บทที่ 4 ข้อตกลงของคุณปู่
“คุณหนูกำลังจะไปไหนคะ” ป้านวลถามขึ้นหลังจากที่เธอเพิ่งกลับมาจากจ่ายตลาด สองมือหอบวัตถุดิบการทำอาหารมาเต็มสองมือ
“เรือนใหญ่ค่ะ คุณปู่มา” อลิซไม่พูดให้มากความ เธอไม่อยากไปสาย สองเท้าจึงเร่งก้าวไปยังที่หมายโดยไม่ได้สนใจท่าทีแปลกใจของป้าแม่บ้านของเธอ
ถึงเธอจะรีบขนาดไหนก็ยังคงมาเป็นคนสุดท้ายอยู่ดี เพราะในห้องโถงที่ให้ทุกคนมารวมตัวเต็มไปด้วยผู้คนเกือบสิบ ก็แน่สิเธอไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่เหมือนตระกูลรฉัตรคนอื่นๆ อลิซกวาดตามองไปยังสมาชิกของตระกูลคนอื่นที่มองมาที่เธอเช่นกัน ดูเหมือนว่าไม่มีใครมองเธอด้วยสายตาเป็นมิตรเลยสักคน ยกเว้น ชายชราคนสุดท้ายที่เธอเลือกหยุดสายตามามอง คุณปู่อดิศวรของเธอนั่นเอง รอยยิ้มโอนโยนที่มีมาให้เธอเสมอทำให้เธอรู้สึกไม่โดดเดี่ยว
ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นเสียงดังเพราะเจ้าตัวเดินมาโดยไม่ได้ถอดรองเท้าทั้งๆที่เดินอยู่ในบ้าน ดูเหมือนว่าอลิซไม่ได้มาเป็นคนสุดท้าย เพราะร่างสูงแต่ไม่ได้กำยำของ คุณชายเล็กหรือ เทวิน รฉัตร ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนดียวของแม่ใหญ่และก็เป็นทายาทที่เป็นผู้ชายคนเดียวของคุณพ่อ เดินเข้ามาเป็นคนสุดท้าย ดวงตาน้ำตาลเข้มจนเกือบดำสนิทเช่นเดียวกับเส้นผมของเทวินมองมาที่อลิซอย่างกวนเท้าก่อนจะเดินผ่านหน้าเธอไปหาผู้เป็นแม่
“สายนิดหน่อย ไม่เป็นไรนะครับแม่ใหญ่ พอดีผมติดธุระด่วน” เทวินพูดอย่างอ้อนกับผู้เป็นแม่
“ไม่สายลูกๆ คุณปู่ยังไม่ได้เริ่มเลย ลูกรักของแม่” เจนจิราพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพลางลูกหัว ทำเอาลูกอีกคนอย่างจีน่าถึงกับเบะปาก และอดไม่ได้ที่จะแขวะน้องชายตัวดี
“แกเคยมาตรงเวลาด้วยเหรอไง เทวิน”
“โถ พี่จีน่า ผมเป็นผู้ชายนะก็ต้องมีธุระเยอะเป็นธรรมดา” เทวินพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน เขาไม่เคยแคร์อยู่แล้ว ออกจะรู้สึกผยองตัวเองด้วยซ้ำไป ก็เขาน่ะลูกชายคนเดียวของคุณพ่อ เชียวนะ ยังไงธุรกิจ สมบัติทั้งหมดก็ต้องเป็นเขาอยู่แล้วที่เป็นคนดูแล “อ้าว คุณปู่สวัสดีครับ”
