
บทย่อ
>>> เหมยพรางรัก
บทที่ 0 บทนำ
หลงเฉียนหรูส่ายหน้าเบาๆ “หมดหวังเสียแล้ว” เขาถอยออกมาจากเตียงและมองดูใบหน้าของแต่ละคนที่กำลังเอาใจช่วยอย่างใจจดจ่อ สายตาเหลือบมองไปที่หน้าประตู
เสียงร่างหนึ่งที่วิ่งเข้ามาได้ยินประโยคนั้นจากน้องชายพร้อมกับทุกคน เข่าทรุดตุบ! อยู่หน้าเตียงอย่างเศร้าสลด เสียงนั้นดังทำลายความเงียบที่ประหนึ่งโลกทั้งใบไร้สรรพสัตว์สิ่งมีชีวิต เขามองดูร่างไร้วิญญาณกำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง ที่สำคัญ หน้าท้องนูนใกล้คลอดนั้นดูน่าเวทนายิ่งนัก
“เหตุใดเจ้าไม่รอข้าเล่า... อี้ซิ่ว”
หลงเฟิงอี้ค่อยๆ เอื้อมมือไปลูบท้องนูนของภรรยา แล้วเลยไปถึงใบหน้าขาวซีด มือเขาสั่นอย่างไม่อาจห้ามอยู่ ใบหน้าค่อยๆ ก้มลงไปจรดใบหน้าภรรยาผู้จากโลกไปพร้อมกับลูกในท้องก่อนจะรวบร่างนั้นเข้ามากอดแนบอก
“ข้าทำผิดอันใด” เสียงเขาดูแข็งกระด้าง แต่สั่นเครือปลายเสียง
ทุกคนที่นั่นมองหน้ากัน มู่อิงหวาหลบภาพสะเทือนใจนั้นอยู่ในอ้อมอกสามี บรรดาพี่น้องสกุลหลงเบือนหน้าหนีภาพนั้นเช่นกัน ต่างเงียบงันไม่สามารถเอ่ยคำใดออกมาได้
อี้ซิ่ว ภรรยาของหลงเฟิงอี้ ตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือน แค่สองสามเดือนทายาทคนแรกของสกุลหลงก็จะลืมตาออกมาดูโลกอยู่แล้ว แต่อี้ซิ่วบ่นเจ็บท้องแค่วันหนึ่งเต็มๆ หลงเฉียนหรูในฐานะหมอ ดูแลใกล้ชิด เฝ้าอยู่ตลอดเวลา กลับช่วยเหลือพี่สะใภ้ไว้ไม่ได้ นางกลับหมดลมไปอย่างน่าประหลาด เพราะอยู่ๆ นางก็หลับไปเงียบเฉียบและไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย หลงเฟิงอี้ที่กำลังไปต่างเมือง เขารีบใช้วิชาตัวเบาเดินทางทั้งวันทั้งคืนกลับมา แต่เขากลับมาไม่ทันเสียแล้ว เมื่อภรรยาและลูกน้อยหมดทางเยียวยา
“พี่ใหญ่ อี้ซิ่วเป็นอะไร” หลงเฟิงอี้หันไปถามพี่ชายด้วยดวงตาแดงก่ำ
“นางเจ็บท้อง แต่... น้องห้า เจ้าเล่าไปแล้วกัน” หลงเฮ่าเทียนหันไปทางหลงเฉียนหรู ยกภาระให้น้องชายที่เป็นหมอเป็นผู้อธิบาย
“พี่รอง... พี่สะใภ้ นางดื่มยาขับเข้าไป” หลงเฉียนหรูตรวจเจออย่างไรก็บอกไปตามนั้น เขายังไม่เชื่อว่าพี่สะใภ้จะดื่มยาขับเข้าไปจริงๆ แต่กากยาที่นางดื่มเข้าไปถ้วยหลังสุดยืนยันเช่นนั้น
“ยาขับ! นางจะทำเช่นนั้นทำไม” หลงเฟิงอี้หันขวับมองน้องชายและพี่ชายสลับกัน ทั้งสองคนยืนยันในคำพูดของหลงเฉียนหรู
“ข้าพบตอนที่ไม่สามารถช่วยอะไรนางได้แล้ว ข้าขอโทษ” หลงเฉียนหรูก้มหน้าสำนึกผิด
“เจ้าจะบอกว่านางเต็มใจดื่มยาเพื่อจะได้ทำลายลูกอย่างนั้นหรือ เจ้าหาว่านางไม่อยากมีลูกกับข้าอย่างนั้นใช่หรือไม่!” หลงเฟิงอี้ลุกขึ้นพรวด ก้าวเข้าไปหมายกระชากน้องชายมาเค้นถามหาความจริง แต่หลงเฮ่าเทียนเข้าไปดักหน้า ยกมือยันอกหลงเฟิงอี้ไว้ หากเขาไม่เข้าไปห้าม คนอารมณ์ร้อนอย่างหลงเฟิงอี้คงทำให้น้องชายบาดเจ็บแน่นอน หลงเฉียนหรูเองก็โทษตัวเองที่ไม่สามารถรักษาอี้ซิ่วได้ แต่มีหรือจะกล้าประมือกับพี่ชาย
“เฟิงอี้!”
