
บทย่อ
"กาลก่อน ข้ามักจะคิดว่าตนเองนั้นวาสนาไม่ดี แท้ที่จริงแล้วมิใช่ว่าข้าวาสนาไม่ดี แต่วาสนาของข้ายังมาไม่ถึงต่างหาก และท่าน...ก็คือวาสนาของข้า"
บทที่ 1 ตำนานวังหยวนหนิง
ใต้ร่มเงาต้นหลิวสูงริมสระบัวสีมรกตในเขตอุทยานหลวงสวรรค์ มีสองเซียนหนุ่มนั่งสนทนากันด้วยท่วงท่าสบายอารมณ์ ครั้นบทสนทนาจบลง ต่างฝ่ายต่างทอดสายตาลงมองกระดานหมากที่วางอยู่บนโต๊ะศิลาขาว
หมากบนกระดานเดินไปแล้วกว่าครึ่ง
“ตาท่านลงหมาก”
เซียนหนุ่มชุดสีน้ำเงินเอ่ยเชื้อเชิญ อีกฝ่ายเพียงหลุบตาลงครุ่นคิดเงียบๆ รอจนได้ข้อสรุป จึงล้วงมือเข้าไปในโถกระเบื้องเคลือบสีขาว คีบเม็ดหมากสีดำขึ้นมาวางบนจุดตัดหนึ่งที่ยังว่าง
ทว่าในจังหวะที่ชักมือกลับ พลันนึกถึงเรื่องเล่าตำนานหนึ่งขึ้นได้ จึงกล่าวถามอีกฝ่าย
“ท่านเคยได้ยินเรื่อง ตำนานวังร้างยังสวรรค์ชั้นสิบ หรือไม่?”
คำถามนั้นทำให้เซียนหนุ่มชุดสีเหลืองอ่อนที่กำลังคีบหมากขาวชะงักไปทันที คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน สีหน้าเคร่งเครียด น้ำเสียงที่กล่าวตอบจึงเข้มขึ้น
“วังร้างอันตรายเช่นนั้น ข้าย่อมพอรู้มาบ้างอยู่แล้ว”
หลังจากสิ้นประโยค หมากขาวในมือก็ถูกปล่อยกลับลงสู่โถกระเบื้องเคลือบ เซียนหนุ่มชุดสีเหลืองอ่อนหันไปยกถ้วยชาให้ริมฝีปาก ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเรียบขรึม
“ฟังมาว่าวังหยวนหนิงร้างมานานหลายหมื่นปี จิ้นฝานซ่างจวินผู้ครองวังดับสูญ หวนคืนสู่ดินแดนว่างเปล่า แต่กระนั้นศาสตราเทพแลของวิเศษยังคงอยู่ มิได้มลายหายตาม”
เขาวางถ้วยชาเบาๆ บนโต๊ะศิลา แล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเนิบช้า แต่แฝงความลี้ลับ
“ภายในวังมีทั้งหมดสิบสามตำหนัก มีนักษัตรสิบสองธาตุสิงสถิตเฝ้าประจำ ตำหนักใหญ่ กิเลนหยกแสนดุร้าย เป็นผู้ดูแลหลัก แต่กาลก่อน… มีเซียนน้อยผู้หนึ่งเพิ่งขึ้นมาบนสวรรค์ ไม่รู้เหนือรู้ใต้ ดันลอบเข้าไปหวังขโมยของวิเศษ ท่านรู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา?”
คำถามนั้นฟังดูจงใจยั่วให้คนอยากรู้อยากเห็น เซียนชุดสีน้ำเงินได้ยินก็ถึงกับโน้มตัวเข้ามากระซิบใกล้
“แล้วเป็นเช่นไรเล่า?”
แต่ก่อนที่คำตอบจะถูกเอื้อนเอ่ย เสียงหวานใสหนึ่งก็ดังแทรกกลางวงสนทนาเสียก่อน
“ผลเป็นเช่นไรหรือ?”
