บท
ตั้งค่า

บทที่ 5 อาวุธวิเศษ

เซียนดาวน้อยยืนเหม่องงอยู่หน้าประตูทางเข้าของวังร้าง มองแผ่นไม้ขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่เหนือกรอบประตู

‘วังหยวนหนิง’

ชื่อที่เคยเกรียงไกร บัดนี้กลับไร้เงาขุนพลสวรรค์เฝ้ายามสักผู้ นางนึกสะท้อนใจ กาลก่อนที่นี่คงมีชีวิตชีวาไม่น้อย วังหยวนหนิงอาจเคยคึกคักรุ่งเรือง บัดนี้กลับเหลือเพียงความเงียบงันแผ่ซ่าน กลายเป็นเพียงวังร้างเดียวดายไร้ผู้อาศัย

นางชะโงกหน้ามองบานประตูไม้ โดดเด่นสะดุดตาด้วยกระดาษบางๆ สองสามแผ่นที่แปะไว้

ซือซิงย่นคิ้ว ก่อนก้าวเข้าไปอ่านใกล้ๆ อย่างระมัดระวัง

แผ่นแรกเขียนว่า ‘วังนี้สัตว์เลี้ยงดุ’

แผ่นที่สอง ‘จงรักษาชีวิต อย่าคิดลองดี’

แผ่นสุดท้ายอักษรแดงเขียนเด่นชัดว่า ‘เข้าแล้วออกไม่ได้ ตายสถานเดียว’

ซือซิงกลืนน้ำลายพรืดจนน้ำลายติดคอ สำลักไอแค่กๆ จนต้องกำหมัดทุบอกตัวเองสองสามที

‘อะไรกัน ใครเป็นคนเขียนคำขู่ขวัญพรรค์นี้?’

‘หรือว่าต้องการให้ผู้มาเยือนล่าถอยกลับไป?’

ซือซิงยืนกอดอกครุ่นคิด ประเมินพลังของดารารัตนชาติ ที่ฝังอยู่กลางหน้าผากอย่างเงียบๆ ครั้งหนึ่งนางจำได้ว่าขณะทะเลาะกับหรงหมิ่น น้องสาวโมโหจนชักกระบี่หมายฟันใส่นางเต็มกำลัง แต่ทันทีที่คมกระบี่เฉียดถึงตัว พลังศักดิ์สิทธิ์จากดารารัตนชาติก็ปัดกระบี่กระเด็นไปไกลนับสิบจ้าง* เป็นเรื่องอัศจรรย์ที่เห็นกับตาตนเองมาแล้ว

แม้แต่เวลาเดินสะดุด นางก็ไม่เคยล้ม อุบัติเหตุทั้งหลายไม่เคยเกิดขึ้นกับซือซิงแม้เพียงคราเดียว

ครั้งนี้นางก็มั่นใจเช่นกัน หากไม่พบของวิเศษก็มิอาจจากไปได้

เมื่อเห็นว่าประตูไม้บานใหญ่ไม่มีกลอนหรือยันต์อาคมใดปิดผนึกอยู่ ซือซิงจึงค่อยๆ ยื่นมือออกไปผลักให้แง้มออก เสียงเอี๊ยดเบาๆ ดังขึ้น

นางยื่นหน้าเข้าไปมอง...

เงียบสนิท ไร้เงาสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเซียน มาร หรือสัตว์เทพสักตน มีเพียงเสียงลมพัดกระทบใบไม้กวัดแกว่งแผ่วๆ เท่านั้น

ซือซิงผลักประตูให้กว้างขึ้น แล้วก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปยืนกลางลานวัง ภาพแรกที่เห็นทำให้นางถึงกับลืมความหวาดหวั่นไปชั่วครู่

วังหยวนหนิงโอ่อ่าและงดงามกว่าที่เล่าลือ รายรอบด้วยตำหนักน้อยใหญ่รอบด้าน สวนหย่อมดูร่มรื่น สะพานหินทอดข้ามลำธารใสที่ไหลเอื่อยลงสระบัว ดอกบัวสีขาวชูเด่นราวจะต้อนรับผู้มาเยือนผู้หนึ่ง สายลมพัดรวยรินทำให้กระโปรงแดงของนางพลิ้วไหวงดงาม

ซือซิงก้าวขึ้นสะพานหิน ไม่วางแผนมองอะไรเป็นพิเศษ เพียงแค่เหลือบผ่านกิ่งดอกซิ่งไปยังตำหนักหนึ่งโดยบังเอิญ แต่กลับต้องตกตะลึง หัวใจหล่นวูบ ความหวาดหวั่นแล่นสู่สมอง เมื่อเห็นว่ามีร่างบุรุษชุดขาวยืนอยู่และที่ร้ายยิ่งกว่านั้น คือเขากำลังมองตรงมาที่นาง!

ลมหายใจของซือซิงสะดุดวาบ

นางรีบก้มตัวลงนั่งหมอบกับพื้นสะพาน กดสองมือทาบปากตนเองไว้แน่นจนริมฝีปากชา หวั่นลมหายใจแม้เพียงน้อยจะสร้างเสียงดังพอให้เขารู้ตำแหน่งของนาง

หัวใจเต้นดังรัวจนนางคิดว่ามันอาจได้ยินไปถึงบนหลังคาตำหนักโน่นด้วยซ้ำ…

‘ผู้นั้นเป็นใครกันเล่า? หากเป็นสัตว์เทพจะเป็นตนใดกัน ที่มีร่างมนุษย์ได้สง่างามถึงปานนั้น’

แม้อยู่ไกลเพียงนี้ ซือซิงยังรู้สึกได้ถึงพลังที่ไม่ธรรมดา นางลังเลชั่วครู่ ก่อนค่อยๆ โผล่ใบหน้าขึ้นจากที่หลบ เหลือบตามองยอดหลังคาอีกครั้ง แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นเพียงความว่างเปล่า

นางยันกายลุกขึ้น กวาดสายตามองไปรอบบริเวณ เฝ้ามองยอดหลังคาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าก็ไม่พบเงาร่างนั้นอีก

‘หรือว่าข้าจะตาพร่าไปเองกระมัง?’

ซือซิงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนบ่นอุบอิบกับตนเองเบาๆ

“ในวังเงียบเชียบถึงเพียงนี้ เรื่องสัตว์เทพเฝ้าวังที่ล่ำลือกัน คงเป็นเพียงนิทานหลอกเด็กเสียมากกว่า”

เมื่อคิดเช่นนั้น ความหวาดหวั่นที่เกาะกุมอยู่ก็พลันจางหาย นางยกชายกระโปรงเดินย่ำพื้นอย่างอารมณ์ดี ราวกับกระต่ายน้อยที่เพิ่งพ้นจากหลุมพราง เดินลัดเลาะชมตำหนักเล็กใหญ่ระหว่างทางด้วยความเพลิดเพลิน

จนกระทั่งสายตาสะดุดเข้ากับตำหนักหลังใหญ่ที่สุด ตั้งตระหง่านอยู่กลางวัง โอบล้อมด้วยตำหนักย่อยสิบสองหลังราวดาวรายล้อมจันทรา

‘ตำหนักนี้เอง…หอเก็บสมบัติตามที่ท่านเซียนบุรุษบอกไว้แน่’

หัวใจนางเต้นตุ้บๆ ด้วยความตื่นเต้น ก้าวขึ้นบันไดไปถึงหน้าประตู พอแนบหูฟังอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ได้ยินแม้เสียงลมหายใจของใคร นางจึงผลักบานประตูเข้าไป โถงภายในทั้งกว้างทั้งสูงใหญ่ทว่า…ว่างเปล่า

ซือซิงเบิกตากว้าง เอ่ยออกมาอย่างลืมตัว

“จะเป็นไปได้อย่างไร ไม่เก็บของวิเศษไว้ที่นี่ แล้วจะเก็บไว้ที่ใดกันเล่า ข้าเดินมาทั่วทั้งวัง ตำหนักนี้เหมาะสมที่สุด เหตุใดจึง...”

คำพูดของนางสะดุดลงกลางคัน เพราะความคิดหนึ่งแล่นผ่านขึ้นมาก่อนอื่นใด

‘หรือทั้งหมด…เป็นเพียงเรื่องเหลวไหลที่ผู้คนแต่งเติมกันไปเอง วันนี้ข้ามาเสียเวลาแล้วกระมัง’

ซือซิงถอนหายใจยาวปล่อยวางความคิด แล้วยิ้มเย้ยกับตนเองที่หลงเชื่อคำเล่าลือ กระหายใคร่รู้มากเกินไป จนเผลอล่วงเกินวังของท่านเทพผู้สูงส่ง นางรู้สึกละอายอยู่ลึกๆ ที่บุ่มบ่ามเข้ามาโดยไม่ได้การรับอนุญาต

เช่นไรก็ควรกล่าวขอขมาเสียหน่อย นางประสานมือขึ้นคารวะแล้วเอ่ยเสียงอ่อน

“ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เผลอบุกรุกเทวะตำหนักโดยมิได้ไตร่ตรอง โปรดอภัยให้ข้าด้วยเถิด”

สิ้นคำกล่าว จู่ๆ ก็มีลำแสงสีขาวสว่างวาบพุ่งตรงมาจากทางด้านหลัง รวดเร็วปานสายฟ้าฟาด ก่อนจะหยุดลอยนิ่งอยู่เฉพาะหน้า นางสะดุ้งถอยหลังไปสองสามก้าว หัวใจเต้นไหวระส่ำ

เมื่อเรียกสติตนกลับมาได้ จึงย่องเข้าไปใกล้ หรี่ตาเพ่งมองลำแสงนั้นอย่างระมัดระวัง

ทันใดนั้น สมองนางพลันกระจ่างแจ้ง

“กระบี่…กระบี่เปล่งแสง อาวุธวิเศษ!”

ซือซิงยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว ยื่นมือออกไปแตะด้ามกระบี่ด้วยความตื่นเต้น

ทว่าเพียงอึดใจเดียวเหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

เสียงฝีเท้าวิ่งกระหึ่มดังลั่นจากทุกทิศ ขุนพลสวรรค์นับร้อยกรูกันเข้ามาอย่างรวดเร็ว ไม่กล่าววาจาแม้แต่คำเดียว ก่อนตีวงล้อมนางไว้อย่างแน่นหนาเป็นกำแพงมนุษย์

รอยยิ้มของซือซิงหุบลงฉับพลัน หัวใจหล่นวูบไปถึงพื้น นางกลืนน้ำลายฝืดเฝื่อน ไม่กล้าขยับกายแม้แต่น้อย ได้แต่กรอกตาไปมามองเหล่าขุนพลที่ยืนประจำตำแหน่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึมล้วน

ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าหนักแน่นแต่เปี่ยมความสงบเยือกเย็นก็ดังเข้ามาจากประตูใหญ่ ทุกคนพร้อมใจกันขยับถอยไปยืนเรียงแถวด้านข้าง เปิดทางให้บุคคลสำคัญเพียงหนึ่งเดียวก้าวเข้ามาภายในโถง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel