บทที่ 3 ผู้ใดบังอาจเผาเรือข้า
นางกำนัลสาวครั้นเห็นผู้เป็นนายก้าวลงจากศาลา ก็รีบปรี่เข้าหาด้วยท่าทีร้อนรน แต่ซือซิงเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นก่อน
"ม่านม่าน เกิดเรื่องอันใดขึ้น? ไยเจ้าจึงได้ลนลานถึงเพียงนี้?"
"เซียนดาวน้อย เรือที่พวกเราเพิ่งต่อเสร็จเมื่อวาน… ถูกเพลิงไหม้หมดแล้วเจ้าค่ะ"
น้ำเสียงของม่านม่านสั่นเครือ มือที่จับผู้เป็นนายไว้แน่นเต็มไปด้วยแรงสะท้อนอารมณ์
"ห๊ะ! เรือถูกเผา?"
ซือซิงอุทานเสียงหลงด้วยความตกใจ คิ้วเรียวงามขมวดแน่นจนเป็นปม นางคิดอย่างรวดเร็ว
เรือที่พึ่งต่อใหม่ ถูกเพลิงไหม้ทั้งลำอย่างไร้สาเหตุนั้นเป็นไปไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าเป็นฝีมือของใครบางคนที่ตั้งใจกลั่นแกล้ง
"หรงหมิ่น ใช่หรือไม่?"
ม่านม่านไม่ตอบ เพียงพยักหน้าช้าๆ แทนคำยืนยัน
เพียงเท่านั้น โทสะในอกซือซิงก็พุ่งขึ้นใบหน้าจนร้อนผ่าว นางกำมือแน่น ดวงตาเปล่งประกายกร้าวราวเปลวไฟกำลังลุกโชน
‘นางบังอาจเผาเรือของข้างั้นหรือ?’
"ไฉ่หง!"
เสียงเรียกกังวานก้อง เมฆพาหนะปรากฏขึ้นทันที ซือซิงกระโดดขึ้นนั่งอย่างไม่รอช้า ม่านม่านรีบปีนขึ้นตามมาด้านหลัง จับเอวผู้เป็นนายไว้แน่น โดยทั้งสองมิกล่าวคำใดต่อกันอีก
ไฉ่หงทะยานขึ้นสู่ฟ้า นำพาพวกนางมุ่งกลับตำหนักด้วยความเร็วราวพายุ
ซือซิงย้อนคิดถึงเมื่อเดือนก่อน...
วันที่นางเกิดอยากมีเรือไม้ลำเล็กไว้พายเล่นในสระบัว จึงเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องหนังสือนานสามวันเต็ม ศึกษาวิธีสร้างเรือจากตำราอย่างตั้งใจ จากนั้นเสาะหาไม้เนื้อแข็งจำนวนพอเหมาะ ค่อยๆ ไสแต่งแผ่นไม้ทีละชิ้นตามแบบในตำรา ก่อนประกอบเข้าหากันอย่างประณีตจนกลายเป็นเรือลำจิ๋วสมบูรณ์แบบ
นางตั้งใจไว้นักว่าค่ำวันนี้จะลองพายเป็นครั้งแรก แต่เพียงชั่วข้ามคืนกลับเหลือเพียงซากไหม้ดำสนิท… ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก
ไม่นานนัก เมฆน้อยพาเจ้านายและสาวรับใช้ลอยลงสู่ท้ายวังดาราภิรมย์
ที่ตรงนี้ เดิมเคยเป็นป่ารกร้างและสระบัวแห้งเหือดไร้คนเหลียวแล กระทั่งเมื่อสามปีก่อน ซือซิงเป็นผู้ชุบชีวิตมันขึ้นมาใหม่ นางปรับปรุงพื้นที่ และนำไม้ไผ่สีแดงมาปลูกเป็นเรือนหลังเล็ก มีชานพักยื่นออกเหนือผืนน้ำ พร้อมทางเดินทอดยาวจากฝั่งสู่ตัวเรือน จนได้ทัศนียภาพอ่อนละมุนงดงาม นางจึงตั้งชื่อเรือนนี้ว่า เรือนบัวแดง
ซือซิงวิ่งมาถึงปากสะพานไม้ไผ่ที่ทอดไปยังเรือนบัวแดง นางหยุดหอบเพียงครู่ ก่อนเสียงดีดฉินกังวานหวานขึ้นกลางสายลม และท่วงทำนองนั้น นางจำได้ดีว่าเป็นของใคร
ยิ่งได้ยิน ก็ยิ่งเดือด
มือเล็กกำแน่น เป็นอีกครั้งที่น้องสาวต่างมารดาผู้นี้ได้กระทำเรื่องร้ายกาจกับนาง ครั้งนี้อย่างไรก็ต้องเอาเรื่องนางให้ถึงที่สุด
ซือซิงสาวเท้าข้ามสะพานเหนือกอบัวเผื่อนสีขาว พอเห็นซากเรือที่ถูกเผาจนดำไหม้ เหลือเพียงควันคุกรุ่นลอยอ้อยอิ่งตามแรงลม กลิ่นไหม้แทรกเข้าจมูกเป็นระยะ ใจของซือซิงก็เหมือนถูกบีบอย่างแรง
นางกระโดดขึ้นชานเรือน ย่างเพียงหนึ่งก้าวก็ถึงเบื้องหน้าที่หรงหมิ่นนั่งดีดฉินอยู่
"เจ้าเป็นคนเผาเรือข้า...ใช่หรือไม่?"