เพียงได้ยินเสียงเท่านั้น เซียนทั้งสองก็สะดุ้งโหยง ร่างพากันผงะจนแทบหงายหลังตกสระบัวตรงหน้า
“ขออภัยๆ ข้าบุ่มบ่ามเผลอพูดแทรก ทำพวกท่านตกใจ เสียมารยาทแล้ว”
เมื่อเซียนหนุ่มทั้งสองตั้งสติกลับมาได้ ต่างก็รีบยืดกายให้นั่งหลังตรง สะบัดชายแขนเสื้อจัดชุดของตนให้เรียบร้อย ก่อนจะเงยหน้ามองผู้มาใหม่
ไม่รู้ตัวเลยว่านางมายืนค้ำศีรษะพวกเขานานเท่าใดแล้ว บัดนี้ได้ถอยห่างออกไปสามก้าว ก้มตัวโค้งคับนับราวจะขอขมา แต่ก็ดูเหมือนจะทำไปเพียงลวกๆ เท่านั้นเอง
ทว่าเมื่อหญิงสาวยกศีรษะขึ้นตรง ใบหน้างามดุจแสงดาวก็เผยเด่นขึ้นทันที คิ้วเรียวยาวได้รูปเข้าคู่กับดวงตากลมโตที่ทอประกายเจิดจ้า สันจมูกเรียวปลายโค้งงาม ริมฝีปากเล็กสีแดงสดแต้มรอยยิ้มจิ้มลิ้มบางเบา เรือนผมดำขลับไหลจากบ่าลงถึงเอว อาภรณ์สีชาดบนกายยิ่งขับผิวขาวเนียนให้สะกดสายตายิ่งนัก
เซียนหนุ่มทั้งสองจ้องมองหญิงงามตรงหน้าด้วยอาการเคลิบเคลิ้ม ดั่งตกอยู่ในภวังค์เนิ่นนาน จนลืมเสียสิ้นว่าก่อนหน้านี้พวกตนกำลังซุบซิบนินทาเรื่องใดอยู่
“อะแฮ่ม”
หญิงสาวกระแอมขึ้นหนึ่งทีอย่างจงใจ หวังปลุกให้ท่านเซียนทั้งสองฟื้นจากภวังค์ เซียนชุดสีเหลืองอ่อนได้สติก่อน รีบเอ่ยออกมา
“เอ่อ… ผลคือ… ผะผะ… ผลคือ…”
แต่คำพูดติดๆ ขัดๆ เหมือนคนติดอ่างเล่าไม่เป็นประโยคเสียที
ขณะนั้น ลมเย็นพัดโชย กลิ่นหอมหวลของดอกพุดชาดห้าสีลอยตามมา พุ่มไม้สูงข้างสระน้ำไหวเล็กน้อย พร้อมกับเสียงของผู้หนึ่งลอยตามลมเข้ามา
“ผลคือ… เซียนน้อยผู้นั้นถูกสัตว์เทพ กิเลนหยก ฉีกร่างเขาออกนับพันชิ้น กระดูกเหลือเพียงเถ้าธุลี ส่วนปราณวิญญาณถูกนักษัตรสิบสองธาตุกลืนกินสิ้น ไร้หนทางคืนสู่การบำเพ็ญเพียรอีกต่อไป”
คำกล่าวอันน่าสยดสยองสะเทือนขวัญนั้น ดึงสายตาคนทั้งสามหันขวับไปตามทิศทางเสียงทันที เจ้าของเสียงใช้พัดจีบแหวกม่านใบหลิว แล้วค่อยๆ เผยโฉมหน้าให้เซียนทั้งสามได้เห็น
บุรุษหนุ่มร่างสูงโปร่ง สวมชุดสีขาวทับด้วยเสื้อคลุมสีเขียวเข้ม ใบหน้าสง่างามเกลี้ยงเกลา มือหนึ่งไขว้อยู่ด้านหลัง อีกมือถือพัดจีบอย่างหลวมๆ
แทบจะทันทีที่ได้เห็นใบหน้าของบุรุษผู้นั้น เซียนทั้งสองก็แตกตื่น ลนลานลุกพรวดขึ้ประสานมือ และเอ่ยเสียงพร้อมเพรียง
“ถวายบังคมองค์ชายสาม!”
หญิงสาวที่อยู่ใกล้ก็รีบทำตามท่านเซียนทั้งสองอย่างรู้ความ
“ท่านเซียนตามสบายเถิด ข้าเองสนใจเรื่องตำนานวังหยวนหนิงพอดี จึงอยากร่วมวงสนทนากับพวกท่านด้วย”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงสนทนาแค่พอรู้งูๆ ปลาๆ มิอาจเทียบพระปรีชาฝ่าบาท ทรงตรัสได้ลึกล้ำยิ่งนัก”
เซียนชุดสีเหลืองอ่อนเอ่ยด้วยความยำเกรง เพราะองค์ชายเจาเจินเป็นพระโอรสองค์ที่สามแห่งจักรพรรดิสวรรค์ พระองค์ยังมีพระนามว่า ‘องค์ชายเจ้าสำราญ’ ผู้ชอบข้องแวะกับสาวงาม หากหมายปองหญิงใดแล้วมิเคยปล่อยให้หลุดพ้น
ยามนี้ สายตาขององค์ชายสามทอดมองมายังหญิงสาวผู้นี้อย่างไม่ละสายตา ก็พอจะเดาได้ว่าต้องตาต้องใจนางอยู่ไม่น้อย
เซียนทั้งสองไม่อยากเป็นก้างขวางคอ จึงหันมาพยักหน้าให้กันอย่างเป็นนัย ก่อนถวายบังคมลาและถอยออกไปด้วยฝีเท้าอันเร่งรีบ