“งั้น เริ่มเรื่องดีไหมครับ คุณท่าน ทุกคนมาครบแล้ว” วรากร ผู้ช่วยของ อดิศวร ที่เหมือนเป็นทั้งคนสนิทผู้เป็นทุกอย่างของคุณปู่ของตระกูลรฉัตรถามเจ้านายตัวเอง
“เรียกทุกคนมาครบขนาดนี้ เจนนึกว่าจะเปิดพินัยกรรมนะคะเนี่ย” เจนจิราหรือที่ทุกคนเรียกว่าแม่ใหญ่ พูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี ก็แน่สิ ใครต่างก็รู้ว่าเธอเป็นเมียหลวง เมียที่ถูกกฎหมาย แถมยังมีลูกชายให้คุณพี่ให้เพียงหนึ่งเดียวในตระกูล ถ้ามีการส่งต่อสมบัติ หรือส่งต่อผู้นำตระกูลคนต่อไปก็ย่อมเป็นลูกชายสุดที่รักของเธออยู่แล้ว
“ใจเย็นๆสิ แม่เจนจิรา ลูกชายฉันยังไม่ได้ตายสักหน่อย” อดิศวรได้แต่พูดปรามและส่ายหน้าเหนื่อยหน่ายเช่นเดียวกับอลิซที่เดินมายืนอีกมุมนึงของห้องห่างออกมาจากคนอื่นไม่ไกล
นี่ขนาดคุณพ่อยังไม่ตาย ยังกล้าพูดถึงสมบัติ อลิซได้แต่คิดอยู่ในใจ
“ก็แหม คุณพ่อก็เล่นให้ทุกคนมาพร้อมหน้ากันขนาดนี้ เป็นใครใครก็คิด จริงไหมคะคุณพี่เจน” และนี่ก็เป็นเสียงประจบประแจงที่ดังมาจากดาวประดับ เมียคนรอง นิสัยคนลูกก็ถูกถอดแบบมาจากผู้เป็นแม่นี่เอง “แต่เสียอย่างเดียว เหมือนคุณพ่อจะเชิญคนอื่นมาด้วยนะคะ” คำสุดท้ายที่บอกว่าคนอื่น ไม่วายหันมาหาอลิซ อย่างแค้นเคือง เพราะเรื่องที่ลูกสาวตัวเองโดนต่อยมาฟ้องเธอยังไม่ได้เอาเรื่องเลย
“ฮึ่ม พอได้แล้ว เลิกเดากันได้แล้ว” อดิศวรหันไปพยักหน้าให้ผู้ช่วยคนสนิทจัดการต่อ ส่วนตัวเขาเดินโดยใช้ไม้เท้าช่วยไปนั่งเก้าอี้ไม่ไกล
“ผมวรากร ผู้ช่วยคนปัจจุบัน ขอเป็นตัวแทนกล่าวข้อความที่คุณอดศวรต้องการจะชี้แจงในวันนี้นะครับ...” วรากรก้าวเท้าออกมายืนเบื้องหน้าเจ้านายตัวเอง พร้อมกับหยิบกระดาษในแฟ้มออกมาอ่านให้ทุกคนฟัง “...เนื่องด้วยสถานการณ์ที่กำลังแย่ของตระกูลรฉัตร เนื่องด้วยคุณดิเรกซึ่งเป็นประทานบริษัทรฉัตรเกิดประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์อาการไม่สู้ดี ทำให้คุณอดิศวรต้องกลับมาดำรงตำแหน่งประธานปริษัทชั่วคราว แต่ด้วยอายุและสุขภาพของคุณท่าน ท่านจึงคิดว่าธุรกิจควรมีที่พึ่งรุ่นใหม่...”
