองข้างยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นราวกับถูกตอกตรึงเอาไว้ หัวใจของเขาเต้นรัวเป็นจังหวะอัดกระแทกอยู่ในอก เมื่อนึกช่วงเวลาแห่งความโหดร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า
ดวงตาคมปิดลงครู่หนึ่งเพื่อเรียกสติของตัวเองให้กลับคืนมา เมื่อเปิดเปลือกตาขึ้นมาอีกครั้ง นักรบก็พบว่าความลังเลใจได้เลือนหายไปจนหมดสิ้น ใบหน้าหล่อจัดปราศจากความเมตตาใดๆ มีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้นที่ปรากฏอยู่
ชายหนุ่มกระชับปืนในมือแน่น แล้วปีนกำแพงกระโดดลงสู่สนามหญ้าภายในรั้วบ้าน มองซ้ายแลขวาอย่างระมัดระวัง ก่อนจะย่อตัวลงต่ำแล้วลัดเลาะไปทางด้านหลัง
ประตูหลังถูกล็อกเอาไว้ตามคาด แต่นักรบใช้เวลาอึดใจเดียวในการปลดล็อกมันแล้วรีบแทรกตัวเข้าไปในบ้าน เขากระพริบตาครู่หนึ่งเพื่อปรับสายตาให้คุ้นเคยกับความมืด จากนั้นก็ย่องขึ้นบันไดไปข้างบนอย่างเงียบกริบ มือเย็นเฉียบแตะลงบนลูกบิดประตูห้องแรก ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าข้างในนั้นมีใครอยู่ นอกจากเปิดเข้าไปดูข้างใน
“นั่นใครน่ะ!”
เสียงใสที่ดังขึ้นจากข้างหลังทำให้นักรบชะงักมือที่แตะลงบนลูกบิด เขาไม่ได้ตกใจอะไร เพราะได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ ที่บ่งบอกว่ามันเป็นของผู้หญิงอยู่ก่อนแล้ว
ชายหนุ่มหันกลับมาเผชิญหน้าอย่างช้าๆ แสงจากไฟภายนอกที่ส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้มองเห็นว่าจุดที่อีกฝ่ายยืนอยู่คือสาวน้อยรูปร่างบอบบาง สวมชุดนอนกระโปรงยาวระดับเข่า เรือนผมปล่อยสยายอยู่เต็มบ่า
นักรบไม่ตอบคำถาม แต่ก้าวสามขุมตรงเข้าไปหา ในเมื่อเป้าหมายแรกโผล่ออกมาต้อนรับก่อนอย่างนี้ เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องละเลย
ยิ่งเข้าไปใกล้ เขาก็ยิ่งเห็นว่าใบหน้าสวยหวานน่ารักของหญิงสาวนั้นเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกเพียงใด เมื่อร่างใหญ่โตมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า เธอจึงได้สติและอ้าปากเตรียมร้องขอความช่วยเหลือ
นักรบทำลายโอกาสนั้นด้วยการตะปบมือปิดปากเอาไว้แน่น แล้วลากเธอให้กลับเข้าไปในห้องนอนที่เธอเพิ่งเปิดประตูเดินออกมา ร่างแน่งน้อยถูกผลักลงไปบนเตียง
คนที่มีสีหน้าด้านชากดล็อกประตูให้เรียบร้อย แล้วเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงปลายเตียง ปืนในมือยกขึ้นแล้วเล็งไปยังร่างของเธอทันที
“ยะ...อย่านะ! อย่าฆ่าฉันเลยค่ะ อยากได้อะไรก็เอาไปเลย!” เสียงหวานละล่ำละลักบอกด้วยความหวาดกลัว
นักรบกำปืนแน่น ระหว่างลั่นไกสาดกระสุนใส่เธอกับการต้องข่มขืนเธอให้เกิดตราบาปไปตลอดชีวิต เขาคิดว่าอย่างแรกทำง่ายกว่ามากทีเดียว
‘นักรบไม่มีวันขัดคำสั่งของฉันหรอกสิงห์ ในเมื่อฉันเป็นผู้ที่ให้ชีวิตใหม่...ใช่ไหมนักรบ’
คำพูดของนายพลปีเตอร์ผุดขึ้นในหัวราวกับต้องการตอกย้ำ!
