บทที่ 3 กลีบดอกเหมย (1)
หลังจากหลงเฟิงอี้ฉุดกระชากเกาเจินเจินออกมาจากห้องโถงใหญ่แล้วก็พาเดินไปยังเรือนด้านหลัง
“ท่านจะพาข้าไปที่ใด?” เกาเจินเจินซอยเท้าตามเขาแทบไม่ทัน
“เหตุใดเจ้ายังออกจากคุกของทางการมาได้”
“ท่านยังไม่รู้หรืออย่างไรว่าทางการปล่อยตัวข้ามาเอง ข้าไม่ได้ฆ่าฮูหยินของท่าน”
“ข้าไม่เชื่อ!” เขาตวาดเสียงดัง
ร่างบอบบางถูกเหวี่ยงโครมยังห้องโถงเรือนเหมยแดง สาวรับใช้รีบวิ่งเข้ามาดู แต่หลงเฟิงอี้ไล่ตะเพิดไปหมด กลิ่นสุราคละคลุ้งทั้งเรือน เกาเจินเจินลุกขึ้นมาจาก พื้นเย็นเฉียบ พายุหิมะเริ่มตั้งเค้า สายลมพักโหมแรงหอบเอาความหนาวและเกล็ดหิมะเข้ามาในห้องโถง ม่ายบางพลิ้วลู่ลม แจกันใบโตวางขนาดสองข้างประตูบานใหญ่โดนแรงลมกระโชกล้มกลิ้ง
ร่างสูงอาภรณ์ดำยืนหันหลังให้สายลมเป็นเงาทะมึน ผมกระจายยุ่งสะบัดไหวไม่หยุด กลีบดอกเหมยสีแดงถูกลมหอบเข้ามาปลิวกระจายอยู่ในเรือน ประตู หน้าต่างถูกแรงลมตีกระทบเสียงดังสลับไปมา พายุเริ่มแรงขึ้นจนมืดฟ้ามัวดิน เรือนทั้งหลังเหมือนจะถูกพายุหอบพาขึ้นไปบนฟ้าด้วย
ร่างสูงโปร่งทรุดคุกเข่าลงตรงนั้น สองแขนยันพื้น เปลือกตาปิดสนิท คิ้วขมวด เขาพยายามเงยหน้าขึ้น ทันใดนั้นร่างสูงโปร่งล้มตะแคง กุมขมับ เขาส่ายหน้าไปมาเพื่อขับไล่อาการปวดศีรษะ
เกาเจินเจินรีบวิ่งไปปิดประตูหน้าต่าง เสร็จแล้วจึงเข้าไปประคองร่างนั้นขึ้นมา พาเดินลึกเข้าไป ไปยังที่ที่นางเข้าใจว่าต้องเป็นห้องนอนของเขา หลงเฟิงอี้สะบัดแขน เกาเจินเจินเข้ามาประคองเขาอีกครั้ง คราวนี้หลงเฟิงอี้ผลักนางไปยังเตียง ม่านด้านหนึ่งหลุดติดมือของนางไปด้วย เพราะนางตกใจและคว้ามันเอาไว้ เสียงขาดดังแควก ตาเบิกกว้างจับจ้องไปยังใบหน้าแดงก่ำของหลงเฟิงอี้
“คุณชายรอง!”
เกาเจินเจินรีบลุกขึ้น แต่ถูกผลักลงไปอีกครั้ง กายเขากดทับนางไม่ให้ขยับ สองแขนคร่อมร่างนั้นให้นิ่งงัน
“เจ้าอยากเป็นฮูหยินใหญ่ของข้าไม่ใช่หรืออย่างไรจินจิน” เขาแค่นเสียงออกมา “สตรีเจ้าเล่ห์อย่างเจ้าทำได้ทุกอย่างแม้กระทั่งฆ่าคนบริสุทธิ์ ฆ่าข้าไปเสียด้วย เจ้าจะได้ทุกอย่างของข้า ฮึ เจ้าใจมาร ฆ่าลูกน้อยของข้า” หลงเฟิงอี้บริภาษ สติหลุดลอย นัยน์ตาแดงก่ำเริ่มวาวน้ำ
“ข้า!” เกาเจินเจินตัวแข็งทื่อ อดสงสารเขาไม่ได้ เขาเพิ่งจะเสียภรรยาที่รักและลูกในครรภ์ด้วยน้ำมือภรรยาอีกคน เขาคงไม่เหลือสิ่งใดให้หวังอีกแล้วใช่หรือไม่
‘ข้าสงสารท่านเหลือเกิน’ น้ำตานางไหลอย่างไม่อาจห้ามได้
หลงเฟิงอี้ทิ้งกายด้วยหมดแรงกำลังกาย แรงใจ กายเกยทับเกาเจินเจินไว้ใต้ร่างเขา นางกำลังหลั่งน้ำตา หลั่งให้ความอดสู อย่างคนสิ้นไร้อนาคตจมอยู่กับความทุกข์ของหลงเฟิงอี้
“ข้าเกลียดเจ้าจินจิน” เสียงนั้นอู้อี้ “ข้าจะรักอี้ซิ่วคนเดียวตลอดไป จนชีวิตข้าจะหาไม่”
สองแขนยกขึ้นโอบรอบลำคอแกร่ง ออกแรงโน้มลงมา หน้าผากจรดกัน ตามองตา เสี้ยวหนึ่งเกาเจินเจินเห็นนัยน์ตาดำคมกริบไหววูบ ม่านใส่ๆ กำลังเอ่อมากขึ้น มากขึ้น จนรวมตัวกันหยดลงบนแก้มนาง
“ข้าเสียใจ” เสียงสั่นแหบเครือ นางเอ่ยได้เพียงแค่นั้น
หลงเฟิงอี้ซบหน้าลงกับซอกคอหอมอ่อนๆ ผิวกายนุ่มเนียนเย็นจัด แต่ทำให้กายร้อนของเขาอุ่นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สองแขนเรียวกอดศีรษะหลงเฟิงอี้กระชับเข้ามาอีก จนใบหน้านั้นฝังลงไปแน่นิ่งไปนานมาก ก่อนที่เขาจะค่อยๆ ขยับกาย ใบหน้านั้นเคลื่อนไหวซุกไซ้ ลมหายใจแรงหนัก เขากำลังไร้สติอย่างสิ้นเชิง
สองมือลูบไร้ลงแรงหนัก ท่าทางลนลานและกำลังปลดอาภรณ์ทุกชิ้นบนเรือนร่างของเกาเจินเจิน นางนอนนิ่งน้ำตาไหลพรากให้เขาทำตามใจ เขาจะทำเช่นไรกับนางก็สุดแล้วแต่เขา ให้เขาได้ระบายความอัดอั้นตันใจ ให้ความโศกเศร้าอาดูรได้คลายไปสักนิดก็ยังดี
ใบหน้าร้อนผ่าวแตะริมฝีปากลงที่ลำคอ ตามด้วยการขบกัดไม่เบาเลย เหมือนเขากำลังจะระบายอารมณ์ ไต่ขึ้นมาที่ริมฝีปากนางด้วยความรวดเร็ว เสียงหายใจหนักขึ้นเรื่อยๆ สองมือบีบคลึงลงแรงหนักไปทุกส่วนจนเกาเจินเจินเผลอครางออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่นางไม่ได้ผลักไส ปล่อยให้เขากระทำตามแต่ใจ
หลงเฟิงออี้ไม่รับรู้เสียแล้วว่าเขากำลังเคล้าคลออยู่กับผู้ใด เขาแค่ต้องการไออุ่น ต้องการคนที่คอยอยู่เคียงข้างเขา สองมือลูบสูงต่ำสะเปะสะปะ ริมฝีปากประกบบดเคล้า ลิ้นควานลึกเข้าไปหาความหอมหวานกับลิ้นเล็กๆ อุ่นชื้น เขาผละออกและก้มลงกัดริมฝีปากนางและเร่งปลดเปลื้องอาภรณ์ทุกชิ้นไปจนหมด และกลับลงมาขบกัดเรือนร่างบอบบางยวนตานั้นอีกครั้ง
