บทที่ 4 ผู้ใดบังอาจเผาเรือข้า(2)
หรงหมิ่นตกตะลึงจนตาค้าง ริมฝีปากสั่นจนไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา นางทรุดกายลงกองกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง
“นั่นคือฉิน ที่ข้าจะใช้เข้าประกวดในงานเทพธิดาสวรรค์อีกสามวัน!”
ดวงตาแดงก่ำจ้องซือซิงด้วยความเจ็บแค้น
“เจ้า... เจ้ามันไร้ค่า ภายหน้าไม่มีทางบรรลุเป็นเทพได้ ไร้ค่าเช่นเจ้า แม้แต่เผ่ามารก็ไม่อยากนับเป็นพวกด้วย”
คำด่าทิ่มแทง แต่ซือซิงกลับยืนนิ่ง เอ่ยเสียงเรียบ
“แล้วเหตุใด ‘เซียนผู้สูงส่ง’ เช่นเจ้าจึงไร้ยางอายเพียงนี้เล่า เผาเรือข้าจนเป็นเถ้าถ่านแล้วไม่มีแม้แต่คำขอโทษ ยังมีหน้ามานั่งบรรเลงเพลงในเรือนข้าได้อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว การกระทำของเจ้า... ก็ไม่ต่างอันใดจากมารปีศาจ!”
เมื่อถูกซือซิงตอกกลับด้วยถ้อยคำเย็นเฉียบเช่นนั้น โทสะของหรงหมิ่นก็เดือดพล่านจนคลุ้มคลั่ง
น้ำตานางไหลพรากทั้งเพราะเจ็บใจทั้งเพราะสูญเสียเครื่องดนตรี ก่อนลุกพรวดวิ่งตึงตังไปทางตำหนักใหญ่ราวคนขาดสติ เป็นที่แน่ชัดว่า…นางกำลังมุ่งหน้าไปฟ้องชายาเย่วหลาง มารดาของตน
ซือซิงมองตามเงาหลังนั้นด้วยความปลงตก
ครั้งนี้แม้นางเป็นฝ่ายเสียหาย ทั้งถูกเผาเรือ ทั้งถูกบุกรุกเรือน และซ้ำยังมิได้ตั้งใจทำเครื่องดนตรีตกน้ำแม้แต่น้อย แต่ด้วยนิสัยของหรงหมิ่น นางย่อมไม่กล่าวความจริง ต้องกล่าวหาว่าถูกผู้เป็นพี่สาวรังแกอย่างแน่นอน
และเมื่อนั้น…ชายาเย่วหลางก็จะตัดสินโทษอย่างเอนเอียงดังที่เคยเป็นมา กักขังนางไว้ในตำหนักหลายวันอย่างไม่มีเหตุผล
ใคร่ครวญดังนั้นแล้ว ซือซิงก็ยกมุมปากขึ้นน้อยๆ ราวกับยอมรับโชคชะตา หากต้องถูกขังในภายหลัง ก็ขอเที่ยวให้เต็มอิ่มเสียก่อนเถิด นางจึงเรียกเมฆน้อยให้ลอยลงมารับ แล้วกระโดดขึ้นไปอย่างคล่องแคล่ว มุ่งหน้าไปยังวิหารเทพ เพื่อพบอู๋ทงเซียนจวิน สหายเพียงผู้เดียวของนางบนสวรรค์ชั้นฟ้าอันเดียวดายนี้
สายลมเย็นพัดปะทะใบหน้า ชโลมให้อารมณ์ที่คุกรุ่นค่อยๆ เบาบางลง
อย่างไรก็ดี นางยังไม่อาจลืมเหตุการณ์เมื่อครู่ไปได้ ความปวดแปลบลึกในอกแล่นวาบขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ
‘หากท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่…ชีวิตคงสงบสุขราบรื่นกว่านี้’
ความคิดนั้นผุดขึ้นอย่างคมชัดจนหัวใจสั่นไหว ซือซิงยกปลายนิ้วเรียวแตะลงกลางหน้าผากของตน
สัมผัสอัญมณีเม็ดเล็กซึ่งฝังอยู่ตรงกลางระหว่างคิ้ว
ดารารัตนชาติ ธาตุคุ้มครองกาย
สิ่งเดียวที่คอยปกป้องนางมาตั้งแต่ลืมตาดูโลก ของขวัญชิ้นสุดท้ายที่มารดามอบให้นางก่อนสิ้นใจ
ในวันที่นางได้ถือกำเนิดออกมาแบบไร้ผู้โอบอุ้ม
"เซียนดาวน้อยเจ็บปวดใจเพียงนี้ หากทนไม่ไหวก็ร้องออกมาเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะร้องเป็นเพื่อนท่านเอง”
ม่านม่านเอ่ยอย่างเป็นห่วงจนเสียงสั่น
ซือซิงหัวเราะหึเบาๆ พลางเช็ดดวงตานางกำนัล
“ข้าหาใช่เซียนบ่อน้ำตาตื้น เจ้าอยากร้องก็ร้องไปผู้เดียวเถิด จะว่าไป…เรือลำนั้นเจ้าก็ลงแรงช่วยข้าไม่น้อย เรือถูกเผาเช่นนี้ เจ้าก็คงเจ็บใจไม่แพ้ข้าดอกกระมัง?”
