บทย่อ
“อย่าทำอะไรฉันเลย!” หญิงสาวยกมือไหว้อ้อนวอนและวิ่งข้ามเตียงไปอีกฝั่ง มือเล็กกำลังจะแตะลงบนลูกบิดประตูห้องนอน ทว่าช้ากว่ามือหยาบกร้านที่คว้าหมับเข้าที่ข้อมือ แล้วเหวี่ยงอย่างแรงให้ล้มถลาไปบนพื้น เขาจู่โจมรวดเร็ว ลงมือฉีกกระชากเสื้อผ้าออกจากตัวเธอจนขาดวิ่นไปหมด “กรี๊ด! อย่านะ! ปล่อยฉันนะ! อย่า!” ชายหนุ่มไม่คิดจะหยุดยั้งตัวเอง รีบปลดกางเกงให้ร่นลงไปอยู่ตรงต้นขา มือใหญ่แยกแย้มเรียวขานุ่มเนียนให้อ้ากว้าง ก่อนจะนำพาความใหญ่โตยัดเยียดเข้าสู่ตัวเธอในทันที นักรบหน้าชาไปทั้งแถบ... แปลกใจเหลือเกินที่พบว่าเธอยังบริสุทธิ์อยู่!
บทที่ 1 จุดเริ่มต้นของนักรบ 1
เสียงฝีเท้านับสิบกรูกันเข้ามาล้อมชายปริศนาที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นหญ้าเอาไว้ ปลายกระบอกปืนเล็งไปยังร่างนั้นอย่างเตรียมพร้อม และหลีกทางออกให้ผู้เป็นนายทันทีที่เขาก้าวมาถึงจุดเกิดเหตุ
นายพลชาวอังกฤษที่หลบลี้ใช้ชีวิตอยู่บนหุบเขาแห่งหนึ่งทางภาคเหนือของเมืองไทยมานานหลายสิบปี ชะโงกหน้ามองดูอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ
ตอนนี้ใบหน้าของคนแปลกหน้าฉาบทาด้วยเลือดแดงฉานและมีร่องรอยบาดเจ็บสาหัสไปทั่วทั้งร่าง…
“เหมือนจะเกิดอุบัติเหตุแล้วตกเหวลงมาครับท่าน น่าแปลกที่ยังไม่ตาย”
“เอามันกลับไปที่ค่ายด้วยสิงห์” เสียงห้าวทุ้มสำเนียงแปร่งหูเอ่ยกับคนสนิทที่สวมชุดลายพรางในสภาพมอมแมม
“จะดีหรือครับ ถ้ามันเป็นพวกตำรวจหรือว่า...”
“เอามันไปด้วยเดี๋ยวก็ได้คำตอบเอง ถ้ามันเป็นพวกอันตราย แค่ปิดปากมันเสียก็สิ้นเรื่อง”
นายพลปีเตอร์ย้ำคำเดิม ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะเหตุใดจึงอยากให้ความช่วยเหลือผู้ชายโชคร้ายคนนั้น เพราะโดยปกติแล้วเขาไม่เคยยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น
“ครับท่าน”
ทหารคนสนิทรับปาก แล้วพยักหน้าบอกให้พรรคพวกช่วยกันแบกร่างหมดสตินั้นขึ้นบนเปลหามที่เตรียมมาด้วย หลังจากได้รับรายงานจากหน่วยลาดตระเวนว่ามีชายผู้หนึ่งพลัดตกเหวลงมาอาการปางตาย
ทหารร่างใหญ่กำยำพาชายหนุ่มโชคร้ายกลับไปยังค่ายทหารที่ก่อตั้งขึ้นอย่างลับๆ อยู่ในเขตป่าลึกที่ไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้
ค่ายทหารที่ว่านั่นใหญ่โตและค่อนข้างทันสมัย มันตั้งอยู่ในเขตป่าลึกติดกับถ้ำที่ไม่มีใครล่วงรู้ ทุกคนในค่ายทหารกินอยู่กันอย่างสุขสบาย มีน้ำ มีไฟ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
ทุกคนเป็นทหารรับจ้างที่ทำงานขึ้นตรงต่อนายพลปีเตอร์ด้วยความภักดี มีหน้าที่ผลิตยาเสพติดและลักลอบขนย้ายเข้าไปขายในเขตเมือง รวมทั้งกระจายออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านด้วย
บางส่วนก็คอยดูแลค่ายพร้อมจัดเวรยามออกลาดตระเวนตรวจดูความเรียบร้อย ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมายังไม่เคยถูกรุกล้ำเลยแม้แต่ครั้งเดียว
