บทที่ 2 ตัวแทน (1)
“นางหนีไปไหนข้าเองก็ไม่รู้พี่ใหญ่ ถ้าไม่บอกท่านว่าจะกลับมาภายในหนึ่งเดือน ข้าคงตามจินจินต่อเสียแล้ว”
“ดีแล้ว” หลงเฮ่าเทียนยืนกอดอกมองน้องชายที่ท่าทางอิดโรย หลังจากร้องขอเหล้าจากพ่อบ้านอู๋ยกซดทั้งกา
“ข้าเชื่อแน่แล้วว่าจินจินทำให้อี้ซิ่วตาย” หลงเฟิงอี้กัดกรามจนเป็นสันนูน นัยน์ตาแดงก่ำ
“ข้าตามสืบมาให้เจ้าแล้ว จินจินจัดหายามาให้อี้ซิ่วจริงๆ” หลงเฮ่าเทียนเดินเข้ามานั่งลงข้างๆ น้องชาย “ให้ข้าช่วยเจ้าตามหาอี้ซิ่วหรือไม่”
“ฮึ! นางปีศาจ คิดไว้ไม่มีผิด ข้าหลงเลี้ยงอสรพิษไว้ในเรือนได้อย่างไร” เขามองหน้าพี่ชาย “ข้าจะตามหานางเอง”
“เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป?”
“ข้าจะทำให้นางรับกรรมของนางให้ได้” ตาคมกริบมองตรงฝ่าหิมะขาวนอกห้องโถงออกไปอย่างไรจุดหมาย แต่นั่นบอกได้ว่าหลงเฟิงอี้ไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ให้จบไปง่ายๆ เสียแล้ว
“นางหนีข้าไม่พ้นหรอก”
กลางหิมะขาวโพลน ม้าสีขาวร่างกำยำตัวหนึ่งกำลังย่ำเหยาะไปตามเส้นทางกลางเมืองเถียเฉิน ถึงแม้เวลานี้จะเป็นช่วงหมันตฤดู แต่หาได้ลดความงดงามของอาณาบริเวณและหยุดชาวบ้านให้ออกมานอกเรือนได้ เกาเจินเจินดึงสายบังเหียนไว้เพื่อจะหยุดลงข้างหน้าเด็กน้อยใส่เสื้อผ้าเกาขาดร่างหนึ่งที่นั่งห่อตัวกายหนาวสั่นอยู่ใต้ต้นเหมยแดงที่ตามกิ่งใบเกาะพราวไปด้วยเกล็ดหิมะซึ่งกำลังทอแสงประกายยามเมื่อมีแดดอ่อนจาง
“เจ้าหนู” เกาเจินเจินลงจากหลังม้า เดินเข้าไปหาร่างน้อยๆ “เจ้ามานั่งทำอันใดกัน ไม่หนาวหรอกหรือ”
เด็กน้อยค่อยๆ เงยใบหน้าอันซีดขาวขึ้น สองมือน้อยอันสั่นเทายื่นออกมาข้างหน้าพร้อมตะกร้าสาน ภายในมีปิ่นไม้มะเกือที่แกะสลักไว้ลวดลายงามวิจิตรตา
“พี่สาว ท่านช่วยซื้อไปสักอันได้หรือไม่ ปิ่นพวกนี้ท่านยายข้าเป็นคนทำเองกับมือ”
เกาเจินเจินหยิบปิ่นลวดลายงามตาขึ้นมาพิศดู “ท่านยายของเจ้าฝีมือดีนี่นา แต่เจ้าจำเป็นอันใดกันถึงต้องมานั่งขายปิ่นอยู่กลางอากาศหนาวจัดเช่นนี้”
“น้องสาวข้าป่วย ข้าต้องหาเงินไปรักษานาง แต่วันนี้ข้าขายปิ่นไม่ได้สักอัน”
เกาเจินเจินก้มลงเลือกปิ่นดอกเหมยมาอันหนึ่ง ปักลงไปยังผมที่รวบไว้หลวมๆ แล้วล้วงเงินออมมาร้อยตำลึงยัดใส่มือเด็กน้อย แล้วหันหลังกลับขึ้นม้า
“พี่สาว! เงินของท่านมากเกินไป”