ซือซิงหันไปยิ้มบางอย่างอาทร แล้วโน้มตัวไปตบมือม่านม่านเบาๆ
ทว่าไม่ทันได้ปลอบใจอะไรมากกว่านั้น เมฆพาหนะแสนเชื่องก็พลันสะบัดกายรุนแรงอย่างไร้สาเหตุ ร่างของสองนายบ่าวโงนเงนแทบหลุดจากหลังเมฆ ก่อนมันจะพาทั้งคู่เหาะออกนอกเส้นทางราวถูกพลังลี้ลับควบคุม
สุดท้ายจึงร่วงลงอย่างนุ่มนวลใต้ต้นอโศกใหญ่ ข้างกำแพงสูงแห่งสวรรค์ชั้นสิบ
ซือซิงเชิดคางขึ้นด้วยความไม่สบอารมณ์
“ไฉ่หง ก่อนออกจากเรือนบัวแดง ข้าสั่งเจ้าให้ไปส่งยังวิหารเทพ เหตุใดจึงพาข้ามาในที่แปลกประหลาดเช่นนี้เล่า?”
เมฆน้อยสั่นฟูฟ่องเหมือนกำลังสำนึกผิด แต่ก็ไม่อาจตอบคำได้
เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไร สองนายบ่าวจึงตัดสินใจเดินเรียบกำแพงไปเรื่อย ๆ
ซือซิงกวาดตามองรอบด้าน
เงียบ…
วังเวง…
ไร้ผู้คนราวกับสถานที่ถูกทิ้งร้างมานาน
ทันใดนั้น เปลือกตาซ้ายของนางกระตุกสองทีติดกัน ใจหล่นวูบ สมองนึกขึ้นได้ฉับพลัน
‘รึจะเป็นวังร้าง...ที่สองเซียนนั่นกับองค์ชายเจาเจินเอ่ยถึง ปัดโธ่เอ๊ย! คงจะบังเอิญเกินไปหน่อยกระมัง!’
นางหยุดเดินทันที ก่อนหันกลับมาดึงมือม่านม่านให้นั่งย่อตัวลงหลบหลังต้นอโศก
สีหน้าซือซิงเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดปนตื่นเต้น ปากเอ่ยเสียงเบาราวกระซิบในลำคอ
“เจ้าเคยได้ยินเรื่อง วังหยวนหนิงหรือไม่?”
ซือซิงกระซิบถามทั้งที่สายตายังกวาดมองรอบกาย
นางกำนัลผู้ติดตามส่ายศีรษะเป็นคำตอบด้วยความมึนงง แล้วเอ่ยถามผู้เป็นนายกลับอย่างสับสน
“ไม่เคยเจ้าค่ะ… แต่เหตุใดเราต้องนั่งย่อตัวคุยกระซิบกันเช่นนี้ด้วย?”
ซือซิงขยับเข้าใกล้กำแพงสูงแล้วพูดเสียงเบากว่าเดิม
“ข้าได้ยินมาว่า ซ่างจวินเจ้าของวังแห่งนี้สิ้นชีพไปนานแล้ว ทิ้งของวิเศษไว้มากมาย…และมีสัตว์เทพคอยพิทักษ์อยู่ในตำหนัก”
ม่านม่านเบิกตากว้างราวจะกรีดร้อง
“สัตว์เทพ?! เช่นนั้นเราควรไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!”
นางทำท่าจะลุกหนี แต่กลับถูกซือซิงรั้งแขนให้ย่อลงตามเดิม
“เดี๋ยวสิ ไหนๆ ก็มาถึงที่แล้ว ข้าเห็นว่าเป็นลิขิตสวรรค์ ข้าอยากเข้าไปดูของวิเศษที่ล่ำลือกันสักครั้ง”
“ท่านจะ...”
“เจ้าอยู่นี่ รอเพียงหนึ่งชั่วยาม ข้าดูเสร็จก็จะรีบออกมาทันที”
ม่านม่านเม้มปากแน่น หลับตากลั้นใจ
ในหัวมีแต่ความคิดว่า ไม่ควร! ไม่ควรอย่างยิ่ง!
ของวิเศษอาจอยู่จริง แต่สัตว์เทพก็อยู่จริงเช่นกัน หากเกิดอันใดขึ้น ดารารัตนชาติที่คุ้มครองกายนางอาจยังไม่พอด้วยซ้ำ
เมื่อม่านม่านลืมตา ตั้งใจจะยื้อสุดกำลัง
“อย่าเลยเจ้าค่ะ ได้มิคุ้ม...”
ยังไม่ทันได้เอ่ยคำว่า “เสีย” ร่างของผู้เป็นนายก็หายวับไปแล้วเหลือเพียงลมพัดชายอาภรณ์
ม่านม่านยืนงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนถอนหายใจยาวเหยียด
แล้วบ่นกับตัวเองเสียงขมขื่น
“ท่านหาเรื่องอีกแล้ว หากเกิดอะไรขึ้น ข้าตายไปหมื่นครั้งก็ทดแทนไม่ได้…”