คำถามนั้นทำให้ปลายนิ้วเรียวที่กำลังดีดสายฉินพลันชะงัก เสียงดนตรีที่ลอยแผ่วอยู่เหนือเรือนบัวแดงขาดหายไปทันที หรงหมิ่นเงยหน้าขึ้นช้าๆ สีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ แววตานิ่งเฉยประหนึ่งไม่เห็นค่าความโกรธของใครทั้งสิ้น
ซือซิงโน้มตัวลง ใช้สองมือกดทับสายฉินให้แนบกับแผ่นไม้จนเครื่องดนตรีสั่นสะท้านเบาๆ ก่อนจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้น พูดซ้ำด้วยเสียงเข้มกร้าวกว่าครั้งแรกหลายเท่า
“เป็นเจ้าใช่หรือไม่?”
หรงหมิ่นถอนหายใจพรืด ราวกับผู้เป็นพี่สาวกำลังรบกวนความสงบของนาง
"ถ้าใช่แล้วจะอย่างไร?"
นางสะบัดมือดึงมือซือซิงออกจากเครื่องดนตรี แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอิดหนาระอาใจยิ่งขึ้น
"ก็แค่เรือลำหนึ่ง ข้าเพียงใช้มันทดสอบคาถาเพลิงอัคคีที่สำนักเพิ่งได้เรียนมาก็เท่านั้น ยังต้องถือสากอะไรอีก?"
คำตอบนั้นเหมือนตอกตะปูแดงเข้ากลางหัวใจ
ซือซิงยืดกายขึ้นเต็มความสูง สูดลมหายใจลึกเพื่อกดโทสะเอาไว้ไม่ให้ปะทุออกมาตรงหน้า แต่ปลายเสียงที่เอ่ยกลับมาแข็งจนแทบเป็นคำขู่
"เรือลำนั้น ข้าต่อด้วยมือตัวเองทั้งเดือน กว่าจะเสร็จสมบูรณ์ เจ้ากลับเอามันไปเผาเพียงเพื่อ ทดลองคาถา น่ะหรือ?"
นางก้าวเข้าไปอีกครึ่งก้าว ดวงตาวาวโรจน์
“ลองคิดดู หากเป็นของรักของเจ้า แล้วมีผู้ใดเอาไปทดลองเช่นนี้บ้าง เจ้าจะยังกล้าพูดคำว่า ‘ก็แค่เรือลำหนึ่ง’ ออกมาได้อีกหรือไม่?”
หรงหมิ่นลุกพรวดขึ้นยืน ประจันหน้ากับซือซิงจนลมหายใจของทั้งสองแทบปะทะกัน
"สิ่งใดก็ไม่อาจมีค่าเทียบกับวิชาเซียนของข้าได้!เซียนที่ไร้วิชาเช่นเจ้า จะไปรู้เรื่องรู้ราวอะไร!"
ซือซิงไม่ตอบโต้ นางเพียงโน้มตัวลงอย่างนิ่งสงบ
ปลายนิ้วเรียวหยิบเครื่องดนตรีที่วางบนโต๊ะขึ้นมาถือด้วยมือเดียว
ปลายสายลู่ไหว ราวกับสะท้อนความสั่นไหวภายในของคนบางคน
“เช่นนั้น…ของสิ่งนี้ สำคัญต่อเจ้าหรือไม่?”
ใบหน้าหรงหมิ่นซีดเผือดทันที
“คืนมันให้ข้า!”
นางขมวดคิ้วด้วยโทสะแรงกล้า เมื่อเห็นซือซิงกล้าจับสิ่งที่นางรักที่สุด
ทั้งสองยื้อแย่งเครื่องดนตรีอยู่ชั่วอึดใจ ทว่าความพลั้งพลาดเพียงเสี้ยววินาที ทำให้หรงหมิ่นสะดุดขาโต๊ะ
เสียงฉับ! ของฉินหลุดมือ ร่างไม้ยาวราวห้าฉื่อร่วงลงน้ำ ก่อนจมหายวับสู่ก้นสระบัวในพริบตา