นักรบขบกรามแน่น ถ้าเขาไม่ทำตามคำสั่งของผู้เป็นนาย อย่างมากที่สุดก็คงโดนลงโทษ แต่สุดท้ายปีเตอร์ก็ต้องส่งสิงห์มาจัดการหญิงสาวกับคนบ้านนี้แทนอยู่ดี
แม้จะเป็นทหารรับจ้างเดนตายเหมือนกันทุกคน แต่สิงห์นั้นเลวกว่าใครเพื่อน ขึ้นชื่อเรื่องความเลือดเย็นมากที่สุด
เขาไม่อยากคิดเลยว่าถ้าไอ้ระยำนั่นมาเจอเด็กสาวที่บริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างคนตรงหน้า มันจะทำป่าเถื่อนอย่างไรกับเธอบ้าง
นั่นหมายความว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นอีก...
นักรบก้าวถอยหลังไป วางปืนคู่ใจลงบนโต๊ะเพื่อให้ห่างจากมือของเป้าหมายมากที่สุด ก่อนจะถอดหมวกโม่งสีดำโยนลงไปบนพื้น
เจ้าของร่างบางที่นั่งตัวสั่นอยู่บนเตียงรีบถลันลงไปยืนตั้งหลัก มองไปรอบๆ ไม่พบสิ่งใดเลยที่จะช่วยป้องกันตัวเองได้
เธอมองมาที่เขา กวาดสายตามองใบหน้าของเขาอย่างต้องการจดจำ แต่แสงสว่างอันน้อยนิดทำให้ทุกอย่างไม่ชัดเจนอย่างที่ปรารถนานัก แต่ที่จำไม่ผิดแน่ๆ ก็คือผมที่ยาวปะบ่ากับความสูงที่มากกว่าชายไทยทั่วไป เขาสูงมากและมีรูปร่างที่ใหญ่มากด้วยเช่นกัน
“อย่าทำอะไรฉันเลย!”
หญิงสาวยกมือไหว้อ้อนวอน เมื่ออีกฝ่ายเริ่มขยับฝีเท้าไล่ต้อนให้จนมุม เธอกรีดร้องดังลั่นและวิ่งข้ามเตียงไปอีกฝั่ง เป้าหมายอยู่ที่ประตูห้องนอน มือเล็กกำลังจะแตะลงบนลูกบิด ทว่าช้ากว่ามือหยาบกร้านที่คว้าหมับเข้าที่ข้อมือ แล้วเหวี่ยงอย่างแรงให้ล้มถลาไปบนพื้น
นักรบชะงักไปเมื่อเห็นความรุนแรงที่เกิดขึ้น แต่การใจอ่อนรังแต่จะทำให้เสียเวลา ถ้าเขาไม่ออกไปสมทบกับสิงห์ตามเวลานัดหมาย สิงห์จะต้องบุกเข้ามาที่นี่เพื่อตรวจดูแน่ว่าภารกิจเรียบร้อยดีหรือไม่
คิดดังนั้นชายหนุ่มก็ช้อนร่างนุ่มนิ่มไว้ในอ้อมแขน โยนลงบนเตียงแล้วลงมือฉีกกระชากเสื้อผ้าออกจากตัวเธอ
“กรี๊ด! อย่านะ! ปล่อยฉันนะ! อย่า!” เธอตะโกนลั่นแล้วร้องไห้ปริ่มว่าจะขาดใจ
นักรบไม่คิดจะหยุดยั้งตัวเอง เขาจัดการให้ร่างทั้งร่างเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ แม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่แสนคับขัน แต่การได้เห็นร่างงามน่าทะนุถนอมตรงหน้าก็ทำให้หัวใจเต้นรัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ อารมณ์ดิบเถื่อนตื่นตัวอย่างง่ายดาย เพราะนานมากแล้วที่เขาไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวผู้หญิง
“อย่า...ฮือๆๆ อย่าทำฉันเลย!”