นายพลปีเตอร์ตอบแทนเหล่าทหารรับจ้างพวกนั้นด้วยเงินทองข้าวของมากมาย ทุกคนจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าไปในเมืองตามลำดับเพื่อเที่ยวผู้หญิง และใช้เงินทองที่ได้เป็นค่าจ้างในการซื้อความสุขให้ตัวเองในรูปแบบต่างๆ
เมื่อนำร่างไร้สติกลับมาถึงค่ายและพาไปนอนลงบนเตียงในเต้นท์พยาบาลแล้ว ทหารคนสนิทที่ชื่อว่าองอาจก็ออกไปตามตัวหมอทหารให้มาดูอาการคนเจ็บตามคำสั่งของท่านนายพล
หมอทหารวัยห้าสิบปีนามว่าเดฟ ซึ่งเป็นชายชาวอังกฤษเช่นเดียวกับนายพลปีเตอร์ ทำความเคารพผู้เป็นนาย ก่อนจะรีบรุดเข้าไปตรวจดูอาการชายไทยร่างใหญ่นั้นอย่างละเอียด เดฟส่ายหน้าเพื่อสื่อว่าเห็นทีคงหมดหวัง เพราะอาการของชายหนุ่มหนักมากเหลือเกิน
“หมดโอกาสรอดอย่างนั้นหรือ” นายพลปีเตอร์ถามซ้ำราวกับต้องการความแน่ใจ
“น่าจะรอดยาก เว้นแต่ดวงดีมากจริงๆ กระดูกขาขวาหักข้างหนึ่ง และดูเหมือนจะมีอาการช้ำในหนักมาก ศีรษะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง มีแผลลึกตรงด้านหลังศีรษะ แล้วเลือดก็ยังไหลไม่หยุดด้วย ถ้าผ่าตัดเพื่อซ่อมแซมเส้นเลือดแล้วรีบปิดปากแผล เขาอาจจะพอมีโอกาสรอดครับ แต่ก็แค่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น” เดฟรายงานแล้วถามต่อ
“ท่านนายพลต้องการให้ผมรักษาอาการเขา หรือจะปล่อยให้เป็นไปตามนี้จนกว่าจะหมดลมหายใจไปเองครับ”
“พามาด้วยถึงขนาดนี้แล้วก็ลองพยายามดูหน่อย” ผู้เป็นนายสั่ง
“ครับ ผมจะรีบลงมือผ่าตัดโดยเร็วที่สุด” เดฟค้อมศีรษะลงเล็กน้อย หลังให้คำมั่นเรียบร้อย
“ฝากด้วยเดฟ ลางสังหรณ์บอกฉันว่าหมอนี่ต้องมีประโยชน์กับเราแน่”
นายพลปีเตอร์กำชับ ยังแปลกใจไม่หายที่จู่ๆ ก็รู้สึกถูกชะตากับชายปริศนาผู้นี้ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จากประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่าแทบไม่มีเลยสักครั้งที่เขาคาดการณ์สิ่งใดผิด และครั้งนี้ก็รู้สึกอีกเช่นกันว่าการช่วยเหลือคนๆ นี้จะไม่สูญเปล่าแน่
เมื่อนายพลปีเตอร์กับสมุนกลับออกไปแล้ว เดฟก็ให้ผู้ช่วยเตรียมการเรื่องผ่าตัดทันที หลังจากเวลาผ่านไปนานกว่าสองชั่วโมง ร่างผู้บาดเจ็บที่มีเฝือกตรงขากับผ้าพันแผลเกือบทั่วตัวก็ถูกย้ายไปพักฟื้นอยู่บนเตียงสีขาวภายในเต้นท์ โดยมีหมอผู้ช่วยซึ่งเป็นชายหนุ่มวัยสามสิบปีคอยเฝ้าดูแลใกล้ชิด
จากชั่วโมงล่วงเลยผ่านพ้นไปเป็นวัน จากวันล่วงเลยเข้าไปนานนับสัปดาห์ แม้ว่าบาดแผลภายนอกจะดีขึ้นมาแล้ว แต่ร่างของชายปริศนาก็ยังคงนอนนิ่งไม่ได้สติ
เขาตกอยู่ในภาวะโคม่านานจนเดฟต้องเข้าไปขอพบนายพลปีเตอร์ เพื่อชี้แจงให้ทราบว่าการยื้อต่อไปอาจทำให้เสียเวลาเปล่า หากถอดเครื่องช่วยหายใจออกไปเสีย ชายผู้นั้นก็จะหลุดพ้นจากความทรมาน
