บทที่ 3 กลีบดอกเหมย (2)
เขากำลังจะกินนาง กินแทบจะทั้งตัว ไม่มีส่วนไหนที่เขาเว้นว่างไว้ มือข้างหนึ่งลูบต่ำลงไป เกาเจินเจินสะดุ้ง นางคว้าข้อมือนั้นไว้ แต่ด้วยกำลังเพียงน้อยนิด นางเลยไม่อาจกระทำได้อย่างใจ ไหนจะริมฝีปากที่ถูกเขาครอบครอง ร่างสูงกดทับลงมาในเวลาที่เกาเจินเจินกำลังแตกตื่นกับการกระทำของเขา นางครางประท้วง แต่มันไม่อาจหลุดพ้นจากลำคอ สองมือยันอกเขาไว้เต็มแรง แต่สุดท้ายก็ต้องเลิกล้มความตั้งใจ แขนสองข้างค่อยๆ วาดไปโอบลำคอเขาไว้ พยายามจะตามจังหวะของเขาให้ทัน แม้เจ็บปวด แม้จะแปลกใหม่ ทำให้ตกใจไม่น้อย แต่นางก็จะผ่านมันไปให้จงได้
พายุบ้าคลั่งเบื้องนอกยังโหมแรง เสียงลม เสียงกิ่งไม้หัก และเสียงอีกมากมายแยกไม่ออก แต่มันหาได้ทำให้สองร่างที่กำลังกอดรัดกันแยกห่างกันได้ พายุรักยังคงโหมแรงกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งเช่นกัน แรงกระทำแทบจะทำให้เตียงปริแตก พายุรักดำเนินต่อไม่ลูกแล้วลูกเล่าจนพอใจจึงสงบลงอย่างราบคาบ
หลงเฟิงอี้ขยับกาย เปลือกตาค่อยๆ เปิดขึ้น ความมึนงงเข้าเกาะกินมโนความคิดชั่วขณะหนึ่ง เขากวาดแขนออกไปยังที่นอนทั้งสองด้าน พบเพียงความว่างเปล่า ที่นอนสองข้างเย็นจัดเหมือนเขานอนอยู่เพียงผู้เดียวตลอดทั้งคืน มันไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือ ถึงแม้ตัวเองจะเมามายเพราะพิษสุราเพียงใด แต่เขาหาได้ลืมเลือนเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ เกาจินจินนอนอยู่กับเขา ร่วมสุขภิรมย์ด้วยกัน!
หลงเฟิงอี้ดีดกายพรวด มองสำรวจตัวเอง ไม่มีอาภรณ์ติดกายแม้แต่ชิ้นเดียว เขาเสียทีเกาจินจินอีกแล้วใช่หรือไม่ เขาทำไปได้เช่นไร นางฆ่าอี้ซิ่ว เขาทำผิดกับอี้ซิ่วเสียแล้วอย่างนั้นหรือ เขาจะปล่อยให้นางมาอยู่เหนือจิตใจเขาไม่ได้ ตาคมกริบกวาดหาอาภรณ์แต่ไปสะดุดเข้ากับรอยเลือดใกล้ตัว เลือดกลุ่มใหญ่จนน่าตกใจ ไม่ใช่แค่แห่งเดียวเสียด้วย
เขาชะงักไป “ข้าทำร้ายนางหรือ?”
หลงเฟิงอี้ก้าวลงจากเตียงร้องหาน้ำล้างหน้าจากสาวใช้ เช็ดตัวและล้างหน้าจากน้ำอุ่น กลั้วปากด้วยน้ำชา จนรู้สึกสดชื่นหายมึนงง เขาหาอาภรณ์ชุดใหม่มาสวม เสื้อคลุมสีดำทับอีกชั้นและก้าวออกจากเรือนเหมยแดง แต่สะดุดอะไรบางอย่างจนสิ่งนั้นกลิ้งไปฝังอยู่ในกองหิมะตรงบันไดขั้นแรก หลงเฟิงอี้ตามไปเก็บขึ้นมาพิจารณา เป็นปิ่นไม้มะเกือแกะลาดดอกไม้วิจิตรตาไว้
หวนไปถึงวันที่เกาจินจินโผล่มา นางแต่งกายแปลกไปจนไม่น่าเชื่อสายตา ชุดเรียบง่ายเนื้อผ้าหยาบ ไม่ใช่แพรพรรณชั้นสูงที่นางชอบใส่ กายนางผอมบางลงไปมาก ไหนจะผิวกายที่เข้มขึ้นมาเล็กน้อย เรือนผมดกดำที่เคยรวบประดับด้วยปิ่นและเครื่องประดับทองงามตาก็หาไม่มี มีแต่ปิ่นไม้ที่อยู่ในมือเขาในตอนนี้ ใบหน้าที่จัดว่าเป็นสาวงามนางหนึ่ง ไร้ซึ่งเครื่องประทินโฉมอย่างที่เคย อะไรบางอย่างทำให้หลงเฟิงอี้ฉุกคิดขึ้นมาได้
‘นางไม่ใช่เกาจินจิน!’