“อากาศหนาว เจ้ากลับบ้านไปซะ วันนี้ไม่ต้องขายแล้ว พี่สาวคนนี้ชอบปิ่นของเจ้ามาก เงินนั้นพี่สาวให้เจ้าไว้รักษาน้องของเจ้า”
“แต่ว่า... มาก มากเกินไป” เด็กน้อยได้แต่มองตามหลังม้าขาวตัวโตแสนสวยที่ย่างเหยาะไปเรื่อยๆ เหมือนไม่ทุกข์ร้อนกับหิมะและความหนาว ค่อยๆ จากไปทางด้านตะวันออกของเมืองเถียเฉิน
เกาเจินเจินเคยมาเมืองเถียเฉินหลายครั้ง เนื่องด้วยเอาม้ามาส่ง นางมาเมืองเถียเฉินครั้งนี้เพราะเกาจินจิน น้องสาวฝาแฝดของนางส่งจดหมายไป บอกว่านางมีปากเสียงกับสามี สามีนางกักขังนางไว้ไม่ยอมให้ออกจากสกุลหลง ร้องขอให้นางมาช่วย เกาเจินเจินเลยเดินทางมาตามลำพังเพราะเกาจินจินสั่งห้ามบอกเรื่องนี้กับทางบ้าน
เดิมทีเกาเจินเจินกับเกาจินจิน ไม่ได้อยู่ด้วยกัน สกุลเกามีบุตรชายสองคน และบุตรสาวแฝดสองคน แต่เพราะเกาเจี้ยผู้เป็นอาและอาสะใภ้ไม่สามารถให้กำหนดบุตรได้ จึงขอเกาเจินเจินไปเลี้ยงตั้งแต่อายุได้สามขวบ จนตอนนี้นางอายุสิบเจ็ด เข้าวัยที่สามารถออกเรือนได้แล้ว
เกาเจินเจินแยกมาอยู่กับเกาเจี้ยที่เมืองฉานซู อยู่ทางด้านตะวันออก เดินทางจากเมืองเถียเฉินเพียงหนึ่งวันเต็มๆ แม้เป็นแฝดที่เกิดมาในเวลาไม่ห่างกันนัก แต่เจินเจินกับจินจินหาได้สนิทสนมเหมือนพี่น้องกัน ในขณะที่จินจินแต่งเข้าสกุลหลง เกาเจินเจินยังมารู้ภายหลังจากเสร็จสิ้นพิธีแล้วเพราะเป็นการแต่งงานกู้หน้าจินจินอย่างกะทันหัน นางกับน้องเขยสกุลหลงก็ไม่เคยได้เจอกันสักครั้ง ยังเป็นกังวลอยู่มากเรื่องที่ได้รับจดหมายจากจินจิน แต่จะให้นางทำอย่างไรได้ ในเมื่อจินจินสั่งห้ามนางบอกใครในเรื่องนี้
เกาเจินเจินกระโดดจากหลังม้ามายืนจดๆ จ้องๆ อยู่ที่ประตูแดงบานใหญ่ ป้ายเหนือประตูเขียนด้วยลายเส้นที่ดูน่าเกรงขามว่าสกุลหลง คฤหาสน์สกุลหลงดูใหญ่โตและมีอำนาจถึงเพียงนี้ ตัวนางดูเล็กต่ำต้อยไปถนัดตา ที่แปลกคือที่ประตูผูกผ้าดำไว้ นั่นหมายถึงมีการตายเกิดขึ้น เกาเจินเจินกระสับกระส่ายกลัวจะได้รับข่าวร้าย แต่จะทำอย่างไร สกุลหลงปิดประตูเงียบ ดูร้างไร้ผู้คนอย่างไรบอกไม่ถูก
เกาเจินเจินเคาะประตูสองสามครั้ง แต่เงียบ นางเลยเคาะใหม่ คราวนี้มีบ่าวรีบย่ำหิมะมาเปิดประตูให้ บ่าวสกุลหลงคนนั้นมองนางอย่างตกตะลึง ก่อนจะส่งเสียงร้องบอกอะไรกับใครก็ไม่รู้ได้ แต่แล้วบ่าวคนนั้นรีบเข้ามาคว้าแขนนางไว้