อลิซตั้งใจฟังพลางมองสีหน้าสมาชิกตระกูลคนอื่นๆ แม่ใหญ่กับพี่ใหญ่ยังคงความหยิ่งยโส หน้าเชิดและตอนนี้ก็แสดงแววตาเปล่งประกาย ซึ่งก็ไม่ผิดจากที่อลิซคาดเอาไว้ ก็คงคิดว่ายังไงธุรกิจคุณพ่อก็ต้องตกเป็นของลูกชายตัวเอง ส่วนแม่รองก็ดูไม่ได้มีท่าทียินดีนักกับสิ่งที่คุณวรากรอ่าน เพราะยังไงเธอก็รู้อยู่แล้วธุรกิจตระกูลก็คงไม่ตกเป็นของเธอหรือลูกสาวเธอ แต่ที่อลิซขัดใจสุดๆคือ เทวิน น้องชายต่างบิดาของเธอที่ไม่แม้จะมองมายังคนพูด มัวแต่ก้มหน้าก้มตาเล่นเกมส์ในโทรศัพท์มือถือ นี่น่ะหรือลูกชายคนเดียวของคุณพ่อ ที่พึ่งของตระกูลรฉัตร
เธอไม่ได้อยากได้ธุรกิจของคุณพ่ออยู่แล้ว เพราะเธอไม่ใช่เบล เธอคืออลิซที่แค่อยากมีชีวิตที่มีความสุขเหมือนคนธรรมดา
“...ซึ่งท่านได้คิดทบทวนมาอย่างดีแล้ว ธุรกิจตอนนี้กำลังเจอปัญหาหนัก ลูกค้าไม่เชื่อใจเรา มีทีท่าว่าหุ้นจะตกลงอย่างที่ข่าวออกอยู่ ณ ปัจจุบัน”
อลิซฟังมาถึงประโยคหลังของผู้ช่วยวรากร เธออดไม่ได้ที่จะถามขัดขึ้น ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้หลายคนที่รอฟังสรุปสุดท้ายที่คุณปู่ต้องการจะบอกหลังจากกล่าวน้ำมาเสียยืดยาว
“หมายความว่าตอนนี้ธุรกิจรฉัตรไม่ได้แย่ขนาดที่ข่าวบอกเหรอคะ” อลิซข้องใจเพราะเมื่อเช้าเธอเพิ่งไล่อ่านข่าวธุรกิจของคุณพ่อ ซึ่งมันย่ำแย่มากในสายตาเธอ จนอดเป็นห่วงไม่ได้
“ครับ ตอนนี้โดนตีข่าวจน ลูกค้าหลายคนเริ่มไกล้เขว”
“ไม่มีมารยาท ต่อเลยค่ะคุณวรากร” แม่ใหญ่เองเป็นคนที่ดุเธอ อลิซได้แต่เก็บงำความสงสัยไว้ในใจ
มีคนพยายามใส่สี ตีไข่ งั้นเหรอ
“คุณอดิศวรจึงคิดหาคนที่จะมาดำรงประธานบริษัทชั่วคราวจนกว่าคุณดิเรกจะฟื้น เพราะท่านคงได้แค่ช่วยในระยะสั้น เนื่องจากอายุและสุขภาพ แต่คนที่ท่านจะให้ดำรงหน้าที่นี้ท่านจะเป็นคนพิจารณาเอง จากความสามารถและความเหมาะสม โดย 3 เดือนนี้ท่านจะให้ลูกทุกคนของคุณดิเรกมาช่วยงานที่บริษัท และหลังจากนั้นท่านจะเป็นคนตัดสินใจเอง”
“ได้ยังไงคะคุณพ่อ เทวินเป็นลูกชายคนเดียวก็ควรเหมาะสมที่สุดสิคะ” เจนจิราเถียงขึ้นทันที่วรากรพูดจบ
“นั่นสิคะคุณปู่ ประธานเป็นผู้ชายก็ย่อมได้รับความเชื่อใจมากกว่า” จีน่าเถียงแทนน้องชายอีกเสียง เพราะเธอก็ไม่ได้อยากเป็นประธานบริษิทที่ต้องทำงานงกๆอยู่แล้ว เธอจึงส่งเสริมน้องชายสุดกำลัง