ปิ่นไม้ถูกเก็บไว้กับอกเสื้อ ก้าวยาวๆ ย่ำสวบสาบลงไปบนหิมะหนา เช้าวันนี้ไร้ซึ่งพายุคลั่งเหมือนเช่นเมื่อวาน แต่พายุทิ้งความพินาศเสียหายไว้มากมาย ต้นไม้ใหญ่หลายต้นหักโค่นลงมา บ่าวของเรือนกำลังช่วยกันขนย้ายออกไปจากบริเวณสวนที่มารดารักและปลูกเองกับมือแทบจะทุกต้น บ่าวหลายคนหันมาเจอ ต่างหลบหน้า หลีกหนีไปคนล่ะทาง ท่าทางเกรงกลัวเขาเสียนักหนา
หลงฟิงอี้ไม่สนใจบ่าวและสาวใช้ เขาเร่งเดินไปยังห้องทำงานของหลงเฮ่าเทียน หลังจากซักถามจนได้ความว่าหลงเฮ่าเทียนอยู่ที่นั่นกับฮูหยิน
“พี่ใหญ่” หลงเฟิงอี้ส่งเสียงเรียกเข้าไปก่อนเพราะกลัวจะรบกวนเวลาส่วนตัวของสามีภรรยา
หลงเฮ่าเทียนชักสีหน้าใส่น้องชายทันที “สร่างเมาแล้วหรือเจ้าบ้าบอ”
“ข้าขอโทษพี่ใหญ่ ข้าเผลอดื่มหนักไปหน่อย” หลงเฟิงอี้ก้มศีรษะหลบตาพี่ชายอย่างสำนึกผิด รู้ว่าไม่ควรจะดื่มสุราอีก
หลงเฮ่าเทียนกระแทกพู่กันในมือลงกับโต๊ะจนหมึกบางส่วนกระเด็น “สติปัญญาของเจ้าเลยเลอะเลือน แม้แต่เมีย เจ้าก็จำไม่ได้ เจ้าทำอะไรแม่นางเกาหรือไม่”
“ข้า... พี่ใหญ่!” หลงเฟิงอี้หน้ามึนงง มองไปยังมู่อิงหวา นางก็แค่ส่งยิ้มบางๆ ให้เขา
“แม่นางที่เจ้าลากออกไปด้วยคือเกาเจินเจิน แฝดผู้พี่ของจินจิน” หลงเฮ่าเทียนช่วยยืนยันสิ่งที่หลงเฟิงอี้กำลังสงสัยด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง
“ไม่ใช่จินจินจริงๆ” เสียงเขาแหบเบา หน้าถอดสีทันใด
“เจ้าทำอันใดนางหรือไม่ เหตุใดนางเร่งรีบจะกลับออกไปนัก ข้าห้ามนาง แต่นางก็ไม่ฟังเสียง พายุโหมหนักบ้าคลั่งถึงขนาดนั้น เจ้าปล่อยนางออกไปได้อย่างไรกัน สกุลหลงเราสิ้นไร้ไม้ตอกที่จะต้อนรับแขกสักคนเชียวหรือ” หลงเฮ่าเทียนเริ่มเสียงดัง หน้าตาบูดบึ้งหนักอย่างไม่ชอบใจ จนภรรยาต้องแตะหลังมือเตือน พยายามลูบหลังสามีให้เขาใจเย็นลงหน่อย