นายพลปีเตอร์ไม่แสดงท่าทีใด นอกจากพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้หมอเดฟจัดการไปตามที่ว่าได้เลย ดูเหมือนคราวนี้ลางสังหรณ์ของเขาจะเกิดทรยศขึ้นมา จากที่ถูกชะตาและคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะมีประโยชน์ในอนาคต กลับกลายเป็นว่าต้องมาเสียค่ารักษาพยาบาลไปฟรีๆ
“ถอดเครื่องช่วยหายใจออก รวมทั้งอุปกรณ์ทุกอย่างด้วย” หมอเดฟเอ่ยกับผู้ช่วยคนสนิท นอกจากทั้งคู่จะเคียงบ่าเคียงไหล่กันในฐานะหมอแล้ว ยังมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งในฐานะคู่รักต่างเพศอีกด้วย
“ท่านนายพลไม่มีความจำเป็นต้องพามันมาที่นี่ด้วยซ้ำ ไม่ใช่เรื่องดีแน่ที่ให้คนนอกรู้ถิ่นฐานของเรา” หมอหนุ่มชาวไทยนามว่าปริญออกความเห็น
“ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครตกเหวมาแถวนี้ ผมกลัวว่ามันจะไม่ใช่ความบังเอิญ” ใบหน้าหล่อคมเต็มไปด้วยความกังวลใจ
“ท่านนายพลไม่ใช่คนหละหลวม มีคำสั่งให้ขึ้นไปตรวจสอบแล้ว ทุกอย่างเป็นอุบัติเหตุจริงๆ รถของผู้ชายคนนี้ถูกรถบัสพุ่งเข้าชนอย่างรุนแรง แรงปะทะมหาศาลทำให้รถกระเด็นข้ามทิศตกลงมาที่เหวฝั่งนี้ นายไม่สังเกตหรือว่าทำไมไม่มีใครมาตามหาตัวคนเจ็บ...ก็ฝีมือท่านนายพลนั่นแหละ ท่านให้คนจัดฉากการเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาใหม่ ทำให้พวกตำรวจเข้าใจว่าชายคนนี้ตกเหวลงไปทางฝั่งอื่น ป่านนี้คงตามหากันจนท้อแล้วล่ะ” เดฟอธิบายให้หนุ่มคนรักฟัง
“การจัดฉากเรื่องแบบนี้ไม่น่าจะทำได้ง่ายๆ” ปริญยังคงสงสัยไม่เลิก
“อุบัติเหตุมันเกิดขึ้นกลางดึก ฝนก็ตกหนัก เส้นทางข้างบนเปลี่ยวมากด้วย ร่องรอยรถที่ถูกชนครูดหมุนไปบนถนนหลายตลบ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีอะไรยาก ทันทีที่รู้ว่ามีคนประสบอุบัติเหตุตกเหวลงมา ท่านนายพลก็มีคำสั่งให้ขึ้นไปจัดการทันที ฟ้ามืดแบบนั้นทำอะไรก็สะดวก โชคดีด้วยที่นอกจากรถบัสที่เสียชีวิตกันยกคันกับรถของชายคนนี้ ก็ไม่มีรถคันไหนเห็นเหตุการณ์ทั้งนั้น”
“ได้ยินแบบนี้ค่อยโล่งอกหน่อย” ปริญยิ้มออกมาในที่สุด
“จัดการเถอะ” เดฟมองไปยังร่างที่นอนอยู่บนเตียง
“ครับ” ปริญพยักหน้าแล้วถอนหายใจ
แม้เขาจะไม่ใช่หมอที่ดีมีจรรยาบรรณนัก แต่ก็ลำบากใจไม่น้อยเหมือนกันที่ต้องยุติการให้ความช่วยเหลือคนไข้ ในเมื่ออีกฝ่ายอยู่ในสภาพโคม่าแบบไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นขึ้นมาเสียที เขาจึงต้องจัดการไปตามความเหมาะสม
ปริญเดินไปหยุดอยู่ตรงข้างเตียง กำลังจะยื่นมือออกไปข้างหน้า แต่จู่ๆ ร่างที่นอนนิ่งมายาวนานกว่าสัปดาห์ก็ลืมตาโพลงแล้วกระตุกหายใจเฮือกใหญ่
ดวงตาคมกริบสีน้ำตาลเบิกกว้างด้วยความตกใจ ตั้งท่าจะโผตัวลุกขึ้นนั่ง แต่ความเจ็บปวดจากไหล่ข้างหนึ่งกดร่างของเขาให้นอนนิ่งอยู่กับที่ตามเดิม
“เดฟ! เขาฟื้นแล้วครับ” ปริญที่ตกใจจนสะดุ้ง รีบร้องเรียกหมอใหญ่ประจำค่ายทันที
“เป็นไปได้ยังไงกัน”