“เธอคิดว่าประธานบริษัทเป็นกันได้ง่ายๆหรือไง ฉันจะให้ทุกคนมีสิทธิเท่ากันฉันและคณะกรรมการที่บอร์ดจะเป็นคนตัดสินใจเอง” อดิศวรลุกขึ้นบ้าง เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ยังไงเขาก็เป็นคนสร้างตระกูลนี้ขึ้นมาเองกับมือ เขาไม่ยอมให้มันจบลงง่ายๆแน่
“โถ คุณพี่เจน อย่าอารมณ์เสียไปเลยค่ะ ยังไงตาเทวินก็ได้อยู่แล้ว เก่งซะขนาดนั้น” คราวนี้ดาวประดับเป็นคนมาห้ามทับเอง ด้วยนัยแอบแฝง เธอไม่อยากให้เปลี่ยนข้อตกลงนี้ซะหน่อย นี่เป็นโอกาสที่ดีของลูกสาวเธอเชียวนะ
“นี่หมายความว่าคุณตาเปิดโอกาสให้ลูกเมียน้อยด้วยเหรอครับ” เทวินที่วางโทรศัพท์ลงนานแล้วตั้งแต่ได้ยินว่าคนที่จะดำรงตำแหน่งนั้นไม่ใช่เขา ซึ่งคำว่าเมียน้อยก็กระทบหลายคนทีเดียว
“ระวังคำพูดหน่อย เทวัน” อดิศวรปราม
“คุณปู่ไม่น่าต้องเสียเวลา คัดเลือกพวกนี้นะครับ ยังไงผมก็เป็นผู้ชายคนเดียวในนี้ จะให้เป็นผู้หญิงเป็นผู้นำงั้นเหรอ แค่คิดก็ตลกแล้วครับ” เทวินแค่นหัวเราะ
“ถ้าแกมั่นใจว่าแกเหมาะสม แกก็ไม่ต้องกลัวอะไรนี่”
“แน่นอนครับ คุณปู่มีอะไรจะพูดอีกไหมครับ ผมง่วงนอน” เทวินพูดอย่างอารมณ์ เขาไม่ได้รอให้ผู้เป็นปู่ตอบคำถามเขาด้วยซ้ำ ชายหนุ่มเดนขึ้นบันไดไป ผู้เป็นแม่ได้แต่เร่งเดินตามไปปลอบลูกชาย
อดิเรกมองตามไปอย่างเหนื่อยอ่อนกับความตามใจจนเสียคนของผู้เป็นแม่ แล้วอย่างงี้จะให้เขาฝากความหวังไว้กับเด็กที่ไม่รู้จักโตอย่างงี้ได้ยังไง กว่าที่เขาจะสร้างตระกูลรฉัตรมาได้ถึงขนาดนี้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ธุรกิจเขาไม่เหมาะกับเด็กๆเลยสักนิด
อดิเรกบอกให้ทุกคนแยกย้ายเพราะเขาไม่มีเรื่องจะพูดแล้ว เขายังต้องกลับไปดูงานที่บริษัทต่อ แต่ก่อนที่เขาจะก้าวเท้าออกจากบ้านไปยังบริษัท เสียงหวานของอลิซก็เรียกเอาไว้เสียก่อน
“คุณปู่คะ เบลว่า ก็จริงอย่างที่พี่จีน่าพูดนะคะ ในสถานการณ์แบบนี้ถ้าประธานคนใหม่เป็นหนุ่มเลือดใหม่ไฟแรง น่าจะกู้ความเชื่อได้มากกว่า สาวเลือดใหม่ไฟแรงนะคะ” อลิซแสดงความคิดเห็นตัวเองออกไป ผู้เป็นปู่มองกลับมายังหลานสาวที่สร้างความประหลาดใจให้เขาหลายหนด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดาความคิด
“ธุรกิจเราไม่ได้ง่ายอย่างนั้นหรอก เบล เชื่อปู่ คนที่มีความสามารถเท่านั้นที่เหมาะสม” ปู่ลูบหัวผู้เป็นหลานอย่างเอ็นดูก่อนจะขอตัวกลับไป อลิซมองตามชายชรา
เธอคิดไปเองหรือเปล่าว่า คำพูดคุณปู่ดูแปลกๆ