เสียงดังกังวานดุจลมกระโชกใหญ่หยุดหลงเฟิงอี้ลงได้ สองมือหลงเฟิงอี้กำเข้าหากัน มองหน้าพี่ชายตรงๆ หลงเฮ่าเทียนเองก็ไม่หลบ ทั้งยังจะดันหลงเฟิงอี้ถอยไปอีก นัยน์ตาคมดุกำลังทำให้หลงเฟิงอี้ลังเล
เขามองหน้าพี่ชายอยู่พักหนึ่งและยอมถอย ลูบใบหน้าเต็มแรงเพื่อเรียกสติอันขาดผึงให้กลับมา หลงเฮ่าเทียนตบไหล่น้องชายเบาๆ “ข้ารู้เจ้าเสียใจมากแค่ไหน แต่จำเป็นหรือที่เจ้าต้องโกรธน้องห้า”
หลงเฟิงอี้สบตาพี่ชายอีกครั้ง นัยน์ตาไหวระริก ก่อนจะหันกลับไปและเดินเข้าไปหาร่างไร้วิญญาณของภรรยาอีกครั้ง ทุกคนเงียบ หลงเฟิงอี้เองก็ไม่เอ่ยอันใดต่อไป ได้แต่นั่งมองภรรยานิ่งนาน เขาใช้หลังมือลูบไล้ไปตามใบหน้าซีดขาวซ้ำไปซ้ำมา และพึมพำอะไรเบาๆ ที่ไม่มีใครได้ยิน หลงเฮ่าเทียนโบกมือให้ทุกคนในที่นั้นออกไป ตัวเองมองน้องชายอยู่พักใหญ่ ก่อนจะรวบเอวภรรยาท้องสองเดือนจากไปเงียบๆ เช่นกัน
หลงเฟิงอี้ล้มตัวลงนอนข้างภรรยา แขนข้างหนึ่งโอบกอดนางไว้ ใบหน้าแนบลงกับเรือนผมดกดำ “เจ้าทำจริงหรืออี้ซิ่ว ข้าหาเชื่อไม่” หลงเฟิงอี้กระซิบข้างใบหูภรรยา เขาไม่เชื่อว่านางจะทำร้ายลูก ทำร้ายใจเขาด้วยการตายไปพร้อมลูก เขารักนางมาก นางน่าจะรู้ไม่ใช่หรือ
หลายวันมาแล้วที่หลงเฟิงอี้ได้แต่นั่งอยู่หน้าป้ายวิญญาณของอี้ซิ่ว จากเป็นคนเงียบอยู่แล้วเขากลับเงียบไปเท่าตัว คนภายนอกแทบจะไม่เคยได้ยินหลงเฟิงอี้พูด เพราะเขาไม่สนิทใจกับใครนอกจากคนในครอบครัว ตอนนี้ยิ่งแล้วใหญ่ เขาเงียบ นิ่ง แต่ใจไม่ได้สงบ เพราะบ่อยครั้งที่หลงเฟิงอี้วิ่งจากไปพร้อมฟาดแส้เข้ากับต้นไม้ ดอกไม้ในคฤหาสน์เกือบจะหมดสวนอยู่แล้ว แต่เพราะเป็นช่วงเหมันตฤดู ต้นไม้ดอกไม้เลยไม่เบ่งบานและมีหิมะเกาะตามกิ่งก้านและบนพื้น เสมือนหลงเฟิงอี้ฟาดแส้ใส่หิมะเสียมากกว่า
“ท่านพี่ พวกเราจะช่วยน้องรองได้บ้างหรือไม่” มู่อิงหวามองหลงเฟิงอี้กำลังหวดแส้อย่างบ้าคลั่งกับเหมยแดงกลางหิมะต้นหนึ่ง จนหิมะขาวและกลีบดอกสีแดงร่วงหล่นลงบนกายเขา ผมยุ่งเสื้อผ้ายับไม่เหลือสภาพเดิมอีกแล้ว
“ปล่อยไป” หลงเฮ่าเทียนมองนิ่ง คิดว่ามีเพียงตัวหลงเฟิงอี้เองที่ช่วยตัวเองได้ แค่ปล่อยให้เวลาผ่านไปอีกสักระยะ คงจะดีขึ้น
หลงเฟิงอี้กำแส้ในมือแน่น หอบหายใจหนัก แม้อากาศเหน็บหนาวสาหัสเพียงใด แต่ใจเขากลับร้อนดั่งไฟเผา ตาคมกริบกวาดมองความพินาศที่เกิดจากฝีมือเขา และก้มลงมองแส้เหล็กไหลในมือที่กำลังสั่นเทา กรามขบเข้าหากัน พยายามจะระงับสติก่อนจะหลับตาลงนิ่งพักหนึ่ง เท้าหนักย่ำหิมะกลับไปยืนแน่นิ่งมองป้ายวิญญาณของภรรยาอีกครั้ง นานเท่าใด ผ่านไปกี่วัน ใจเขายังไม่อาจยอมรับได้ ว่าเขาได้เสียภรรยาและลูกน้อยที่ยังไม่ทันลืมตาดูโลกไปเสียแล้ว
